หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1042
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1040 ดินแดนลึกลับ
เหนือทะเลสาบส่องแสงระยิบระยับอย่างเงียบเชียบ
ร่างเงาหนึ่งลอยตัวขึ้นเหนือผิวน้ำราวกับขอนไม้ ระลอกคลื่นบนพื้นผิวทะเลสาบก็ไม่สามารถสั่นคลอนร่างกายของเขาได้
ซึ่งร่างนี้ก็คือมู่เฉินที่เลือกเข้าฝึกฝนเหนือทะเลสาบตัวเป่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยคลื่นหลิง ยิ่งไปกว่านั้นยังเงียบสงบไม่มีการรบกวนจากรัศมีความตาย ดังนั้นจึงเป็นจุดที่ดีอย่างยิ่งสำหรับการเข้าสมาธิ
รอบทะเลสาบจิ่วโยว มั่วเฟิงและคนอื่นๆ ก็เข้าสู่การฝึกฝนด้วยเช่นกัน พวกเขาเพิ่งได้รับอาวุธเสมือนมหสวรรค์มา ดังนั้นจึงต้องหล่ออาวุธเหล่านี้ด้วยคลื่นหลิงของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะสามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้นและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการต่อสู้
ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงสนับสนุนต่อข้อเสนอแนะของมู่เฉินในการทำสมาธิ
ระหว่างการทำสมาธิ มู่เฉินก็ลืมตาม่านสีดำราวกับบ่อน้ำลึกที่ไม่มีความผันผวนใด เขาครุ่นคิดสั้นๆ ก่อนหยิบขวดหยกแล้วพลิกนิ้ว สายธารพุ่งออกมาจากปากขวด คลื่นหลิงในฟ้าดินต้มเดือดทันที มีหมอกหลิงห่อหุ้มร่างของมู่เฉินอยู่เลือนราง
สายธารนี้เกิดจากของเหลวจื้อจุนหลายแสนหยด
โดยทั่วไปการฝึกฝนของจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนจะขาดของเหลวจื้อจุนไม่ได้ เพราะนี่คือทรัพยากรพื้นฐานที่จอมยุทธ์ทุกคนระดับนี้ต้องการ ตราบใดที่พวกเขามีปริมาณของเหลวจื้อจุนอย่างเพียงพอ การฝึกฝนของพวกเขาจะมีผลลัพธ์เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
สายธารของเหลวจื้อจุนม้วนตัวอยู่รอบร่างมู่เฉิน เมื่อกวาดมองคร่าวๆ ก็มีไม่ต่ำกว่าล้านหยดเลยทีเดียว มู่เฉินหลับตาเปิดปากขึ้นเล็กน้อยแล้วหายใจเข้าเบาๆ ทันใดนั้นสายธารที่สร้างจากของเหลวจื้อจุนก็ก่อตัวเป็นมังกรตัวยาวเปล่งเสียงหวีดหวิวพุ่งเข้าไปในปากเขา
พื้นผิวร่างกายของมู่เฉินวาววับด้วยแสงหลิงขณะที่หมุนเวียนทักษะการเพาะบ่มเพื่อชำระของเหลวจื้อจุน ก่อนที่จะเทลงในจุดจื้อจุนไห่พัฒนาคลื่นหลิงที่อยู่ในร่างกาย
เวลาผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ขณะที่มู่เฉินกลืนกินของเหลวจื้อจุนซึ่งคล้ายกับวาฬระหว่างฝึกฝน
เวลาร่วงหล่นราวกับนาฬิกาทราย
การเข้าสู่สมาธิ ผ่านไปเกือบสิบวันในพริบตา
ในช่วงสิบวัน มู่เฉินแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากกลืนกินของเหลวจื้อจุนและเขาก็ใช้ไปแล้วห้าล้านหยดซึ่งเป็นปริมาณครึ่งหนึ่งที่ได้มา
ทว่าการฝึกฝนของมู่เฉินก็พัฒนาขึ้นพร้อมกับจำนวนของเหลวที่ลดลง คลื่นหลิงของเขาไต่เข้าสู่ระยะปลายสุดอย่างสมบูรณ์ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดได้แล้ว
