หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1016
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1016 อสูรโบราณโภคะ
เมื่อจงเถิงเผ่นหนีไปแล้ว
บรรยากาศเดือดพล่านด้านนอกเจดีย์ก็สิ้นสุดลง จอมยุทธ์เผ่าอื่นๆ พากันเหลือบมองมู่เฉินด้วยความหวาดกลัวและความเคร่งเครียดในสายตาก่อนที่จะทยอยจากไป
หลังจากที่เจดีย์ฝึกพลังกายเปิดขึ้นในครั้งนี้ก็จะปิดไปอีกนานและไม่มีวิธีใดที่จะเปิดได้ ดังนั้นที่นี่จึงหมดความน่าดึงดูดใจ ไม่มีใครยอมที่จะหยุดอยู่ต่อ
ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล มีโอกาสอีกมากมายรอพวกเขาให้ไปค้นหา ดังนั้นไม่มีใครจมจ่อมอยู่ในที่ที่เดียวหรอก
ทว่าถึงแม้พวกเขาจะจากไป แต่ทุกคนต่างก็จดจำมนุษย์ที่มีนามว่ามู่เฉินที่มีพลังกายทรงประสิทฺภาพเหนือกว่าแม้แต่เทพอสูรซึ่งสลักความประทับใจให้กับพวกเขา พวกเขารู้ว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะเห็นมู่เฉิน ในเวลานั้นบางทีอัจฉริยะทั้งหมดที่อยู่ในดินแดนเสินโซ่จะรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของเขา
ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็น ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเป็นยังไงหากเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อัจฉริยะเผ่าเทพอสูรอื่นๆ
หากเกิดการต่อสู้กันจะต้องเป็นการปะทะกันของดาวหางยักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งน่าตื่นตาอย่างยิ่ง
การฝึกยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่เพิ่งจะเริ่ม รอให้ถึงเวลาที่เหล่ายอดอัจฉริยะมารวมตัวกัน เวลานั้นถึงได้เป็นจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ในดินแดนเสินโซ่
“ฮ่าๆ พี่มู่ทรงพลังอย่างแท้จริง ข้าเองยังเทียบพลังกายของเจ้าไม่ได้เลย”
เมื่อฝูงชนที่อยู่นอกเจดีย์ค่อยๆ จากไป หานซันก็ประสานมือด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาสุภาพอ่อนโยนอบอุ่นกว่าตอนที่อยู่ในเจดีย์ เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างมู่เฉินกับจงเถิง หานซันก็วางมู่เฉินไว้ในจุดที่สำคัญอย่างยิ่ง
มากจนตัวเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะมู่เฉินได้
มู่เฉินยิ้มพลางประสานมือให้พร้อมฉายความเป็นมิตร ไม่มีความแข็งกร้าวและเฉียบคมเหมือนตอนเผชิญกับจงเถิงและลู่สุย หานซันไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา หากพวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีก็ย่อมมีผลประโยชน์มากกว่าผลเสีย
“แต่วันนี้พี่มู่กลายเป็นศัตรูเต็มตัวกับจงเถิงซะแล้ว”
หานซันเหลือบมองไปยังทิศที่จงเถิงหายไปก็ยิ้ม “แม้ว่าจงเถิงจะเป็นอัจฉริยะของเผ่ากระเรียนฟ้าแต่เขาก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร ตามที่ข้ารู้เผ่ากระเรียนฟ้ามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเผ่าคุนเผิง ตัวจงเถิงก็มีความสัมพันธ์บางอย่างในเผ่าคุนเผิง…”
