หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 346
ตอนที่ 346 – อยู่ชั่วคราว
โม่เทียนเกอถามไถ่เรื่องที่ตนเองสนใจไปทีละข้อแล้วยิ้มบาง เอ่ยว่า “โอสถขวดนี้ก็ถือว่าเป็นรางวัลที่ข้าให้เจ้าเถิด บอกท่านปู่เจ้าว่าขอลา ณ ตรงนี้”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน ผลักประตูจากไป
“ผู้อาวุโส!” ลวี่ชยงอิงไล่หลังมาติด ๆ แต่พอนางก้าวออกนอกประตูก็ไม่เห็นเงาร่างของโม่เทียนเกอแล้ว นางตะลึงไปครู่หนึ่ง ถอนหายใจอย่างผิดหวัง เรื่องที่ท่านปู่สั่งการ นางนับว่าทำพลาดแล้ว แต่ว่าพอคิดถึงโอสถขวดนั้นก็กลับดีใจขึ้นมา ไม่ว่าจะพูดอย่างไร นางกำไรครั้งใหญ่
โม่เทียนเกอเก็บงำลมปราณ บินไปที่เกาะเป่ยจี๋ตามที่ลวี่ชยงอิงพูด
เดิมทีวางแผนว่าจะพักที่สกุลลวี่อีกพักหนึ่ง รับทราบเรื่องของโลกฝึกเซียนอวิ๋นซงสักหน่อยจากปากคำของลวี่ชิ่งตงนั้น แต่คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะรอบคอบและระแวงมากเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกยุ่งยากยิ่งนัก แต่ว่าก็ไม่เป็นไร ไปที่เกาะเป่ยจี่ย่อมจะสามารถไต่ถามช้า ๆ
เกาะหนานจี๋เล็กมากจริง ๆ บินไปเพียงระยะเวลาสั้น ๆ โม่เทียนเกอก็สามารถมองเห็นช่องแคบที่คนสกุลลวี่กล่าวถึงได้แล้ว พูดว่าช่องแคบ แต่อันที่จริงก็เพียงแค่สองลี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนหลอมรวมพลังวิญญาณก็สามารถอาศัยเครื่องรางข้ามผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
แต่ห่างกันเพียงแค่สองลี้นี้ เส้นเลือดวิญญาณกลับต่างกันเหมือนฟ้ากับดิน ยังไม่ทันถึงเกาะเป่ยจี๋ โม่เทียนเกอก็สัมผัสได้แล้วว่าบนเกาะใหญ่แห่งนี้อย่างน้อยที่สุดมีสถานที่สามถึงห้าแห่งที่เส้นเลือดวิญญาณไม่เลวเลยทีเดียว ถึงขนาดที่ยังดีกว่าเขาอวิ๋นอู้ในปีนั้นอยู่หน่อย เทียบกันแล้ว เกาะหนานจี๋เป็นเพียงเนินเขาเล็ก ๆ ที่มีพลังวิญญาณอยู่บ้างเท่านั้น มิน่าเล่าสกุลลวี่ที่ระดับการฝึกตนสูงสุดก็แค่ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังขั้นต้นกลับสามารถยึดครองเกาะหนานจี๋เอาไว้ได้ เส้นเลือดวิญญาณนี้สำหรับคนของเกาะเป่ยจี๋แล้วไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเลย
บินผ่านช่องแคบ มองแวบเดียวก็เห็นเมืองแห่งหนึ่งที่มีคนไป ๆ มา ๆ บนเกาะเป่ยจี๋ ผู้ฝึกเซียนเต็มไปหมด ผู้ฝึกตนสร้างฐานพลังก็เห็นไม่น้อย
นางทิ้งตัวลงหน้าประตูเมือง กำลังสังเกตสังกาไปรอบ ๆ จู่ ๆ ได้ยินเสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างหูว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้ อาวุโสท่านนี้ มาที่เกาะเป่ยจี๋เป็นครั้งแรกหรือขอรับ”