สิ่งที่มู่เฉินรู้สึกเซ็งก็คือความรู้สึกที่จะบุกทะลวงไปสู่ขั้นเจ็ดยังมองไม่เห็นเลย ดูท่าเขาจะต้องหาวิธีอื่นเพื่อบุกเข้าไปแทนแล้ว
นอกจากนี้มู่เฉินยังได้ใช้ความสามารถของเนตรดับชีวิตตลอดการฝึกฝน เขาสำรวจรอบๆ สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่เพื่อค้นหาร่องรอยของวิหคอมตะโบราณ
ทว่าเขาก็ต้องผิดหวังที่ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ในการค้นหา
สุสานหมื่นอสูรกว้างใหญ่ไพศาล มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่ปิดกั้นประสาทสัมผัส แม้จะมีเนตรดับชีวิตก็ยากที่จะค้นหาได้อย่างชัดเจน
แต่เห็นได้ชัดว่าคนอย่างมู่เฉินไม่ยอมแพ้แม้จะล้มเหลว เนื่องจากเขาตัดสินใจตั้งแต่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่ว่าจะช่วยเหลือจิ่วโยวให้มีสายเลือดสมบูรณ์ให้จงได้
ดังนั้นความล้มเหลวแค่นี้ไม่สามารถล้มเลิกความตั้งใจของเขาได้หรอก
มู่เฉินเปิดเปลือกตาออกจากสมาธิ สายธารของเหลวจื้อจุนยิ่งใหญ่ก็ลดขนาดลงจนกลายเป็นสายหมอกสุดท้ายสูดเข้าไปในนาสิกประสาท
ริ้วแสงวูบไหวในม่านตาสีดำ ก่อนที่ร่างเขาจะเคลื่อนไหวไปปรากฏบนท้องฟ้า แสงสีดำปริออกจากตรงหว่างคิ้ว ดวงตาที่สามเปิดออกพร้อมกับความลึกลับเปล่งประกายออกมา
แสงสีดำราวกับสามารถทะลุผ่านมิติไม่มีที่สิ้นสุด ภาพในรัศมีหมื่นลี้สะท้อนเข้าในดวงตาทั้งหมด
มู่เฉินใช้พลังของเนตรดับชีวิตอีกครั้ง พยายามที่จะค้นหาเบาะแสของวิหคอมตะโบราณในสุสานหมื่นอสูร
แสงสีดำทะลุทะลวงผ่าน ทุกตารางนิ้วที่เต็มไปด้วยรัศมีความตายก็ถูกค้นโดยเขา แต่ชัดว่ามีข้อจำกัดสำหรับเนตรดับชีวิต ในการสำรวจพื้นที่ยิ่งไกลจะยิ่งเบลอมากขึ้น
ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา มู่เฉินได้ทำการค้นหาบริเวณใกล้เคียงเรียบร้อย ดังนั้นตอนนี้คลื่นจิตจึงค่อยๆ แผ่ลึกเข้าไปในสุสาน
รัศมีความตายในพื้นที่เหล่านั้นรุนแรงมาก แม้ว่าจะมีเนตรดับชีวิต เขาก็ยังมีปัญหาในการสำรวจ
ครึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้การสำรวจ แต่มู่เฉินก็ยังรู้สึกผิดหวังเนื่องจากยังไม่พบเบาะแสของวิหคอมตะโบราณเลยสักนิด
ดังนั้นคิ้วจึงขมวดแน่น เขาไม่คิดว่าการได้เบาะแสจะยากเย็นขนาดนี้ หานซันเคยพูดถึงเพลิงอมตะ แต่จนตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นประกายไฟอะไรเลย
ถ้าไม่ใช่ความเชื่อใจในตัวหานซัน เขาคงจะสงสัยว่าหานซันโกหกกันรึเปล่าแล้ว…
เมื่อการสำรวจดำเนินต่อไป มู่เฉินก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อยตรงหว่างคิ้ว ซึ่งเป็นเพราะเขาใช้เนตรดับชีวิตนานเกินไป จึงแสดงอาการถึงขีดจำกัดแล้ว
มู่เฉินสัมผัสถึงความเจ็บปวดก็สั่นศีรษะอย่างอดไม่ได้ กำลังคิดจะเลิกค้นหา
“หืม?”
