หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 298
ตอนที่ 298 – ซงเฟิงซ่างเหริน
ทั้งสามคนบินขึ้นไป หมอกหนายิ่งมายิ่งจางลง ปราณเซียนยิ่งมายิ่งเข้าใกล้
เห็น ๆ อยู่ว่าปราณเซียนอันเกิดจากการที่เหล่าเซียนสิ้นชีพรวมกันจะมาถึงตรงหน้าแล้ว ทั้งสามคนอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงัก ขณะนี้แม้กระทั่งใบหน้าของจิ่งสิงจื่อยังปรากฏแววลังเล
ระหว่างปราณเซียนและหมอกหนามีช่องว่างเป็นการคาดเดาของพวกเขา ตอนนี้ปราณเซียนอยู่ใกล้ถึงเบื้องหน้า หมอกหนายังคงไม่สิ้นสุด ใครก็ไม่รู้ว่าบินขึ้นไปอีกจะร่างระเบิดเพราะไปกระทบถูกปราณเซียนหรือไม่ ลำดับถัดไปต้องทำอย่างไร
“สหายเต๋าจิ่ง……”
โม่เทียนเกอยังพูดไม่ทันจบคำ จิ่งสิงจื่อบินขึ้นไปอีกแล้ว
โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางสบตากัน สุดท้ายยังคงตามขึ้นไป
หมอกหนายิ่งมายิ่งเบาบาง ปราณเซียนที่ล่องลอยโดยรอบก็ยิ่งมายิ่งมาก ทั้งสามคนมิอาจไม่เสียเวลามากขึ้นมาสกัดกั้นปราณเซียน กระบวนการนี้ซับซ้อนถึงสิบส่วน เผาผลาญพลังวิญญาณและเติมพลังวิญญาณไม่หยุด โม่เทียนเกอก้มศีรษะลงมองเป็นครั้งคราว ยอดเขาเบื้องล่างกลายเป็นจุดเล็ก ๆ ไปแล้ว
ไม่รู้ว่านานเท่าไร ได้ยินจิ่งสิงจื่อร้องเรียกอย่างตื่นตะลึงแกมยินดีว่า “สหายเต๋าทั้งสอง พวกท่านดู!”
โม่เทียนเกอเงยหน้า กลับเห็นว่าด้านบนหมอกหนาอันเบาบางปรากฏแสงสว่างที่ไร้สิ่งปิดบังแล้ว
พวกเขาในที่สุดก็พุ่งออกมาจากหมอกหนาแล้ว
ทั้งสามคนล้วนมีความรู้สึกของการเกิดใหม่ประการหนึ่ง นับไปแล้วพวกเขาถูกขังอยู่ในหมอกหนาเพียงหนึ่งวันกว่าเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่ว่าไม่ว่าจะเดินไปถึงที่ไหนล้วนไม่อาจสลัดหลุดจากหมอกหนาเช่นนี้ทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกว่ายาวนานมาก
เงียบสงบกันไปสักครู่ จิ่งสิงจื่อกล่าวขึ้นเป็นคนแรกว่า “สหายเต๋าทั้งสอง พวกเราออกจากหมอกหนาแล้ว ถัดไปเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด อย่าได้ลดความตื่นตัว”
โม่เทียนเกอและเนี่ยอู๋ชางได้สติคืนมา ล้วนพยักหน้า
พวกนางล้วนมีนิสัยเงียบสงบ นี่เป็นเรื่องที่จิ่งสิงจื่อโชคดีเป็นที่สุด เขาชมชอบสตรี แต่ในยามเสี่ยงอันตรายเกลียดการถูกคนอื่นถ่วงแข้งถ่วงขาที่สุด ดีที่สองคนนี้ล้วนไม่มีนิสัยอารมณ์ร้ายอะไร
ปราณเซียนอยู่ใกล้กับพวกเขามาก การบินทุกระยะทางล้วนต้องระมัดระวังรอบด้าน โชคดีที่พวกเขาออกมาจากหมอกหนาแล้ว สามารถแยกแยะทิศทางได้อย่างชัดเจน ยอดเขาว่านเริ่นอยู่ทิศใต้ของพวกเขา ทิศเหนือกลับเป็นภูเขาไฟใหญ่ลูกหนึ่ง พวกเขาจึงเลือกทิศตะวันตกเป็นเส้นทางหลบหนี
ประมาณครึ่งวันให้หลัง ทั้งสามคนหนีพ้นจากระยะของหมอกหนาอย่างมีตระหนกแต่ไร้เภทภัย ทิ้งตัวลงสู่พื้นดิน
โม่เทียนเกอจนกระทั่งถึงตอนนี้จึงได้ถอนหายใจโล่งอก การติดตามมาด้วยกันกับสองคนนี้ นางต้องหวาดหวั่นขวัญผวาอยู่ทุกเมื่อ ตอนนี้ในที่สุดจึงยุติลง
“สหายเต๋าทั้งสอง” พอถึงพื้น สายตาของเนี่ยอู๋ชางหยุดอยู่ที่ทั้งสองคน เอ่ยว่า “ในเมื่อออกจากหมอกหนาแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอลา”
จิ่งสิงจื่อยิ้มเอ่ยว่า “สหายเต๋าเนี่ยรีบร้อนขนาดนี้เพื่ออะไร ถึงจะออกจากหมอกหนาแล้ว แต่ที่นี่คือซากโบราณสถานเหล่าเซียน ยังคงอันตรายทุกแห่งหนนะ!”