“เผ่าคุนเผิง?” ดวงตาของมู่เฉินหดลงเมื่อได้ยิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับเผ่าเทพสูร แต่เขารู้ว่าเผ่าคุนเผิงถือเป็นหนึ่งในเผ่าเทพอสูรชั้นยอดที่มีรากฐานไม่ด้อยไปกว่าเผ่ามังกรและหงส์ฟ้าเลยทีเดียว
สีหน้าของจิ่วโยวและมั่วเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ดูเคร่งเครียดมากขึ้น เผ่ากระเรียนฟ้าสืบเชื้อสายมาจากมหาเทพอสูรเผ่ากระเรียนปีกทองคำ ซึ่งเผ่าคุนเผิงเป็นต้นกำเนิดของกระเรียนทั้งหมด ดังนั้นกระเรียนปีกทองคำจึงถือว่าเป็นหนึ่งในเผ่าคุนเผิงนั่นเอง
ก็เหมือนกับสายเลือดของวิหคอมตะโบราณที่ไหลอยู่ในร่างสมาชิกเผ่าวิหคโลกันตร์ ซึ่งวิหคอมตะโบราณถือเป็นหนึ่งในเผ่าหงส์ฟ้าด้วยเช่นกัน
ถ้าจงเถิงมีความสัมพันธ์กับคนในเผ่าคุนเผิงจริง ถ้าเขาเชิญจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าคุนเผิงเข้าร่วมก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับพวกเขา สามารถจินตนาการได้ว่าจอมยุทธ์อัจฉริยะของเผ่าเทพอสูรชั้นยอดจะเป็นอย่างไร
แม้ว่าจะระวังขึ้นในใจ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก เส้นทางการฝึกฝนในหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่ได้พึ่งพาความกลัว
“เราจะระวังเรื่องนี้ ขอบคุณสำหรับข้อมูล” มู่เฉินประสานมือแสดงความขอบคุณต่อการเตือนของหานซัน
หานซันยิ้มครุ่นคิดสั้นๆ ถามว่า “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าวางแผนจะไปที่ไหนต่อหรือ?”
เมื่อมู่เฉินได้ยินคำถามดังกล่าวก็แลกเปลี่ยนสายตากับจิ่วโยว จากนั้นนางก็พูดขึ้นว่า “พวกข้ากำลังหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณน่ะ”
นางไม่ได้ซ่อนเป้าหมายของตนเอง เพราะถึงยังไงหากข่าววิหคอมตะโบราณกระจายออกไปก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดไว้ นอกจากนี้พวกนางก็ต้องการหาให้พบก่อน
หลายปีมานี้เผ่าวิหคโลกันตร์ก็สืบหาข้อมูลอยู่เสมอ แต่การเก็บเกี่ยวไม่น่าประทับใจอะไรเลย
“วิหคอมตะโบราณเหรอ…”
หานซันไม่ได้ประหลาดใจอะไรกับความจริงข้อนี้ เนื่องจากเขารู้อยู่แล้วว่าเผ่าวิหคโลกันตร์มีสายเลือดวิหคอมตะโบราณ จึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าได้ข้อมูลอะไรมาหรือยัง?”
จิ่วโยวส่ายหน้า
“ถ้างั้นข้าอาจจะให้ความช่วยเหลือได้บ้าง” หานซันกล่าว
มู่เฉินและจิ่วโยวตกใจก่อนที่จะมองหานซันด้วยสายตาตั้งคำถามพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ามีเบาะแสบางอย่างเหรอ?”
หากเป็นเช่นนั้นจริงหานซันจะยอมบอกเบาะแสมาอย่างง่ายดายได้ยังไง?
“ไม่ใช่เบาะแสที่แน่นอน” หานซันยิ้ม “แต่ข้าเชื่อว่าดีกว่าคลำไปรอบๆ น่ะ”
“ยินดีรับฟัง”
จิ่วโยวพยักหน้าอย่างจริงจัง ดินแดนเสินโซ่กว้างใหญ่ไพศาล แม้จะมีรัศมีหงส์ฟ้าแท้จริงบนร่างมู่เฉิน แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะพบร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ ดังนั้นหากมีเบาะแสน้อยนิดก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับพวกเขา
“ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องสุสานหมื่นอสูรไหม?” หานซันกล่าว
“สุสานหมื่นอสูร?!”