แต่ขณะที่เขาคิดอย่างนั้น ทันใดนั้นดวงตาก็หดเกร็ง แสงสีดำวูบไหวที่กลางหว่างคิ้ว ส่องเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน
ตำแหน่งที่แสงสีดำส่องเข้าไปมืดสนิท หากก่อนหน้ามู่เฉินยังสามารถเห็นส่วนอื่นๆ ได้แม้จะเบลอไปบ้าง แต่บริเวณนี้ก็มืดสนิทราวกับถูกอะไรปิดบังไว้
“สถานที่นี้แปลกมาก…”
มู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเปิดเนตรดับชีวิต แสงสีดำรวมกันในดวงตาเขาพยายามมองผ่านความมืด
แต่ขณะที่แสงสีดำแทรกผ่านในความมืดมิด มิติก็เริ่มผันผวน เสียงคำรามป่าเถื่อนและน่ากลัวดังก้องออกมา ในเวลาเดียวกันเพลิงก็แผดเผาพื้นที่พร้อมกับความผันผวนน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไป ตัดภาพเนตรดับชีวิตทันที
ปัง!
ร่างกายมู่เฉินกระตุก ริ้วเลือดไหลออกมาจากเนตรดับชีวิตที่กึ่งกลางหว่างคิ้ว ชัดว่าเขาถูกโจมตี
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พื้นที่มืดมิดนั้นน่ากลัวมากจนเขาถูกจู่โจมจากการใช้เนตรดับชีวิตแอบมองเข้าไปสั้นๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ใช้พลังเต็มที่และพุ่งเข้าไปแบบทะเล่อทะล่า มิฉะนั้นกระทั่งเนตรดับชีวิตก็อาจจะเสียหายหนัก
“พื้นที่นั้นมีอะไรบางอย่าง?”
มู่เฉินนวดหว่างคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด โดยทั่วไปพื้นที่แบบนั้นไม่ใช่สถานที่ธรรมดาแน่ อาจเป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตทรงพลังละร่างไว้ ดังนั้นพื้นที่จึงได้รับการปกป้องโดยรัศมีของพวกมัน
ทว่ามู่เฉินได้สืบเสาะไปในหลายพื้นที่ของสุสานหมื่นอสูรในช่วงสิบวันที่ผ่านมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกจู่โจมอย่างน่ากลัว ชัดว่าจะต้องมีสิ่งที่น่าสะพรึงอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
“เปลวไฟเมื่อครู่… ดูคุ้นๆ แฮะ นั่นใช่เพลิงอมตะไหม?” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่เนตรดับชีวิตจะถูกตัดภาพ เหมือนจะเห็นแปลวไฟอยู่ ไม่รู้ว่านั่นใช่เพลิงอมตะหรือไม่?
แต่เสียงคำรามที่น่ากลัวนั้นก็เหมือนไม่ใช่ของวิหคอมตะ
ดินแดนนั้นแปลกประหลาดและลึกลับอย่างแท้จริง
สายตาของมู่เฉินกะพริบวูบ หลังจากที่เนตรดับชีวิตฟื้นตัวมาเล็กน้อย เขาก็เปิดใช้งานอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามมองผ่านความมืดกลับตรวจสอบพื้นที่โดยรอบแทน
พื้นที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยรัศมีความตายที่น่าสะพรึงกลัว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนเลือนรางของรัศมีความตาย คิดว่าคงมาจากอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง
“นั่นน่าจะเป็นส่วนลึกของสุสาน มิน่าล่ะถึงมีอสูรวิญญาณที่ทรงพลังจำนวนมากคอยปกป้อง… ” มู่เฉินพึมพำกับตัวเอง หลังจากตรวจสอบคร่าวๆ พื้นที่โดยรอบถูกล้อมกรอบด้วยปราการอสูรวิญญาณที่ทรงพลัง ทำให้ยากที่จะเข้าไป
“หืม?”