โม่เทียนเกอไม่สนใจ ผลคือคนผู้นี้หันมาอยู่เบื้องหน้านาง ทวนซ้ำอีกรอบ นางจึงได้รู้ว่าพูดกับตนเอง
ผู้ที่เอ่ยวาจากับนางเป็นเด็กหนุ่มที่ดูเหมือนมีอายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง ถึงจะมีพลังวิญญาณอ่อนจาง แต่ยังไม่ถึงหลอมรวมพลังวิญญาณขั้นหนึ่ง ดูแวบแรกก็คือปุถุชนที่คลุกคลีอยู่ในตลาด
นางกวาดมองเด็กหนุ่ม ถามอย่างเฉยเมยว่า “มีธุระหรือ”
เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าทันที เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นผู้สูงส่งระดับสร้างฐานพลัง ไม่ทราบว่ามาที่เกาะเป่ยจี๋เป็นครั้งแรกหรือไม่ขอรับ”
“ไม่เลว” โม่เทียนเกอสายตาตวัดมองเด็กหนุ่ม เห็นเพียงแค่ว่าเขาร่างเล็กเตี้ย สองแขนว่างเปล่า ไม่ได้มีท่าทางเหมือนอยากจะขายสิ่งของให้นาง แต่รอยยิ้มเอาใจนี้ ดูอย่างไรก็เหมือนกับการโฆษณาธุรกิจ
“เช่นนั้นผู้อาวุโสมาที่เกาะเป่ยจี๋คือมาเยี่ยมสหายหรือว่าล่าอสูรเล่าขอรับ”
ได้ยินวาจานี้ โม่เทียนเกอหรี่ตาลงจับจ้องเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มนี้พอเห็นแววตาของนางก็รีบอธิบายว่า “ผู้อาวุโสอย่าได้เข้าใจผิด ข้าน้อยเป็นนายหน้า อยู่ที่ตลาดนี้ตลอดทั้งปี พบเจอกับผู้ฝึกตนที่มาเกาะเป่ยจี๋ของเราเป็นครั้งแรกก็จะเชิญชวนทำธุรกิจหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องสักหน่อย……”
“อ้อ เช่นนี้เอง” โม่เทียนเกอเก็บสายตาประสงค์ร้ายกลับมา ถามว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะเชิญชวนทำธุรกิจอะไร”
เห็นนางมีท่าทางค่อนข้างสนใจ เด็กหนุ่มก็มีสีหน้ายินดี อธิบายอย่างกระตือรือร้นว่า “นั่นก็ต้องดูว่าผู้อาวุโสมาทำอะไรขอรับ มิใช่ข้าน้อยอวดโอ่ ข้าน้อยเติบโตที่เกาะเป่ยจี๋ตั้งแต่เล็ก เรื่องบนเกาะ ข้าน้อยไม่มีสิ่งที่ไม่รู้!”
เด็กหนุ่มมั่นใจในตนเองนัก โม่เทียนเกอยิ้มบาง ถามว่า “สมมติว่าข้ามาเยี่ยมสหาย เจ้าจะทำอย่างไร หากมาล่าอสูร แล้วจะทำอย่างไร”
เด็กหนุ่มยิ้มตอบว่า “หากผู้อาวุโสมาเยี่ยมสหาย เช่นนั้นขอเพียงผู้อาวุโบอกชื่อแซ่และระดับการฝึกตนของสหายมา ข้าน้อยก็จะมีหนทางไหว้วานคนไปเสาะหา สมมติว่าผู้อาวุโสมาล่าอสูร เช่นนั้นข้าน้อยสามารถหาจุดพักเท้าที่เหมาะสมให้ผู้อาวุโส แนะนำผู้ฝึกตนที่มาล่าอสูรเช่นกัน นอกจากนั้น ยังมีแผนที่ของเกาะเป่ยจี๋ จดว่าที่ไหนมีอสูรปีศาจอะไร แล้วยังสามารถแนะนำผู้อาวุโสกับพ่อค้าที่รับแกนปีศาจ ประกันว่าเป็นสกุลพ่อค้าใหญ่ที่ราคายุติธรรม!”