เนี่ยอู๋ชางยกมุมปาก เผยรอยยิ้มที่เย้ยหยันอยู่บ้าง ส่งเสียงพากย์ดังมาว่า “สหายเต๋าจิ่ง ถือเสียว่าข้าขี้ขลาดเถิด หากไม่ระวังเผอิญพบกับท่านอาจารย์ทั้งสอง…… ข้ายังต้องการชีวิตนี้อยู่นะ” พูดจบแล้วก็ไม่ทักทาย ขึ้นอาวุธเวทบินจากไปเลย
โม่เทียนเกอมองเงาหลังของนาง ในใจแอบถอนหายใจ เนี่ยอู๋ชางผู้นี้นอกเสียจากจุดที่นางเป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหรินก็ไม่น่าเกลียดชังเลย น่าเสียดาย จะอย่างไรนางก็เป็นศิษย์ของซงเฟิงซ่างเหริน
ทั้งสองคนเงียบกันไปชั่วครู่ ยังคงเป็นจิ่งสิงจื่อที่เปิดปากขึ้นมา “ไปเถอะ”
โม่เทียนเกอกลับไม่ขยับ รอจนจิ่งสิงจื่อหมุนตัวมา นางจึงกล่าวว่า “สหายเต๋าจิ่ง ข้ายังต้องไปหาโส่วจิ้งซือเกอ ไม่ทราบว่าท่านจะไปที่ใด”
จิ่งสิงจื่อเลิกคิ้วขึ้น ถามว่า “ท่านนี่คืออยากจะแยกทางกับข้าหรือ”
“ถ้าหากสหายเต๋าจิ่งมีเป้าหมายอื่น เช่นนั้นก็ใช่” โม่เทียนเกอพูดตรง ๆ “สำหรับข้า เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือหาโส่วจิ้งซือเกอให้พบ ดังนั้นไม่สามารถไปยังสถานที่อื่นกับสหายเต๋าจิ่งก่อน”
“……”
“สหายเต๋าจิ่ง?” จิ่งสิงจื่อไม่พูดไม่จา แล้วก็ไม่จากไป ผ่านไปพักใหญ่ไม่ได้คำตอบของเขา โม่เทียนเกอร้องเรียกอีกคำ
จิ่งสิงจื่อยิ้ม ถอนหายใจเอ่ยอย่างกะทันหันว่า “ฉินโส่วจิ้ง……โชคชะตาของเขาดีจริง ๆ”
“……”
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เนี่ยอู๋ชางได้พูดประโยคนี้กับนาง ตอนนี้จิ่งสิงจื่อก็ถึงกับพูดประโยคนี้
โม่เทียนเกอมีความรู้สึกว่าไร้สาระ การฝึกเซียน อันที่จริงแล้วสิ่งที่ฝึกก็คือการไม่เชื่อในโชคชะตา จากโบราณถึงปัจจุบัน คนที่บินทะยานกลายเป็นเซียนมีมากน้อยเท่าไร ตั้งแต่ที่เซียนมารแบ่งแยก แม้แต่ผู้ที่เข้าถึงขอบเขตแปลงเทพยังมีเพียงหยิบมือ ที่กลายเป็นเซียนยิ่งไม่เคยได้ยินได้ฟัง แต่หลายแสนปีมานี้ยังคงมีผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนดิ้นรนอย่างไม่ลดละเข้าสู่โลกฝึกเซียนอันโหดร้ายนี้ พวกเขาไม่เชื่อในโชคชะตาที่ไม่สามารถทะยานขึ้นเป็นเซียน
แต่ตอนนี้เนี่ยอู๋ชางและจิ่งสิงจื่อล้วนพูดประโยคเช่นนี้
ชะตาดีหรือ บางทีฉินซีอาจใช่ ชีวิตของเขาราบรื่นยิ่ง แต่ทุกสิ่งที่เขาครอบครองในวันนี้จะต้องไม่ได้เพียงแค่ชะตาดีเป็นอันขาด นางก็อาจจะใช่ ถึงแม้ก่อนอายุยี่สิบปีจะร่อนเร่ไร้บ้าน หลังจากอายุยี่สิบปีกลับค่อย ๆ มีทุกสิ่ง แต่พวกนี้มิได้ตกลงมาจากสรวงสวรรค์เช่นกัน