ขณะที่มู่เฉินตรวจสอบบริเวณนั้น จู่ๆ เขาก็อุทานสงสัยขึ้นมา เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านความมืดอย่างรวดเร็ว
ทิศทางที่พวกเขาไปก็คือพื้นที่มืดมิดนั้น
นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้มู่เฉินตกใจที่สุดก็คือมีร่างเงาบางส่วนที่เขาจำได้ ภายในกลุ่มนั้นมีผู้ชายและผู้หญิงคุ้นหน้า ซึ่งก็คือฉื้อหงหวู่และไป๋ปิงที่เคยพบกันในตลาดเสรี
“สมาชิกเผ่าหงส์ฟ้าเรอะ?” สายตามู่เฉินวูบไหว เงาร่างเหล่านั้นถูกล้อมไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง พวกเขาทั้งหมดมาจากเผ่าหงส์ฟ้า
สายตามู่เฉินเลื่อนไปทางด้านหน้า ซึ่งมีคนคนหนึ่งนำหน้า ดูท่าเขาจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้แล้ว
คนผู้นั้นสวมชุดสีฟ้า สีหน้าไม่แยแส รัศมีเย็นเยือกอย่างยิ่งล้อมรอบร่างเขา ในเส้นทางที่พุ่งผ่านแม้แต่มิติก็ถูกแช่แข็ง
มู่เฉินจ้องมองไปที่คนคนนั้นก็รู้สึกเจ็บบริเวณผิวหนัง นี่เป็นสัญญาณบอกว่าอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคามต่อพลังกายของเขาอย่างมาก
ขณะที่มู่เฉินกำลังจ้องมอง ชายชุดสีฟ้าก็หยุดชะงักก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองเข้าไปในมิติเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ราวกับว่าเขาสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉิน
“หึ”
เขาเค้นเสียงเย็นเยือก จากนั้นก็กำมือ พัดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น นี่เป็นพัดสีฟ้าน้ำแข็ง ดูเหมือนทำมาจากขนหงส์ฟ้าโดยมีไฟสีขาวลุกโชนอยู่ เปลวไฟนั้นไม่ได้ร้อน แต่กลับปล่อยไอเย็นที่น่ากลัวอย่างมาก
เขาถือพัดโบกใส่มิติเบื้องหน้า เปลวไฟสีขาวม้วนตัวออกไป ชั้นบรรยากาศบริเวณนั้นกลายเป็นน้ำแข็งแล้วกระจายออกไปเป็นชั้นๆ ทำให้พื้นที่เย็นยะเยือกลงอย่างสิ้นเชิง
ขณะที่มิติแข็งตัว แสงสีดำจากเนตรดับชีวิตของมู่เฉินก็ถูกความหนาวเหน็บกัดกร่อนจนสลายไป
บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบตัวเป่า มู่เฉินลืมตาขึ้น เนตรดับชีวิตบนหน้าผากก็จางลงไปช้าๆ ในม่านตาสีดำแสงแปลกประหลาดกะพริบวาบเมื่อมองไปทางนั้น
ชายชุดสีฟ้าคนนั้นน่าจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า… แต่ทำไมพวกเขาถึงไปยังดินแดนมืดมิดนั่น?
พัดขนนกขาวน่าจะเป็นอาวุธเสมือนมหสวรรค์ มิฉะนั้นเปลวไฟสีขาวคงไม่สามารถตัดการมองของเนตรดับชีวิตได้
“แปลกมาก…”
สายตาของมู่เฉินเปล่งประกาย ขณะที่พึมพำด้วยความอยากรู้เกี่ยวกับดินแดนลึกลับที่เพิ่มขึ้นในหัวใจ
เผ่าหงส์ฟ้าจะไม่เคลื่อนไหวหากไม่มีผลกำไร นอกจากนี้พวกเขาไว้ตัว สิ่งธรรมดาไม่สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเดินทางอย่างเร่งรีบ ก็หมายความว่าต้องมีบางสิ่งที่พิเศษในดินแดนนั้นแน่นอน
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1042 รวมตัว
ส่วนลึกสุดของสุสานหมื่นอสูร
พื้นที่แห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายที่เข้มข้น สีเทาดำมืดไม่มีสัญญาณของพลังชีวิตแผ่กระจายออกไปจนสุดปลายสายตาของผู้พบเห็น ราวกับว่ามันได้ปิดกั้นพลังงานชีวิตทั้งหมดไว้
ฟิ้ว!