โม่เทียนเกอประหลาดใจนิดหน่อย “เจ้ามิใช่ผู้ฝึกตน เหตุใดสามารถรู้จักสกุลพ่อค้าใหญ่ที่รับแกนปีศาจเล่า”
เด็กหนุ่มลูบศีรษะอย่างขัดเขิน เอ่ยว่า “ไม่ปิดบังผู้อาวุโส ข้าน้อยไม่เป็นเรื่องอื่นใด ก็แค่ลื่นไหล ประจบเจ้าของร้านค้าเหล่านั้นให้มีความสุข พวกเขาเต็มใจจะมอบกำไรเล็กน้อยให้ข้า อีกอย่าง ตอนที่ยังเล็กเคยแนะนำธุรกิจให้มาบ้าง ถึงแม้จะไม่ได้ทำเงินมากมายก็เป็นลู่ทางหนึ่ง”
โม่เทียนเกอฟังเขาพูดจนจบ คิด ๆ แล้วเอ่ยว่า “ข้ามาที่นี่เป็นคราแรก ต้องการสถานที่พักเท้า เจ้าแนะนำมาหน่อย เป็นอย่างไร”
เด็กหนุ่มฟังจนลิงโลด เอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีข้อเรียกร้องอะไรขอรับ พลังวิญญาณเข้มข้นหน่อยหรือว่าทั่วไป พื้นที่ใหญ่เท่าใด ต้องการถ้ำพำนักหรือว่าเรือนพัก ต้องการอยู่นานเท่าใด”
โม่เทียนเกอพูดว่า “พลังวิญญาณพอประมาณก็ได้ ถ้ำพำนักหรือว่าเรือนล้วนไม่เป็นไร สถานที่ใหญ่เล็กก็ไม่เรียกร้อง ขอเพียงเงียบสงบสักหน่อย สำหรับอยู่นานเท่าใด นั่นก็ไม่แน่แล้ว อาจจะหลายวันหรือว่าเป็นเดือน”
“อย่างนี้หรือ……” เด็กหนุ่มก้มศีรษะใคร่ครวญสักครู่ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส เวลาที่ท่านอยู่ไม่แน่นอน เช่นนั้นไม่เหมาะจะพักถ้ำพำนัก สำหรับพลังวิญญาณ มากน้อยล้วนไม่เรียกร้อง ฟังแล้วโรงเตี๊ยมค่อนข้างเหมาะสม ข้าน้อยรู้ว่าโรงเตี๊ยมหลายเจ้ามีเรือนเล็ก ๆ ที่เป็นเอกเทศ ปลูกไว้ให้ยอดฝีมืออาวุโสอย่างท่านพักอาศัยโดยเฉพาะ พลังวิญญาณยังไม่เลว มีคนรับใช้ตลอดเวลา เงียบสงบอย่างแน่นอน!” พูดถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มยิ้มประจบ “คือว่าราคาอาจจะแพงสักหน่อย”
“อ้อ? ราคาเท่าไหร่”
“หนึ่งวันศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนประมาณนั้น……” เด็กหนุ่มเน้นย้ำขึ้นมาอีกว่า “ราคานี้เทียบกับถ้ำพำนักดี ๆ แล้วยังถูกกว่าสักหน่อย”
โม่เทียนเกอยิ้ม ถามอีกว่า “เช่นนั้นค่านายหน้าของเจ้าเล่า”