หลักเหตุผลนี้ ไม่ว่าจิ่งสิงจื่อหรือว่าเนี่ยอู๋ชางคิดว่าล้วนรู้ดี แต่พวกเขากลับพูดประโยคเช่นนี้กันหมด นั่นมีเพียงสาเหตุเดียวที่สามารถอธิบายได้ : ในใจของพวกเขามีเรื่องราวอันน่าเศร้าเกินไป
โม่เทียนเกอมิใช่คนพูดมาก แล้วก็ไม่ได้สนใจจะสืบเสาะเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ดังนั้นนางไม่ได้ตอบคำ ยังคงถามว่า “สหายเต๋าจิ่งอยากไปที่ใด”
เพียงพริบตา ใบหน้าของจิ่งสิงจื่อฟื้นฟูสู่สีหน้าเหลาะแหละ เอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ไปหาฉินโส่วจิ้งก็ไปหาเถอะ ที่นี่เป็นซากโบราณสถานเหล่าเซียน คนเดียวโดดเดี่ยวมันอันตราย”
“……” ไม่รู้ว่าที่เขาพูดว่าอันตรายเป็นการอ้างถึงตนเองหรือว่านาง โม่เทียนเกอความคิดวูบขึ้นดุจประกายไฟในสมองแล้วจึงเอ่ยว่า “เอาเถอะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอบคุณความปรารถนาดีของสหายเต๋าจิ่งมาก”
จิ่งสิงจื่อโบกมือไม่แยแส
โม่เทียนเกอคิด ๆ แล้วลองส่งเครื่องรางสื่อสารหนึ่งแผ่นไปก่อน ครั้งนี้ เครื่องรางสื่อสารส่งออกไป แต่พอเข้าไปในหมอกหนาก็ตกลงมา
“เห็นทีฉินโส่วจิ้งยังอยู่ในหมอกหนา ท่านยังคงอย่างได้สิ้นเปลืองเครื่องรางสื่อสารจะดีกว่า” จิ่งสิงจื่อเอ่ย
โม่เทียนเกอมองดูเครื่องรางสื่อสารนั้นตกลงที่พื้นแล้วเผาไหม้เป็นจุลอย่างเสียดาย ท้อแท้อยู่บ้าง “หรือว่าจะได้แต่เข้าไปอีก?”
จิ่งสิงจื่อคิด ๆ แล้วถามว่า “หรือว่าพวกท่านไม่มีวิธีการติดต่ออื่น ๆ?”
นี่กลับเป็นการเตือนความจำโม่เทียนเกอขึ้นมา วิธีการติดต่ออื่นมิใช่ไม่มี เพียงแต่มีประสิทธิภาพสู้เครื่องรางสื่อสารไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีวิธีการอื่นแล้ว สามารถทดลองดู
หยิบเอากล่องหยกหนึ่งใบออกมาจากในอกเสื้อ เปิดออก ภายในเป็นวัตถุเหมือนขี้ผึ้งสีเหลืองหลายก้อน กลับเป็นอำพัน นี่เป็นสิ่งที่ฉินซีมอบให้นางตอนอยู่เมืองคุนจง บอกว่าสิ่งนี้หลังจากเผาไหม้จะกระจายกลิ่นหอมอันพิสดารอย่างหนึ่ง ขอเพียงระยะทางไม่ไกล เขาสามารถดมออก ตอนนั้นนางไม่ได้ใส่ใจ คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้ประโยชน์จริง ๆ
เมื่อเห็นสิ่งของนี้ จิ่งสิงจื่อตะลึงไป เอ่ยว่า “เขาถึงกับมอบสิ่งของนี้ให้ท่าน?”