ทันใดนั้นเสียงอากาศฉีกออกจากกันก็ดังขึ้น เงาร่างหลายร่างเหาะเหินข้ามท้องฟ้า พริบตาพวกเขาก็พุ่งผ่านรัศมีความตายมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูร
คนกลุ่มนี้ก็คือพวกมู่เฉินที่ออกจากทะเลสาบตัวเป่ากำลังมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่าสุสานสักการะเทพ
“เราน่าจะใกล้ถึงส่วนลึกของสุสานหมื่นอสูรแล้ว สุสานสักการะเทพคงอยู่ไม่ไกล”
มู่เฉินอยู่ที่ด้านหน้าสุด ริ้วแสงสีดำกะพริบที่กลางหว่างคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้เนตรดับชีวิต แต่ก็ยังสามารถมองผ่านรัศมีความตาย รับรู้ถึงสถานการณ์ในรัศมีหมื่นจั้ง เพื่อหลบเส้นทางของอสูรวิญญาณฝูงใหญ่
ที่ด้านหลังคนอื่นๆ พยักหน้ารับพร้อมเพรียง พวกเขาไม่สงสัยคำพูดของมู่เฉิน ตั้งแต่ออกเดินทางครั้งนี้พวกเขาไม่เจอสิ่งกีดขวางใดๆ ซึ่งทำให้พวกเขาตงิดในใจว่าตอนนี้ยังอยู่ในดินแดนเสินโซ่หรือไม่
แน่นอนว่าพวกเขาต้องขอบคุณต่อการรับรู้ของมู่เฉิน ที่ทำให้การเดินทางราบรื่นมาก หากเขาไม่ได้ตรวจสอบล่วงหน้าและเลือกเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดในการเดินทาง พวกเขาอาจได้รับความเดือดร้อนจากการโจมตีของฝูงอสูรวิญญาณไปแล้วไม่รู้กี่ครั้ง
“คงมีบางกลุ่มที่ไปถึงสุสานสักการะเทพแล้ว” จิ่วโยวมองไปที่ฟ้าดินที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตายสีเทาอมดำ ไม่รู้ว่ามีสิ่งที่น่ากลัวแค่ไหนซ่อนอยู่ในความมืดและตอนนี้น่าจะมีบางกลุ่มไปถึงแล้ว
มู่เฉินพยักหน้า ตลอดทางแม้ว่าพวกเขาจะแซงกลุ่มคนไปไม่น้อย แต่ก็ไล่ทันแค่พวกที่นำหน้าไป เนื่องจากต้องยอมรับว่ากลุ่มเหล่านั้นมีการจัดเรียงที่ทรงพลังมากเมื่อเทียบกับพวกเขา
นอกจากนี้ผู้นำของกลุ่มเหล่านั้นก็เป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงแท้จริง
พวกเขาถือเป็นตัวแทนของจอมยุทธ์สูงสุดในกลุ่มอัจฉริยะที่เข้าสู่ดินแดนเสินโซ่ในครั้งนี้
แม้แต่จิงฉิงเทียนก็กลัวจนหงอ ถ้าต้องเจอพวกจอมยุทธ์ชนชั้นสูงเข้า
ในการเดินทางไปที่สุสานสักการะเทพครั้งนี้ ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญอาจเป็นจอมยุทธ์สุดยอดในดินแดนนี้ ซึ่งไม่ง่ายสำหรับพวกเขาที่จะโดดเด่นได้
ทว่าถึงแม้จะยาก แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่ได้มีความกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเลือดในกายเขากลับเดือดพล่านพร้อมกับไฟแห่งการต่อสู่พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ในเส้นทางของยอดยุทธ์ ผู้ฝึกจะต้องพิชิตยอดเขาที่ยากสำหรับคนธรรมดาจะประสบความสำเร็จได้ ความยากลำบากนี้จะเป็นหินลับมีดสำหรับพวกเขาที่จะส่องประกายและยืนหยัดเพื่อความเป็นหนึ่ง
วาบ!