ได้ยินคำถามนี้ เด็กหนุ่มถูกมืออย่างขัดเขิน กล่าวว่า “ผู้อาวุโสมอบค่าวิ่งเต้นมาสักหน่อยก็พอแล้วขอรับ”
โม่เทียนเกอยิ้ม นางรู้ว่าหากทำธุรกิจสำเร็จ นายหน้าเหล่านี้สามารถรับเงินค่าเหนื่อยจากร้านค้า ดังนั้นสำหรับค่าวิ่งเต้นไม่เรียกร้องเท่าใด
นางก็ไม่อยากจะดึงดูดความสนใจของผู้คน จึงเอ่ยว่า “หนึ่งวันศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนยังรับได้ เจ้าเพียงเสาะหาที่ธรรมดา ๆ มาสักแห่งก็พอ”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มจ้องมองนาง สอบถามว่า “ผู้อาวุโสตามข้าน้อยไปดูนะขอรับ”
“อืม” ต่อรองกับเด็กหนุ่มแล้วโม่เทียนเกอก็ตามเขาเดินทะลุซอกซอย ไม่ทันไรก็มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โรงเตี๊ยมนี้ตั้งอยู่บนถนนที่ไม่ค่อยคึกคัก ไม่ใหม่ไม่เก่า ผู้สัญจรไม่มากไม่น้อย ตรงกับข้อเรียกร้อง “ธรรมดา ๆ” ของนางพอดี
“ผู้อาวุโส เชิญเข้าขอรับ” เด็กหนุ่มนำหน้า พอเข้าโรงเตี๊ยมก็ร้องเรียกเสียงดังว่า “ผู้ดูแลต่ง ๆ!”
เมื่อได้ยินเสียงของเขาก็เห็นชายกลางคนรูปร่างท้วมผู้หนึ่งมุดออกจาการหลังเคาน์เตอร์ บนร่างไร้ซึ่งพลังวิญญาณ เป็นปุถุชนเต็มตัว เขาตบฝุ่นผงบนมือ มองเด็กหนุ่มคนนี้ “ไง นี่มิใช่เสี่ยวโจวจึหรอกหรือ เป็นไร มาเอาค่าจ้างครั้งที่แล้วรึ ข้าบอกกับเจ้าเลยนะว่าแขกผู้นั้นรับใช้ยากเกินไปแล้ว เงินที่ให้ไม่มากแล้วยังจะทำเอาผู้ช่วยของข้าวิ่งวุ่นไปทั่วอีก! เฮ้อ เท่านี้แหละ เจ้าอย่ารังเกียจว่าน้อย ถ้าไม่ใช่เห็นแก่มิตรภาพเก่าของพวกเรา ข้าไม่คิดจะให้ด้วยซ้ำ!”
ผู้ดูแลร้านล้วงเงินตำลึงก้อนเล็ก ๆ ออกมาจากในลิ้นชักแล้วยื่นให้
เด็กหนุ่มที่เรียกว่าเสี่ยวโจวจึรับมา หัวเราะฮี่ ๆ เอ่ยว่า “ข้าจะรังเกียจว่าน้อยได้อย่างไรเล่า! มิตรภาพพวกเราเป็นอย่างไร ข้าเสี่ยวโจวจึเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ไม่แบ่งแยกดีชั่วขนาดนั้นหรือ แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ครั้งนี้ข้าพาแขกผู้ทรงเกียรติมา ท่านดู!”