โม่เทียนเกอเงยหน้าเหลือบมองจิ่งสิงจื่อ “สหายเต๋าจิ่งรู้จักวัตถุนี้?”
จิ่งสิงจื่อไม่ได้ตอบแต่ถามกลับมาว่า “ข้ากับฉินโส่วจิ้งรู้จักกันได้อย่างไร ท่านทราบหรือไม่”
“ทราบอยู่บ้าง”
จิ่งสิงจื่อเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ถอนหายใจออกมา “คิดถึงปีนั้นเขายังไม่ได้มีนามแห่งเต๋าเลย เพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นามฉินโส่วจิ้งแพร่กระจายในคุนอู๋ นามเดิมของเขากลับมีไม่กี่คนทราบ”
“……” โม่เทียนเกอไม่มีคำตอบ นั่นเป็นช่วงเวลาที่ห่างไกลจากนางมาก เวลานั้นนางยังไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้เลย
จิ่งสิงจื่อทอดถอนใจครู่หนึ่ง กล่าวว่า “สิ่งของนี้เป็นสิ่งที่ได้มาจากในถ้ำเซียนโบราณกาลแห่งหนึ่งตอนที่พวกเราแรกรู้จัก ถึงจะไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมาย แต่บนโลกนี้น่าจะมีเพียงไม่กี่ก้อนนั้นในมือของเขา ใช้วัตถุนี้ส่งข่าวเป็นวิธีการที่ดี กลิ่นหอมนี้พิเศษเป็นที่สุด หากเขาหลงทางจริง ๆ ไม่แน่ว่ายังสามารถดึงดูดเขาออกมา อีกอย่าง ไม่ง่ายที่มันจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นด้วย”
เมื่อได้รับคำยืนยันของจิ่งสิงจื่อ โม่เทียนเกอยิ้มออกแล้ว “หากเป็นเช่นนี้จริง ๆ ก็ดีที่สุด”
พูดจบแล้ว ทั้งสองคนเพื่อความไม่ประมาทจึงบินออกไประยะทางหนึ่งเงียบ ๆ ยืนยันให้แน่ใจว่ารอบบริเวณไร้ผู้คนแล้วจึงนั่งลง เผาอำพัน พร้อมกับที่เปลวเพลิงลุกโหม กลิ่นหอมพิสดารที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนก็กำจายขึ้นมา ค่อย ๆ ล่องลอยไปไกล
ถัดจากนั้นก็เหลือเพียงแค่รอ
ผ่านไปไม่นานนัก อาจจะแค่ประมาณหนึ่งชั่วยาม จิ่งสิงจื่อจู่ ๆ ก็ขยับตัว ลุกขึ้นยืน “มีคนมาแล้ว”
โม่เทียนเกอแผ่ขยายจิตหยั่งรู้ แต่กลับตะลึงไป “นี่คือ……”
ความเคลื่อนไหวของพลังวิญญาณถ่ายทอดลงมาจากท้องฟ้า แกร่งกล้ามาก ไม่ใช่ฉินซีแน่นอน ทว่าเป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่!
ทั้งสองคนสบตากัน จิ่งสิงจื่อมีเวลาทันเพียงแค่พูดประโยคเดียวว่า “จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย……”
แรงกดดันมหาศาลกดลงมาจากด้านบน เมฆดำหนึ่งก้อนลอยมาถึง
โม่เทียนเกอเงยหน้ามองเมฆดำอันคุ้นเคยนั้น สีหน้าแข็งทื่อ
ซงเฟิงซ่างเหริน!