เลือดในกายเดือดปุด แต่เขาก็ไม่ได้ลดความเร็วขณะบินผ่านยอดเขาสีเทาดำในสายแสง เมื่ออสูรวิญญาณบนยอดเขาสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา พวกเขาก็หายวับไปในขอบฟ้าแล้ว
สี่ชั่วโมงต่อมาพวกมู่เฉินก็เริ่มชะลอความเร็วลง พวกเขาพลิ้วตัวลงมาบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้สีเทาดำ สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
แผ่นดินบริเวณนั้นไม่ได้เป็นสีเทาดำอีกต่อไป แต่กลับเป็นสีแดงเข้มข้น
สีแดงเลือดหมูนั้นราวกับเลือดย้อมสีแผ่นดินเป็นเวลานับหมื่นปี นอกจากนี้นี่ไม่ใช่เลือดธรรมดาแต่เป็นเลือดที่มาจากสิ่งมีชีวิตทรงพลัง นั่นเป็นเพราะทั้งผืนดินถูกห่อหุ้มด้วยแรงกดดันอันทรงพลัง กระทั่งมู่เฉินที่มีจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงสถิตในร่างก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก
มีหุบเหวลึกมากมายบนพื้นซึ่งลึกจนมองไม่เห็นก้น มากจนมิติบริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยรอยแตก นั่นเป็นเพราะการต่อสู้ที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นความหายนะใหญ่หลวง แม้ว่าผ่านไปหลายหมื่นปีก็ยังไม่สามารถกู้คืนสภาพได้
รัศมีความตายที่โอบล้อมแผ่นดินนี้ ก็ไม่ใช่สีเทาดำกลับเป็นสีแดงอ่อนผสมกับปณิธานที่หลงเหลือของสิ่งมีชีวิตทรงพลังมากมาย แม้จะตายไปเจตนาเหล่านี้ก็ไม่สามารถถูกลบล้างไปได้
ท่ามกลางรัศมีความตายสีแดง มีหอคอยสูงนับไม่ถ้วนยืนตระหง่านราวกับต้นไม้ยืนต้น พวกมันเหมือนจะก่อเป็นปราการกั้นแยกแผ่นดินบริเวณนี้ออกจากโลกภายนอก รัศมีความตายสีแดงไม่อาจซึมออกมาได้ ในเวลาเดียวกันรัศมีสีเทาดำก็ถูกปิดกั้นไว้ที่ข้างนอกเช่นกัน
มู่เฉินหรี่ตาลง แสงสีดำกะพริบที่หน้าผาก เขามองไปที่หอคอยสูงนับไม่ถ้วน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ด้วยความสามารถของเนตรดับชีวิต เขารับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่หอคอย แต่เป็นโครงกระดูก
เขาไม่สามารถระบุแหล่งกำเนิดของกระดูกเหล่านั้นได้ แต่สิ่งเดียวที่เขามั่นใจก็คือสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากเทพอสูรเพียงร่างเดียว พวกมันถูกสร้างขึ้นจากโครงกระดูกของเทพอสูรจำนวนมากที่โอบล้อมพื้นที่นี้ราวกับสุสานที่ปกปักผู้ที่ละร่างอยู่ภายใน
“นี่คือสุสานสักการะเทพรึ?” จิ่วโยวมองไปที่สุสานตระการตาก็รู้สึกตกตะลึง เมื่อเปรียบเทียบกับสุสานนี้พวกเขามีขนาดเล็กเท่ามด ความตกตะลึงนั้นไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
“น่าจะไม่ผิด”
มู่เฉินยิ้มพลางพยักหน้าก่อนที่จะเอียงศีรษะมองทิศทางอื่นของพื้นที่นี้ เขาสัมผัสได้คลุมเครือถึงความผันผวนของคลื่นหลิงในทิศทางเหล่านั้น ชัดว่ามีกลุ่มอื่นมาที่นี่อยู่เรื่อย
“ดูท่าข้อมูลของสุสานสักการะเทพกระจายไปทั่วแล้ว ตอนนี้เหมือนจะมีกลุ่มทรงพลังจำนวนมากเข้ามา” หานซันอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ บางทีเกือบครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่เข้ามาในดินแดนเสินโซ่อาจมาที่นี่