มู่เฉินไม่ได้ตอบสนองกับคำพูดนี่ แต่ใบหน้าของจิ่วโยวและมั่วเฟิงเปลี่ยนไปพร้อมกับความเคร่งเครียดและหวาดหวั่น
“ที่นั่นคือที่ไหนเหรอ?” มู่เฉินถามอย่างประหลาดใจ
“ก็ตามความหมายของชื่อ นั่นเป็นสุสานของสัตว์อสูรน่ะ… ว่ากันว่าเทพอสูรที่ละสังขารที่นั่นมีจำนวนมากที่สุดในดินแดนเสินโซ่ ทำให้กลายเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยรัศมีความตายตลอดทั้งปี เนื่องจากผสมผสานเข้ากับรัศมีปีศาจต่างมิติ จึงอันตรายอย่างยิ่งและเป็นหนึ่งในดินแดนมรณะ” จิ่วโยวพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แต่ก็มีข่าวลือว่าไม่ได้มีมหาเทพอสูรเพียงหนึ่งเดียวที่ละสังขารที่สุสานหมื่นอสูร…” มั่วเฟิงกล่าวเสริม
“วิหคอมตะโบราณก็เป็นหนึ่งในนั้นเรอะ?” มู่เฉินมองไปที่หานซัน
“ครั้งก่อนตอนที่ดินแดนนี้เปิดออก เผ่าของข้าได้เข้าไปในสุสานหมื่นอสูร พวกเขาเล่าว่าเคยได้ยินเสียงร้องของหงส์ฟ้าและ… เพลิงอมตะ” หานซันพูดช้าๆ
ลมหายใจของจิ่วโยวกระชั้นขึ้น เพลิงอมตะ… เป็นเพลิงเอกลักษณ์ของวิหคอมตะโบราณ หากสิ่งที่หานซันพูดเป็นความจริงละก็ อาจจะมีร่างวิหคอมตะร่วงหล่นอยู่ในสุสานหมื่นอสูรจริงๆ
เพียงแต่ว่าดินแดนมรณะนั่นอันตรายเกินไป ในอดีตมีคนไม่มากนักจากเผ่าวิหคโลกันตร์ที่ไปที่นั่น
“ทำไมพี่หานถึงบอกเรื่องนี้กับเรา… ” แววตามู่เฉินวูบไหว จากนั้นก็ยิ้มให้หานซัน ความหมายในคำพูดของเขาชัดเจน ในเมื่ออีกฝ่ายบอกข้อมูลเชิงลึกขนาดนี้ก็ต้องมีเป้าหมายอะไรบ้าง
“ข้าต้องการหาพันธมิตรน่ะ” หานซันพูดตรงๆ
“พี่หานพบบางอย่างในสุสานใช่ไหม?” มู่เฉินหยั่งเชิง หากไม่ทราบข้อมูลที่แน่นอน หานซันคงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อเข้าสู่ดินแดนมรณะนั่นหรอก
หานซันเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉินก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ “กลุ่มของข้าเคยเห็นอสูรโบราณโภคะอยู่ในสุสานนั่น”
“อสูรโบราณโภคะ?!”
เมื่อคำพูดเหล่านั้นพูดออกมา ไม่เพียงแต่จิ่วโยวและมั่วเฟิงที่อึ้งไป แม้แต่มู่เฉินก็เบิกตากว้างพร้อมกับความตกตะลึงบนใบหน้า
อสูรโบราณโภคะไม่เพียงแต่โด่งดังในโลกสัตว์อสูรเท่านั้น แต่ยังเป็นที่เลื่องลือในโลกมนุษย์อีกด้วย
เล่าลือกันว่าอสูรโบราณโภคะชอบกินโลหะที่เป็นเอกลักษณ์ทุกชนิดและสมบัติต่างๆ สิ่งเหล่านั้นจะได้รับการชำระในร่างมันด้วยรูปแบบพิเศษ ก่อนที่จะกลายเป็นอาวุธพบสวรรค์ทรงพลัง มากจนแม้แต่อสูรโบราณโภคะบางตัวสามารถกลั่นอาวุธเสมือนมหสวรรค์และอาวุธมหสวรรค์ได้ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนยังใจหวั่น
ดังนั้นอสูรโบราณโภคะจึงถูกขนานนามว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นอาวุธเทพแต่กำเนิด ตราบใดที่มันตายไปก็ดึงดูดสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนไป
นั่นเป็นเพราะศพของมันคือสมบัติ!