ผู้ดูแลต่งเงยหน้าเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ เห็นโม่เทียนเกอที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ตะลึงงัน รีบร้อนออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านเซียนท่านนี้ มาพักแรมหรือขอรับ”
โม่เทียนเกอไม่ตอบคำ เพียงมองเสี่ยวโจวจึ เสี่ยวโจวจึต่อบทสนทนาไปว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นผู้สูงส่งระดับสร้างฐานพลัง นางอยากจะหาสถานที่เงียบสงบพักอยู่ชั่วคราว พวกท่านมิใช่ว่ามีเรือนเล็ก ๆ หลายหลังหรือ ขณะนี้ยังมีอยู่หรือไม่”
“มี ๆๆ!” ผู้ดูแลต่งฉีกยิ้ม “ท่านเซียนท่านนี้ต้องการพักกี่วันหรือขอรับ พวกเรายังเหลือเรือนเล็กสามหลัง หลังหนึ่งพลังวิญญาณเต็มเปี่ยม สองหลังพลังวิญญาณพื้น ๆ ไม่พูดถึงอย่างอื่น หากเอ่ยถึงความเงียบสงบนั่นไม่ต้องพูดแล้ว”
โม่เทียนเกอเผชิญกับสายตาร้อนแรงของทั้งสองคน ยิ้มบาง ๆ “เช่นนั้นก็ไปดูเถิด”
“ขอรับ ๆๆ” ผู้ดูแลร้องเรียกผู้ช่วย นำทั้งสองคนไปดูเรือนด้วยตนเอง
ออกไปจากประตูหลังของโรงเตี๊ยมนี้ถึงกับเป็นเนินเขาเล็ก ๆ หนึ่งลูก ผู้ดูแลร้านนำทางพลางแนะนำอย่างวก ๆ วน ๆ ไปตลอดทาง “ท่านเซียน เรือนเล็กสามหลังที่เหลือของพวกเรา หลังที่พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมอยู่ไกลไปหน่อย หลังที่พลังวิญญาณธรรมดาอยู่ข้างหลังไม่ไกล เรือนที่ดีที่สุดย่อมเป็นเรือนที่พลังวิญญาณเต็มเปี่ยมนั้น อยู่ห่างไกล มีคนรับใช้โดยเฉพาะ การตกแต่งก็สง่างาม อีกสองหลังก็ไม่เลว เพียงแค่พลังวิญญาณแย่หน่อยเท่านั้น”
ระหว่างที่พูด โม่เทียนเกอเห็นเรือนที่พลังวิญญาณค่อนข้างธรรมดาสองหลังที่เขาพูดแล้ว ในหุบเขานี้ปลูกไว้เต็มสองแถว ทุก ๆ เรือนอยู่ห่างกันร้อยจ้าง ระหว่างกลางปลูกต้นไม้มากมาย
จิตหยั่งรู้ของนางสัมผัสได้ว่าเรือนเล็กสองแถวนี้มีห้าหกหลังที่มีลมหายใจของผู้ฝึกตน นางใคร่ครวญสั้น ๆ แล้วเอ่ยว่า “ยังมีอีกไหม”
ผู้ดูแลต่งเห็นนางท่าทางไม่พอใจเรือนที่อยู่ตรงหน้านักก็ยิ่งเอาใจใส่ ทำท่าทางเชื้อเชิญ “ยังมีหลังหนึ่งที่อยู่ลึก ๆ ท่านเซียนเชิญ”
หุบเขานี้ถึงจะเล็ก เส้นเลือดวิญญาณกลับไม่เลว เทียบกับอันที่สกุลลวี่เกาะหนานจี๋ก็ไม่แย่ ดูท่าเบื้องหลังโรงเตี๊ยมนี้ก็น่าจะมีกลุ่มอำนาจประเภทตระกูลฝึกเซียน ยิ่งเดินเข้าไป พลังวิญญาณยิ่งหนาแน่น เดินไปได้ครึ่งลี้ ในสถานที่ซึ่งพลังวิญญาณหนาแน่นที่สุดเห็นเรือนอีกสองหลัง
“ท่านเซียนโปรดดู” ผู้ดูแลต่งชี้เรือนสองหลังที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางแมกไม้ “ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งพลังวิญญาณของเส้นเลือดวิญญาณเล็ก ๆ นี้หนาแน่นที่สุด พวกเราเพียงปลูกเรือนสองหลัง อยู่ห่างกันไกลยิ่งนัก จะไม่ถูกรบกวน”
โม่เทียนเกอเหลือบมอง ระหว่างเรือนสองหลังนี้แยกจากกันด้วยป่าเล็ก ๆ หนึ่งผืน หากมิใช่จงใจตอแยน่าจะไม่มีปัญหา
นางใคร่ครวญครู่หนึ่ง ในใจมีการตัดสินใจ ถามว่า “เรือนหลังไหนที่ยังว่าง”
ผู้ดูแลต่งชี้ไปที่หลังซึ่งอยู่ข้างนอกนิดหน่อย เอ่ยว่า “เป็นหลังนั้นขอรับ ด้านในหลังนั้น ผู้ที่พักอยู่ก็เป็นท่านเซียนท่านหนึ่ง แต่ในเวลาส่วนใหญ่แล้วจะไม่อยู่”
โม่เทียนเกอพยักหน้า อย่างนี้ดีที่สุด จะไม่ถูกรบกวน เดินทางในทางน้ำใต้ดินเป็นเดือน ขณะนี้นางอยากหาสถานที่พักผ่อนดี ๆ
ผู้ดูแลต่งนำนางเข้าเรือนเล็กในป่านั้น ในเรือนมีสตรีปุถุชนคนหนึ่งปัดกวาด เขาเรียกเสียงดังว่า “อาอิ๋น!”