“เรื่องแบบนี้ปิดไม่มิดหรอก” มู่เฉินไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ แม้ว่าเผ่าเทพอสูรระดับต้นจะมีเครือข่ายข้อมูลที่ทรงประสิทธิภาพ แต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถบังพายุได้ ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาถูกจับตามองอยู่ตลอด ยิ่งก่อนหน้านี้เผ่าต่างๆ ได้เข้ามาในสุสานหมื่นอสูร คนอื่นๆ จะไม่เกิดการคาดดาได้อย่างไร
ทว่ามู่เฉินก็รู้ดีว่ากลุ่มเทพอสูรระดับต้นไม่คิดปกปิดข้อมูล เพราะหากคิดจะเก็บเกี่ยวในดินแดนน่ากลัวนี้ คนที่ไม่มีกำลังก็จะส่งตัวเองไปสู่ปากเหวความตายเท่านั้น
ในเมื่อคนอื่นโลภมากต้องการลงสู่ประตูนรก เผ่าเทพอสอูรระดับต้นก็พร้อมที่จะรับชมจากด้านข้างอย่างเลือดเย็น
“ไปที่นั่น”
ทันใดนั้นสายตาของมู่เฉินก็มองไปที่ส่วนนอกสุสานสักการะเทพ ที่มีกองหินใหญ่วางนิ่งพร้อมกับความผันผวนของคลื่นพลังเปล่งออกมาจากมัน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่รวมตัวของคนทั้งหมด
แม้ว่าพวกเขาจะมีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสุสานสักการะเทพ แต่ก็ยังไม่เข้าใจมากนัก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดสำหรับพวกเขาจะระมัดระวังและติดตามหลังกลุ่มคนส่วนใหญ่ไป
คนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วยเกี่ยวกับเรื่องนี้
มู่เฉินทะยานเป็นผู้นำออกไป มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งนั้น ไม่กี่นาทีต่อมาร่างของเขาก็พลิ้วลงบนก้อนหินใหญ่โดยมีพรรคพวกตามมาติดๆ
เมื่อมาถึงพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นจำนวนกลุ่มคนมากมายที่นี่
หินทุกก้อนมีกลุ่มคนแยกออกเป็นมากบ้างน้อยบ้าง นอกจากนี้จำนวนกลุ่มคนก็มีมากอย่างน่าตกใจ ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ทำให้มู่เฉินประหลาดใจที่สุดก็คือการรวมตัวของกลุ่มเหล่านั้นทรงพลังมากจนไม่อาจประมาทได้
พวกเขาสามารถมาถึงสุสานสักการะเทพเป็นชุดแรก ชัดว่าต่างต้องมีฝีมือไม่ธรรมดา
สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วจากนั้นจิตก็เคลื่อนไหว เขามองไปที่จุดลึกที่สุดก็เห็นว่าบนก้อนหินใหญ่ราวลานหินหลายก้อน ต่างมีร่างหลายร่างนั่งอยู่อย่างเงียบๆ
เขาอดหดดวงตาไม่ได้เมื่อกวาดมองร่างคนเหล่านี้ ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เขารู้สึกถึงการคุกคาม
“ทั้งหมดนั่นเป็นเผ่าเทพอสูรระดับต้นของโลกสัตว์อสูร” จิ่วโยวเอ่ยเสียงต่ำ ใบหน้านางอัดแน่นไปด้วยความเคร่งเครียด เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างครั่นครามกับเผ่าเทพอสูรระดับต้นเหล่านี้ หากแก่นโลหิตมรดกของวิหคอมตะโบราณมีอยู่จริง คนเหล่านี้ก็จะเป็นคู่แข่งคนสำคัญของนาง