“เป็นพวกเขา?” ในเมฆดำมีสี้ยงแหบแห้งอันยโสดังออกมา
ด้านข้างเมฆดำ สีหน้าเมินเฉยของเนี่ยอู๋ชางกวาดผ่านจิ่งสิงจื่อและโม่เทียนเกอ “เจ้าค่ะ ซือฟุ”
แม้ว่าร่างกายของซงเฟิงซ่างเหรินหลบซ่อนอยู่ในเมฆดำ โม่เทียนเกอยังคงสัมผัสได้ถึงสายตาแฝงความอำมหิตที่กราดมองชุดบนร่างของนางกับจิ่งสิงจื่อ
แอบอิงไม้ใหญ่ได้ร่มเงา ในการเดินทางนี้นางไม่ได้เปลี่ยนชุดเต๋าของโรงเรียนเสวียนชิงเลย ขณะนี้จะหลบก็หลบไม่พ้นแล้ว พวกเขาออกจากสถานที่ที่แยกกับเนี่ยอู๋ชางอย่างระมัดระวังรอบคอบแล้วก็ยังถูกหาพบอย่างง่ายดาย
โม่เทียนเกอเพียงรู้สึกถึงความหนาวเยือกผุดขึ้นมาในใจ มีชีวิตมาถึงแปดสิบกว่าปี ฝึกตนถึงระดับก่อเกิดตาน นางเผชิญพบภยันตรายมาไม่น้อย ประสบกับวิกฤตเป็นตายมากมาย แต่ไม่เคยมีครั้งนี้ที่ตื่นกลัวจนสั่นสะท้านเช่นครั้งนี้ ผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งของเทียนจี๋ บุคคลอันดับหนึ่งจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลาย เมื่ออยู่ต่อหน้าซงเฟิงซ่างเหรินผู้นี้ แม้ว่านางจะอยู่ระดับก่อเกิดตานแล้วแต่ยังคงเป็นเช่นเดียวกับระดับหลอมรวมพลังวิญญาณ ไม่อาจทนรับการโจมตีแม้แต่ครั้งเดียว
นางหลับตาลง ท่องมนตร์ของศาสตร์หลอมจิตวิญญาณเงียบ ๆ ทำให้ตนเองนิ่งลงภายใต้แรงกดดันของซงเฟิงซ่างเหริน
เวลานี้เอง จิ่งสิงจื่อเหลือบมองบอกใบ้นาง โม่เทียนเกอดูออก เขาบอกให้ตนเองอย่าได้เคลื่อนไหวอย่างวู่วาม
ในเมฆดำ เสียงของซงเฟิงซ่างเหรินดังออกมาอย่างเกียจคร้านว่า “ยาโถว เจ้าเป็นศิษย์ของฉินจิ้งเหอเดียรัจฉานเฒ่านั่นหรือ”
โม่เทียนเกอสีหน้าไม่สั่นไหว แม้แต่การคารวะก็ละเลย ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “มิผิด ผู้อาวุโสก็คือซงเฟิงซ่างเหริน?”
“หืม?” เสียงของซงเฟิงซ่างเหรินประหลาดใจเล็กน้อย “ฉินจิ้งเหอกลับสั่งสอนศิษย์ได้ดีนัก หม่าเสวียนอินกับฉินโส่วจิ้งล้วนไม่แย่ ยาโถวเจ้าระดับการฝึกตนไม่เท่าไหร่ กำลังขวัญกลับใหญ่โตเช่นเดียวกัน”
โม่เทียนเกอยกมุมปาก ฝืนยิ้มออกมา “ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่ชมเชย แต่ว่า ผู้อาวุโสจะต้องไม่ได้มาเพื่อชมเชยผู้เยาว์กระมัง ผู้เยาว์กำลังขวัญเล็ก ผู้อาวุโสมิสู้ให้ผู้เยาว์ไปโดยเร็วเป็นอย่างไร”
ได้ฟังประโยคนี้แล้ว ในเมฆดำมีเสียงหัวเราะแหบแห้งดังออกมา ซงเฟิงซ่างเหรินเอ่ยว่า “ยาโถวเจ้าช่างน่าสนใจ เทียบกับฉินจิ้งเหอเจ้าเดียรัจฉานเฒ่านั่นแล้วรื่นตากว่ามากนัก แต่ว่า น่าเสียดายหนอน่าเสียดาย เจ้ามีซือฟุอย่างฉินจิ้งเหอ แล้วยังมีซือเกออย่างฉินโส่วจิ้ง วันนี้ตกมาอยู่ในมือเหล่าฟู ได้แต่ถือว่าเจ้าโชคร้าย!”
……………………………….
ตอนที่ 299 – แผนการต่ำทราม