หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1043
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1043 ไป๋หมิง
“แกคือคนที่สอดแนมข้าก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
ชายชุดสีฟ้าโบกพัดสีฟ้าน้ำแข็งในมือเบาๆ น้ำเสียงไม่แยแสกระจายออกไปทั่ว ทำให้ทุกสายตาที่นี่จับจ้องไปที่มู่เฉินอย่างประหลาดใจ
“ดูเหมือนจะเป็น…มนุษย์ เขามากับเผ่าวิหคโลกันตร์และเผ่าแรดอสูร แต่เขาช่างกล้าซะจริงที่ไปท้าท้ายเผ่าหงส์ฟ้า”
“ไป๋หมิงไม่ใช่คนใจดีอะไรด้วย ลือกันว่าเขาสัมผัสระดับจื้อจุนขั้นแปดแล้ว ซ้ำยังครอบครองอาวุธเสมือนมหสวรรค์ที่เผ่าหงส์ฟ้ามอบให้ชื่อว่าพัดหงส์ฟ้าหิมะ… พลังในการต่อสู้ของเขาไม่ธรรมดา เขาสามารถเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นแปดแท้จริงได้”
“มนุษย์คนนั้นไม่รู้เหนือรู้ใต้เลย…”
“…”
เสียงกระซิบดังก้องไปทั่ว สายตามากมายมองไปที่มู่เฉินด้วยความสนุกสนาน คงคิดกันว่ามนุษย์ที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกล้าที่จะยั่วยุคนดุร้ายอย่างไป๋หมิง เขารนหาที่ตายชัดๆ
บนก้อนหินเบื้องหน้า เทพธิดาเลอโฉมจากเผ่านกยูงเก้าสีก็กวาดมองมู่เฉินอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าเฉยเมย จากนั้นก็ขยับสายตาออกไปโดยไม่สนใจ ชัดว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำให้นางสนใจได้
ฝั่งเผ่าคุนเผิงพวกจอมยุทธ์ชนชั้นสูงก็กอดอกมองมู่เฉินด้วยความสนใจ ราวกับว่ากำลังดูงิ้วออกโรง
สำหรับเผ่าเทพอสูรระดับต้นที่เหลือก็เฝ้าดูฉากนี้ด้วยความเฉยเมย พวกเขาที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับกลุ่มมู่เฉิน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล้ำเส้นเผ่าทรงพลังอย่างเผ่าหงส์ฟ้าเพื่ออีกฝ่าย
ภายใต้แววตาเยาะเย้ย ใบหน้าของจิ่วโยวกับพรรคพวกก็ดูไม่ดี เนื่องจากพวกเขาไม่คิดว่าไป๋หมิงจะมีประสาทสัมผัสการรับรู้และรู้สึกถึงการแอบมองเมื่อเขาเห็นมู่เฉินแวบแรก
ทุกคนจ้องมองมาที่มู่เฉิน แม้ว่าชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจะย่นหัวคิ้ว แต่ก็ไม่มีคลื่นใดๆ ในม่านตาสีดำ เขาไม่แสดงอาการตื่นตระหนกจากการจ้องมองอย่างเย็นชาของไป๋หมิง
“สุสานหมื่นอสูรไม่ใช่สถานที่ส่วนตัวของใคร เจ้าห้ามให้คนอื่นมองได้ด้วยเรอะ?” ภายใต้สายตาเย็นชา เปลือกตาของมู่เฉินก็ยกขึ้นพร้อมกับพูดช้าๆ
เมื่อเขาพูดออกมา หลายกลุ่มก็ถึงกับคิ้วกระตุก ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามนุษย์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกจะขอขมาด้วยความหวาดกลัว แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะตอกกลับคำพูดของไป๋หมิงนิ่มๆ เช่นนี้
เขาไปเอาความกล้าหาญนี้มาจากไหน?
เมื่อไป๋หมิงได้ยินคำพูดของมู่เฉิน รอยยิ้มก็ผุดบนใบหน้าเฉยเมย ทว่ารอยยิ้มนั้นไม่มีความอบอุ่นสักนิด ตรงกันข้ามกลับกำจายความเยือกเย็นที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าหนังศีรษะชาหนึบไปหมด
“พี่ใหญ่ไป๋หมิง เจ้านั่นแหละ คนที่พวกเราเจอมาก่อนหน้า!” ที่ด้านหลังไป๋หมิง คนคนหนึ่งก็ยืนขึ้น รูปร่างที่คุ้นเคย นั่นก็คือไป๋ปิงที่ปะทะกันกับกลุ่มมู่เฉินในตลาดเสรี
“โอ้?”