แต่น่าเสียดายที่มันหายากแสนยาก ไม่ค่อยปรากฏตัวแม้แต่ในสมัยโบราณ ยิ่งตอนนี้ในมหาพันภพก็มีจำนวนน้อยนิด
แต่ไม่ว่ามันจะหายากเพียงใด ชื่อเสียงก็โด่งดังจนน่ากลัว ดังนั้นแม้แต่คนอย่างมู่เฉินที่รู้เรื่องเผ่าสัตว์อสูรน้อยนิดก็ยังรู้เรื่องนี้
เมื่อหานซันมองเห็นความตกตะลึงที่เขียนบนใบหน้าของพวกเขาก็พยักหน้าเบาๆ “จากข่าวอสูรโบราณโภคะตัวนี้ทรงพลังอย่างยิ่งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เข้าใกล้การเป็นมหาเทพอสูร ถ้ามันไม่ได้พบภัยพิบัตินั่นก็อาจจะพัฒนาเป็นมหาเทพอสูรไปแล้วก็ได้”
เมื่อไรที่กลายเป็นมหาเทพอสูรก็จะสามารถกลั่นอาวุธทรงพลังเท่าอาวุธมหสวรรค์…
ทว่ามู่เฉินและคนอื่นๆ ไม่รู้สึกเสียใจ ตรงกันข้ามดวงตากลับส่องประกายมากขึ้น นั่นหมายความว่าสัตว์อสูรตัวนี้ได้สัมผัสเข้าไปในขอบเขตของมหาเทพอสูรแล้ว
นั่นก็หมายความว่าในร่างมันอาจมี… อาวุธเสมือนมหสวรรค์อยู่ก็ได้
“ในร่างกายมัน ไม่น่าจะมีอาวุธเสมือนมหสวรรค์แค่หนึ่งชิ้น…” หานซันพยักหน้าพร้อมกับความโลภพล่านเต็มในดวงตา หากเขาได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์สักชิ้น การเดินทางมายังดินแดนเสินโซ่ก็คุ้มค่าอย่างที่สุดแล้ว
ซี้ด!
พวกมู่เฉินสูดลมหายใจเย็น หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอาจจะดึงดูดคนนับไม่ถ้วนมุ่งหน้าไปยังสุสานหมื่นอสูรก็เป็นได้
“ข้อมูลแบบนี้… เจ้าก็ยินดีแบ่งปันด้วยเหรอ?” มั่วเฟิงจ้องมองหานซันแบบไม่อยากเชื่อ มีใครไม่ต้องการครอบครองตัวสมบัติดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวด้วยเรอะ?
“โอกาสทุกประเภทต้องอาศัยความแข็งแกร่ง”
หานซันยิ้มบาง “ไม่ต้องพูดถึงอันตรายในสุสาน แค่พื้นที่ที่อสูรโบราณโภคะละสังขารก็มีสิ่งที่จัดการได้ยากแล้ว… นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือไม่ใช่ข้าคนเดียวที่รู้เรื่องนี้”
“ในตอนนั้นนอกเหนือจากจอมยุทธ์เผ่าข้าแล้ว ยังมีเผ่าอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน ข้าเชื่อว่าพวกเขาตั้งเป้าหมายไปที่นั่นแล้ว”
“ดังนั้นข้าต้องการเพื่อนร่วมทางที่สามารถไว้ใจได้”
หานซันมองกลุ่มมู่เฉินแล้วยิ้ม “ข้าขอพูดบางคำที่อาจสร้างความไม่พอใจ ก่อนหน้าถ้ามู่เฉินไม่แสดงความแข็งแกร่งให้เห็น ข้าคงมองข้ามพวกเจ้าไปแล้ว… แล้วคำตอบของพวกเจ้าคืออะไร?”
มู่เฉินแลกเปลี่ยนสายตากับพรรคพวก ดวงตาทั้งสี่กะพริบแสงวูบไหว โต้ตอบผ่านการส่งเสียงสั้นๆ ไม่นานจากนั้นพวกเขาก็ตกลงกันได้
มู่เฉินมองไปที่หานซันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าพลางยื่นมือออกมา
“หวังว่าความร่วมมือของเราจะเป็นเรื่องน่ายินดี”