มู่เฉินพยักหน้าโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน สายตาของเขาถูกดึงดูดไปยังกลุ่มกลุ่มหนึ่งเนื่องจากคนเหล่านั้นค่อนข้างแปลก ดวงตาของพวกเขามีหลายสี แสงระยิบระยับโอบล้อมพวกเขาขณะเปล่งพลังงานลึกลับออกมา
ผู้นำของกลุ่มนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดา นางแต่งกายด้วยชุดยาวสีฟ้าอมเขียว เรียวคิ้วเข้ารูป เปล่งประกายรัศมีสง่างามและสูงส่งทำให้นางดูเหมือนกับเซียนผู้หลุดพ้น
“นั่นคือเผ่านกยูงเก้าสีที่มีสายเลือดสูงส่งในบรรดาเทพอสูรกลางหาวซึ่งไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย” จิ่วโยวอธิบายเพิ่มเติม
มู่เฉินพยักหน้า สายเลือดนกยูงเก้าสีทรงพลังและไม่ด้อยไปกว่าเผ่าหงส์ฟ้าเลย เพียงแต่ว่าชื่อเสียงของพวกเขาน้อยกว่าเผ่าหงส์ฟ้าอยู่เล็กน้อย
“กลุ่มฝั่งนู้นน่าจะเป็นเผ่าวานรทะลุฟ้า” มู่เฉินมองไปอีกทางหนึ่ง ก็เห็นร่างเงาสามร่างบนก้อนหิน ทั้งสามคนมีรูปร่างผอมบาง แต่ละคนถือไม้พลอง ดูธรรมดาอย่างยิ่ง แต่มู่เฉินกลับรู้สึกถึงรัศมีคุกคามที่มาจากพวกเขา
เผ่าวานรทะลุฟ้าก็เป็นเผ่าเทพอสูรที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกสัตว์อสูร
“ยังมี…เผ่าคุนเผิง”
สายตาของมู่เฉินเลื่อนไปทางขวาก็เห็นร่างหลายร่าง พวกเขามีท่าทางขี้เกียจ แต่เมื่อสายตากวาดผ่านคนอื่นๆ ก็สามารถรู้สึกถึงความคมชัดที่น่ากลัวภายใต้ท่าทางขี้เกียจนั้น
เผ่าคุนเผิงก็เป็นเผ่าเทพอสูรระดับตันที่มีสายเลือดทรงพลัง ความเร็วของพวกเขาคือสิ่งที่ไม่มีใครเทียบได้
ท่ามกลางสมาชิกเผ่าคุนเผิง สายตามู่เฉินหยุดอยู่ที่ด้านหน้าสุด ซึ่งมีผู้ชายหลับตานั่งอยู่ เขามีผมสีเงินยวง เมื่อเทียบกับพรรคพวกเหมือนขาดความเฉียบคมไปเล็กน้อย แต่จากประสาทสัมผัสยอดเยี่ยมที่มี มู่เฉินรู้สึกได้ว่าคนคนนี้ยากหยั่งถึงมากที่สุดในกลุ่มของเผ่าคุนเผิง
“ส่วนตรงนั้นเป็นเผ่ากระเรียนฟ้า…”
“…”
มู่เฉินกวาดสายตาไป สีหน้าก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้น สุดท้ายก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ พวกเขาเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานอย่างแท้จริง มีความได้เปรียบทรงพลังตั้งแต่เกิด
ในบรรดากลุ่มทรงพลัง พวกเขาครอบครองตำแหน่งที่ดีที่สุด ดูเหมือนจะไม่อยากแข่งขัน แต่รัศมีครอบงำนั้นก็คุกคามคนอื่นนัก
หลังจากที่มู่เฉินถอนหายใจ ก็เลื่อนสายตาไปที่ลานหินด้านหน้าสุด แต่คราวนี้ก่อนที่สายตาจะกวาดมองไป เขาก็สังเกตได้ถึงสายตาเย็นเยือกที่ทะลุมิติยิงเข้าใส่ ทำให้บรรยากาศรอบตัวเขาเย็นลงทันที
มู่เฉินขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองที่ไกลก็เห็นกลุ่มของเผ่าหงส์ฟ้า ชายชุดสีฟ้ากำลังจ้องมองมาด้วยสายตาที่ราวกับใบมีด ความคมชัดในสายตาดูเหมือนต้องการมองทะลุให้ถึงแก่น
ชายสวมชุดสีฟ้าโบกพัดขนนกสีฟ้าน้ำแข็งในมือเบาๆ อากาศเย็นล้อมรอบตัวเขา ขณะที่พูดอย่างไม่แยแส ก็ทำให้อากาศเย็นเยือกกระจายออกไปทั่วบริเวณ
“แกคือคนที่สอดแนมข้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
และสิ่งที่ไม่ธรรมดาอาจมีโอกาสเป็น… วิหคอมตะโบราณ