ไป๋หมิงค่อนข้างประหลาดใจพลางส่ายหัว “งั้นข้านี่โชคดีจริงๆ ไม่ต้องเสียแรงตามหาไปทั่ว ไม่คิดว่าเจ้าจะมาแสดงตัวให้เห็นง่ายๆ แบบนี้”
ไป๋ปิงมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาเย้ยหยันและสงสาร เจ้านั่นโชคร้ายแท้จริง
เมื่อฉื่อหงหวู่แห่งเผ่าหงส์ฟ้าแดงที่อยู่เบื้องหลังไป๋หมิงเห็นภาพนี้ นางก็มุ่นคิ้วจ้องมองไปที่มู่เฉินพูดเสียงเย็นว่า “เจ้าช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ถ้าไปซะตอนนี้บางทีอาจยังรักษาชีวิตไว้ได้”
แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะเย็นชา แต่ความหมายที่ปรากฏในคำพูดชัดเจน เห็นได้ว่านางพยายามพูดเตือนอ้อมๆ เพื่อให้มู่เฉินไปจากที่นี่ จะได้ไม่ต้องเอาชีวิตมาทิ้ง
ไป๋หมิงเหลือบมองฉื่อหงหวู่ด้วยแววตายากหยั่ง ชัดว่าเขาเห็นเกี่ยวกับความตั้งใจของนาง ทว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มาก แม้ว่าไป๋หมิงจะเป็นหัวหน้ากลุ่มนี้ แต่นางมาจากเผ่าหงส์ฟ้าแดงซึ่งไป๋หมิงไม่สามารถห้ามปราบอะไรนางได้
มู่เฉินรู้สึกประหลาดใจเช่นกันขณะที่มองฉื่อหงหวู่ แม้ว่าหญิงสาวจะดูเจ้าพยศไปหน่อยเมื่อตอนที่พบกันครั้งแรก แต่นิสัยของนางก็ไม่ร้าย ยังได้เอ่ยเตือนเขาด้วย
แต่น่าเสียดายที่ไม่ง่ายที่จะให้เขาจากไป แม้ว่าคนตรงหน้าจะมาจากเผ่าหงส์ฟ้า แต่คนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัวหรอก
ท้ายที่สุดนี่คือการต่อสู้ระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่ ยากที่จะไปเกี่ยวข้องกับทั้งเผ่าพันธุ์ นอกจากนี้หากไป๋หมิงพ่ายแพ้ที่นี่ เขาก็ไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลืออะไร เพราะถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป ก็เป็นเขาที่จะได้รับแต่เสียงหัวเราะเยาะเย้ยแทน
“ข้าตั้งใจมาสุสานสักการะเทพ ทำไมข้าต้องกลับไปมือเปล่าด้วยล่ะ?” มู่เฉินยิ้มพลางส่ายหน้า
ฉื่อหงหวู่เบิกตากว้างมองไปที่มู่เฉิน นางไม่คิดว่าแม้จะเอ่ยเตือนแล้ว ชายคนนี้ก็ยังโน้มมารับความเกรี้ยวโกรธของไป๋หมิงอย่างดื้อรั้น เขาโง่หรือเปล่า?
นางยิงฟันรู้สึกโกรธจนถึงควันพุ่งออกจากหัว ทันใดนั้นนางก็ถลึงตาใส่มู่เฉินจากนั้นก็สะบัดหน้าไปไม่คิดใส่ใจกับความเป็นตายของเขาอีกต่อไป
หลายกลุ่มโดยรอบก็ฉายสีหน้าแปลกๆ บางคนแอบหัวเราะในใจ มนุษย์คนนี้บ้าระห่ำและน่าสนใจอย่างแท้จริง ในเมื่อเขาปฏิเสธความตั้งใจดีของฉื่อหงหวู่ ต่อไปไป๋หมิงก็คงไม่ปล่อยให้เขาไปอย่างง่ายดายแล้ว
ก็เป็นตามที่พวกเขาคาดไว้ ไป๋หมิงโบกพัดเบาๆ มองมู่เฉินด้วยสีหน้าไม่เชิงยิ้ม “เจ้าไม่แข็งแกร่งพอ แต่ความกล้าหาญคับฟ้า… ข้าอนุญาตให้เจ้าเข้าไปในสุสานสักการะเทพก็ได้ ซ้ำยังจะช่วยให้เจ้าผ่านอุปสรรคชั้นนอกอีกด้วย แต่ข้าต้องการบางสิ่งแลกเปลี่ยน เจ้าคิดยังไง?”