สตรีนางนี้หมุนตัวมา เห็นผู้ดูแลต่งพาแขกเข้ามาก็รีบย่อกายคารวะ
ผู้ดูแลต่งเอ่ยว่า “ท่านเซียนโปรดดู ที่นี่มีสามห้อง ห้องนี้สามาถหลอมยา ห้องนี้สามารถฝึกตน ยังมีโถงเล็กระหว่างกลางสามารถรับแขก นอกจากนี้ หากท่านมีอสูรวิญญาณสามารถเลี้ยงอยู่ที่นี่ มีเรื่องราวอะไรเพียงสั่งให้อาอิ๋นไปทำ หากไม่มีธุระ นางก็จะอยู่ในห้องข้างเล็ก ๆ จะไม่รบกวนท่านเด็ดขาด”
โม่เทียนเกอมองดูหนึ่งรอบ พึงพอใจอย่างยิ่ง เรือนนี้ถึงจะเล็ก การตบแต่งกลับสง่างาม สิ่งที่ควรมีล้วนมี ถึงจะอยู่เป็นปีก็ไม่มีปัญหา
“ท่านเซียนพอใจหรือไม่ขอรับ ตกลงหรือไม่ขอรับ”
โม่เทียนเกอถามว่า “ราคาเป็นอย่างไร”
“หนึ่งวันศิลาวิญญาณหนึ่งก้อน” ผู้ดูแลต่งฉีกยิ้ม กล่าวอีกรอบว่า “ท่านวางใจ ราคานี้ยุติธรรมแน่นอน!”
โม่เทียนเกอพยักหน้า ล้วงศิลาวิญญาณจากในกระเป๋าเอกภพยื่นให้ผู้ดูแล “ขณะนี้ข้าจะอยู่ที่นี่สิบกว่าวัน หากยังอยู่ค่อยจ่ายเงินใหม่”
“ขอรับ ๆ” ผู้ดูแลต่งพยักหน้าค้อมคำนับ “เช่นนั้นข้าจะไม่รบกวนท่านแล้ว”
เสี่ยวโจวจึที่ตามอยู่ข้างหลังมาตลอดมองศิลาวิญญาณสิบกว่าก้อนนั้น สายตาก็ยิ้มแย้ม ศิลาวิญญาณมากขนาดนี้ อย่างน้อยมีหนึ่งก้อนเป็นค่าจ้างของเขา! เขาขึ้นหน้าไปเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อนนะขอรับ”
โม่เทียนเกอพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เอื้อมมือไปสัมผัสกระเป๋าเอกภพอีกครั้ง ยื่นศิลาวิญญาณให้เขาหนึ่งก้อน “นี่ถือว่าเป็นเงินค่าเหนื่อยของเจ้า”
เสี่ยวโจวจึดวงตาเปล่งประกาย เอ่ยขอบคุณรัว ๆ “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ประทานรางวัลมากขอรับ!”
……………………………..
ไม่อยากใช้ทับศัพท์อังกฤษเลยอ่า แต่นึกไม่ออกว่าเคาน์เตอร์แปลว่าอะไรได้
ตอนที่ 347 – ตลาดเสรี