ดวงตามู่เฉินวูบไหว เขามองไปที่ไป๋หมิง ประกายความโลภพลุ่งพล่านในดวงตาส่วนลึกของอีกฝ่าย ไป๋หมิงดูเหมือนจะถูกดึงดูดจากสิ่งที่เขามี
ความคิดของมู่เฉินหมุนเร็วจี๋จากนั้นก็คิดออกว่าคืออะไร สิ่งที่ไป๋หมิงพูดน่าจะเป็นจิตวิญญาณหงส์ฟ้าแท้จริงที่เขาได้รับการชำระจากแก่นโลหิตหงส์ฟ้าสายเลือดบริสุทธิ์ ซึ่งถ้าจอมยุทธ์จากเผ่าหงส์ฟ้าได้ดูดซับก็จะทำให้สายเลือดของพวกเขายกระดับขึ้น
ทว่านี่เป็นส่วนสำคัญในการฝึกกายามังกรหงส์ของเขา เพ้อฝันชัดๆ ที่ไป๋หมิงคิดจะเอาไป
ดังนั้นมู่เฉินจึงยิ้มพลางส่ายหัวให้กับไป๋หมิงที่มองมา “ข้าปฏิเสธ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ไป๋หมิงก็ไม่แปลกใจรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้า “เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะปฏิเสธ แต่ว่า… เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธเรอะ?”
เมื่อพูดจบรัศมีเย็นเยือกน่ากลัวก็ระเบิดขึ้นควบแน่นที่เบื้องหน้าไป๋หมิง หมอกเย็นสีขาวครอบงำกวาดล้างไปยังกลุ่มของมู่เฉิน
หมอกสีขาวนี้คุกคามอย่างมาก ซึ่งสามารถแช่แข็งคลื่นหลิงไว้ได้ทุกทางที่เคลื่อนไป จอมยุทธ์โดยรอบต่างพากันถอยหนีพัลวันด้วยความกลัวบนใบหน้า ไป๋หมิงทรงพลังอย่างแท้จริง รัศมีเย็นสุดขั้วนี้เป็นสิ่งที่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดระยะปลายสุดยังไม่กล้าแตะต้องเลย
เมื่อจิ่วโยว หานซันและคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ ร่างกายก็เกร็งเครียดขึ้น คลื่นหลิงพวยพุ่งเพิ่มขึ้นรอบตัว กัดฟันเตรียมพร้อมโรมรัน แม้ว่าการปะทะกับเผ่าหงส์ฟ้าเป็นเรื่องเสียเปรียบอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่สามารถนิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไรเลย
แต่ขณะที่ร่างพวกเขาตึงเกร็ง มู่เฉินก็ก้าวออกไป ไม่มีคลื่นหลิงรอบเลย ราวกับว่าเขาละการป้องกันทั้งหมดลงแล้ว
“รนหาที่ตาย!”
เมื่อผู้คนรอบข้างเห็นว่าจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกกล้าที่จะเผชิญกับการโจมตีของไป๋หมิงโดยไม่คิดใช้การป้องกันใดๆ พวกเขาก็ส่ายหัว ชายคนนี้เรียกหาความตายจริงๆ
ไป๋หมิงก็อึ้งไปกับปฏิกิริยาของมู่เฉินก่อนที่จะขมวดคิ้ว แสงเย็นเยือกวาบผ่านดวงตา จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลสะบัดนิ้วออก คลื่นเย็นเยือกยิงไปที่หน้าอกของมู่เฉิน
หากการโจมตีนี้ปะทะเข้าอย่างจังก็จะทำให้มู่เฉินบากเจ็บสาหัสได้อย่างแน่นอน
ขณะที่คลื่นเย็นเยือกกวาดมา มู่เฉินก็ยกมือขึ้นโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน ฝ่ามือเปิดออก ในฝ่ามือมีหัวใจสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือกำลังเต้นตุบตับ ทุกจังหวะการเต้นเปล่งเสียงฟ้าร้องดังสะท้อนน่าตกใจ ระลอกคลื่นทำลายล้างทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป
นี่คือหัวใจพาฬกินสายฟ้า
“นั่นคืออะไร?”
“ช่างเป็นพลังงานที่น่ากลัวจริงๆ!”
“ชายคนนั้นบ้าเหรอ? เขาต้องการลากทุกคนเข้าไปด้วยรึไง”
หลายกลุ่มมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงรุนแรง ทั้งหมดถอยห่างออกไปเป็นโยชน์ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าวัตถุในมือของมู่เฉินคืออะไร แต่พวกเขาก็บอกได้ว่าหากคลื่นทำลายล้างนี้ระเบิดออก ทุกคนที่นี่คงต้องถูกผลกระทบไปด้วย
รอบด้านโกลาหล ทว่ามู่เฉินไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า เขายื่นหัวใจสีเงินออกไปรับคลื่นเย็นเยือก ท่าทางไม่กลัวความตายของเขาทำเอาทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก
ดวงตาของไป๋หมิงจับจ้องไปที่มู่เฉิน เขารู้สึกได้ว่าหัวใจสีเงินนั้นน่ากลัวเพียงใด พลังงานที่บรรจุอยู่ภายในนั้นเป็นสิ่งที่แม้เขายังรู้สึกหวาดกลัว เขาบอกได้ว่ามู่เฉินไม่กลัวเขาเพราะครอบครองสิ่งนี้ แต่ถ้าเขาหยุดการโจมตีตอนนี้นั่นไม่ได้แปลว่าเขากลัวมู่เฉินหรอกหรือ?
“ข้าไม่เชื่อว่าแกจะบ้าบิ่นขนาดนี้!” ใบหน้าของไป๋หมิงมืดครึ้ม คลื่นเย็นเยือกยังคงพุ่งตรงเข้าหามู่เฉิน
วาบ!
คลื่นเย็นเยือกกับหัวใจสีเงินเข้าใกล้กัน แต่ก่อนที่จะปะทะกันแสงพร่างพราวห้าสีก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้าด้วยเสียงดังสนั่น ลบคลื่นเย็นเยือกส่วนหนึ่งออกไปอย่างสมบูรณ์
ตู้ม!
ไม้เท้าฟาดลงมาทำลายอีกส่วนหนึ่งของคลื่นเย็นเยือก
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
การโจมตีที่ทรงพลังจำนวนมากพุ่งลงมาลบคลื่นเย็นเยือกทั้งหมดในทันที
เมื่อคลื่นเย็นเยือกถูกลบออก ใบหน้าของไป๋หมิงก็ยิ่งมืดครึ้มลง ก่อนที่จะหันหน้าไปมองกลุ่มเทพอสูรเผ่าต่างๆ พวกเขาเป็นคนที่เคลื่อนไหว
“หากอยากกัดกันก็ให้ไปที่อื่น นี่คือประตูทางเข้าสุสานสักการะเทพ ถ้าถูกทำลาย เจ้าไป๋หลิงคิดว่าจะชดเชยการสูญเสียของทุกคนที่นี่ได้หรือ?” สาวสวยจากเผ่านกยูงเก้าสีมองที่ไป๋หมิงด้วยดวงตาที่มีสีสันพร่างพราวพลางพูดเสียงเยือกเย็น
“ฮี่ๆ คงไม่ไหว” ชายร่างผอมจากเผ่าวานรทะลุฟ้าถือไม้เท้าหิน พูดด้วยรอยยิ้มขณะที่หรี่ตาลง
“พี่ไป๋ใจเย็นหน่อย นี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะต่อสู้” จอมยุทธ์เผ่ากระเรียนเทพสวรรค์ก็เอ่ยปากออกมาเช่นกัน
เมื่อเหล่าจอมยุทธ์จากเผ่าเทพอสูรระดับต้นพากันพูด ทำให้ความเย็นชาในดวงตาของไป๋หมิงกวนจนหนาแน่น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นที่กระทั่งเขายังหวาดเกรง เขารู้ดีว่าไม่ฉลาดที่จะล้ำเส้นพวกเขา ดังนั้นเขาจึงหายใจลึกๆ กวาดสายตามมืดครึ้มไปที่มู่เฉิน ก่อนที่จะนั่งลงโดยไม่พูดอะไร แต่ทุกคนรู้ว่าในใจไป๋หมิงกำลังโกรธจนแทบคลั่งแล้ว
ทันใดนั้นสายตากังขาก็พุ่งไปที่มู่เฉิน ใครจะคิดว่าการเผชิญหน้ากับกระบวนท่าทรงพลังของไป๋หมิง ไม่เพียงแต่มู่เฉินจะไม่ใช่กระบวนท่าอะไร แต่เขายังบังคับให้ไป๋หมิงเข้าสู่สภาพน่าสมเพช โดยใช้วัตถุบางอย่างเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทำให้จอมยุทธ์ชั้นสูงของสุดยอดเผ่าเทพอสูรต้องออกโรงหยุดการกระทำของไป๋หมิงโดยไม่มีทางเลือก ทำให้เกิดความไม่พอใจในระหว่างพวกเขา หากในอนาคตมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็อาจถูกใช้เป็นเหตุผลในการเติมเชื้อไฟ
การเคลื่อนไหวเรียบง่ายของมู่เฉิน ทำให้หลายคนตกตะลึงในใจ พวกเขาไม่กล้าดูถูกมู่เฉินอีกต่อไปเมื่อมองไปอีกครั้ง
แม้แต่หญิงสาวจากเผ่านกยูงเก้าสีที่ยืนบนท้องฟ้ายังจ้องมองเขาด้วยดวงตาฉายแสงสีพร่างพราว จากการปะทะกันเมื่อครู่พวกเขาบอกได้ว่ามนุษย์คนนี้ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นหกไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่พวกเขาคิด
จอมยุทธ์ชั้นแนวหน้าแอบแลกเปลี่ยนสายตาและเห็นด้วยกันในใจว่ามนุษย์ที่ชื่อว่ามู่เฉินดูท่าจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว…