หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1129
หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 1129 จู้เยี่ยน
เมื่อมือลาวาแหวกมิติคว้าพัดขนนกไป
ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะมีคนกล้าขโมยปลาใหญ่จากพวกเขา…
“ไอ้หนูขี้ขโมยตัวไหน? ไสหัวออกมา!” สีหน้าของจิ่วโยวเย็นชาลง หากใครก็ตามที่เห็นว่าการเก็บเกี่ยวที่พวกเขาต่อสู้อย่างหนักไปทำประโยชน์ให้คนอื่น ก็คงไม่มีใครรู้สึกดีเช่นกัน ดังนั้นนางจึงเคลื่อนไหวทันที ขนนกสีม่วงปรากฏเบื้องหน้าลุกโชนด้วยเพลิงโปร่งใส ความผันผวนที่เห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไป ทำให้มิติโดยรอบบิดเบี้ยวลง
วาบ!
ขนสีม่วงพุ่งออกมาปะทะมือลาวา
เมื่อขนนกสีม่วงเข้าใกล้มิติก็ผันผวนอีกครั้ง มือลาวาอีกข้างปรากฏขึ้นจับเพลิงโปร่งใสไว้ เมื่อหินหนืดไหลลงมาก็แผดเผาเพลิงโปร่งใส สุดท้ายก็เป็นมือลาวาแข็งแกร่งกว่าดับเพลิงโปร่งใสได้ในที่สุด
“หืม? ช่างเป็นเพลิงรุนแรงอะไรเช่นนี้… ทรงพลังจริงๆ” แม้ว่าเพลิงโปร่งใสจะดับลง แต่ก็มีเสียงอุทานดังขึ้นตามมา เปลวไฟธรรมดาไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กับเขา แต่เพลิงโปร่งใสเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกถึงภัยคุกคามบางเบา หากไม่ใช่เพราะเจ้าของเพลิงด้อยกว่าเขาในแง่ขุมพลังก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะระงับเพลิงเหล่านั้นได้
ขณะที่มิติแปรปรวน ร่างเงาสีแดงเข้มก็เผยขึ้นอย่างช้าๆ ทั้งสามจ้องมองไปก็เห็นชายหนุ่มที่มีเรือนผมสีแดงเพลิง หินหนืดไหลเวียนอยู่บนร่างกายเขา ราวกับภูเขาไฟที่มีความผันผวนรุนแรงและเผาผลาญเอิบอาบออกมา
นอกจากนี้ยังมีรัศมีอันตรายอย่างยิ่ง
เมื่อมู่เฉินเห็นชายคนดังกล่าว ดวงตาก็หดลง ภัยคุกคามที่เขารู้สึกได้จากชายคนนี้เกินกว่าซูชิงหยิงซึ่งพบมาก่อน ในทวีปเทียนหลัวอาจมีเพียงจอมยุทธ์รุ่นใหม่คนเดียวที่อยู่เหนือซูชิงหยิงได้เด่นชัดเพียงนี้…
“ไม่คิดว่าจอมยุทธ์รุ่นใหม่อันดับหนึ่งทวีปเทียนหลัวจะชอบลักของคนอื่น” เสียงไม่แยแสของมู่เฉินสะท้อนก้องโดยไม่ลังเล
จิ่วโยวไม่แปลกใจ ชัดว่าเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้นานแล้วเช่นกัน
จู้เยี่ยนยิ้มบางขณะถือพัดขนนกโบกไปมา “สมบัติชิ้นนี้เป็นโชคชะตาของข้า เพราะมันเข้ามาสู่สถานะไร้เจ้าของตอนที่ข้ามาพอดี นั่นก็แปลว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิต จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะเอาไป”
“เชอะ! พวกเผ่าเทพอัคคีทำไมไร้ยางอายอย่างนี้?” หลินจิ้งเค้นเสียงเย็นใส่ สายตาจ้องเขม็งไปที่จู้เยี่ยนพร้อมกับความไม่พอใจอัดแน่นในนัยน์ตา
“เสี่ยวปิงจัดการเขา!”
เมื่อพูดจบนางก็โบกมือ
วาบ!
ตุ๊กตาน้ำแข็งทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว ไอเย็นเยือกกวาดออกไปปรากฏตัวข้างหลังจู้เยี่ยนโดยมีหอกที่ทำหน้าที่คล้ายกับอสรพิษเล็งไปที่ด้านหลังศีรษะศัตรู
ตู้ม!
แต่จังหวะที่หอกกำลังจะแทงลงไป จู้เยี่ยนก็ตบฝ่ามือไปข้างหลัง ภูเขาไฟปรากฏขึ้นในฝ่ามือ ก่อนที่คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวจะพวยพุ่งออกมา
ปัง!
หอกน้ำแข็งสลายไปในทันที ตุ๊กตาน้ำแข็งราวกับได้รับความเสียหายหนัก ปลิวออกไปเป็นพันจั้งถึงสามารถทรงตัวได้ ทว่าก็มีรอยไหม้เกรียมอยู่บนแขนของมันเลือนราง
จู้เยี่ยนเผยให้เห็นพลังที่น่ากลัวเมื่อออกกระบวนท่าโจมตี บังคับให้ตุ๊กตาน้ำแข็งที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มกระเด็นออกไปด้วยฝ่ามือเดียว
มู่เฉินหรี่ตาลง ความแข็งแกร่งของจู้เยี่ยนน่ากลัวอย่างแท้จริง มิน่าล่ะเขาถึงสามารถครองตำแหน่งเจ้าทำเนียบและปราบปรามจอมยุทธ์ชั้นสูงนับไม่ถ้วนของทวีปเทียนหลัวได้ ตามการคาดการณ์จู้เยี่ยนน่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว ซึ่งอยู่ห่างขุมพลังตี้จื้อจุนอีกครึ่งก้าวเท่านั้น แม้แต่มู่เฉินก็หวั่นเกรงพลังเช่นนั้น
“หืม? ตุ๊กตาน้ำแข็ง? เจ้ามาจากเผ่าเทพน้ำแข็งเรอะ?” ผลักตุ๊กตาน้ำแข็งกลับด้วยฝ่ามือได้ ใบหน้าของจู้เยี่ยนก็เปลี่ยนไปขณะมองหลินจิ้งด้วยความประหลาดใจ
เขารู้ว่ามีเพียงเผ่าเทพน้ำแข็งเท่านั้นที่สามารถปรับแต่งตุ๊กตาน้ำแข็งได้ ในฐานะสมาชิกของเผ่าเทพอัคคี เขารู้ดีเกี่ยวกับไอเย็นสุดขั้วที่ไม่เหมือนใครนี้
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” สีหน้าหลินจิ้งไม่น่าดู ใบหน้าตึงเกร็ง แสดงให้เห็นว่านางไม่พอใจมากเลยทีเดียว
จู้เยี่ยนไม่ได้เก็บมาใส่ใจทำเพียงยิ้มบาง “ถึงแม้ตุ๊กตาน้ำแข็งจะทรงพลัง แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือข้า”
พูดถึงจุดนี้เขาก็มองไปที่ทั้งสามยิ้มให้ “ดูเหมือนพวกเจ้าไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา บางทีข้าอาจได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าจะให้หน้าข้ามั่งได้ไหม?”
“หน้าเจ้านี่ใหญ่จริงๆ เลยนะ” จิ่วโยวเค้นเสียง ของมีค่าอย่างอาวุธมหสวรรค์อย่างน้อยก็ขายได้นับร้อยล้านหยดของเหลวจื้อจุน แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดยังไม่สามารถคั้นผลรวมนี้ออกมาได้ ดังนั้นจิ่วโยวจึงรู้สึกโกรธมากเมื่อจู้เยี่ยนหน้าด้านขอไปดื้อๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงพลังของฝ่ายตรงข้าม นางคงขยับตัวจัดการแล้ว
“เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้เรอะ?” ใบหน้าที่เย็นชาของหลินจิ้งเปลี่ยนเป็นนิ่งเรียบ นางจ้องมองจู้เยี่ยนด้วยท่าทางสงบ
จู้เยี่ยนอึ้งไปชั่วครู่ขณะมองไปที่หลินจิ้ง ไม่รู้เพราะเหตุใดเขารู้สึกได้ถึงอันตรายบางเบาแผ่ซ่านออกมาจากหญิงสาวคนนั้น
เขาหรี่ตาพร้อมกับแสงแวววาวก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ถ้าเจ้าสามคนยืนกรานจะหยุดข้า งั้นก็ลองดูสิ”
ไม่ว่าพวกเขาจะมีไพ่ตายอะไร จู้เยี่ยนก็คือหนึ่งในว่าที่ประมุขน้อยของเผ่าเทพอัคคี ด้วยความภาคภูมิใจที่ฝังลึกในแกนกระดูก หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นว่าทั้งสามไม่ใช่ธรรมดา เขาก็คงไม่ใส่ใจที่จะพูดด้วย คงคว้าสมบัติออกไปเลย
ใบหน้าหลินจิ้งไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ นางก้าวออกมาแสงหลิงปรากฏบนปลายนิ้ว
แต่ในเวลาเดียวกันมู่เฉินก็ยื่นมือออกมาขวางหลินจิ้ง นางมองไปที่เขาแต่ไม่ได้พูด เนื่องจากรู้ดีว่าด้วยนิสัยของมู่เฉินเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมแพ้ต่อชื่อเสียงที่จู้เยี่ยนมี
“ปล่อยให้ข้า” ความจริงไม่ผิดจากที่คิด เขายิ้มให้หลินจิ้งพลางเอ่ย
เมื่อได้ยินนางก็ลังเลชั่วครู่เพราะนางเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของมู่เฉิน ถ้าพวกเขาสู้กันจริงๆ มู่เฉินอาจไม่ใช่คู่มือของจู้เยี่ยน ถึงยังไงมู่เฉินก็เพิ่งบรรลุระดับจื้อจุนขั้นเก้า ส่วนจู้เยี่ยนอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มแล้ว
แต่สุดท้ายหลินจิ้งก็ยังคงพยักหน้า เนื่องจากนางรู้ว่ามู่เฉินไม่ใช่คนชอบโอ้อวด การที่เขาพูดแบบนี้แสดงว่าเขามีความมั่นใจที่จะทำให้สำเร็จ
จู้เยี่ยนมองไปที่มู่เฉินด้วยม่านตาสีแดงเข้มราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในดวงตา เขาตรวจสอบมู่เฉินก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
ไม่ได้มีเจตนาดูถูกในน้ำเสียงของเขา เขาเพียงบอกข้อเท็จจริงเท่านั้น
ในสายตาเขา นอกจากหญิงสาวน่ารักที่ดูลึกลับนั้น จิ่วโยวกับมู่เฉินไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอันตรายเลย ดังนั้นเขาจึงประหลาดใจในความกล้าหาญของมู่เฉิน
มู่เฉินไม่โกรธคำพูดนี่ ในทางตรงกันข้ามเขายิ้มตบเสาที่อยู่ตรงหน้าเบาๆ ซึ่งเป็นเสาเดียวที่เหลืออยู่ในโถงทั้งหมด
“สหาย ถ้าเจ้าวางของลงตอนนี้ ข้าจะถือว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและเจ้าจะสามารถออกจากที่นี่โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ” มู่เฉินยิ้ม
จู้เยี่ยนมองดูมู่เฉินราวกับว่าเป็นเรื่องตลกพลางยักไหล่ “ข้ารู้สึกว่าเป็นตัวเองนะที่ควรพูดคำนี้”
เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลกที่บางคนที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะต้นพูดคำเหล่านั้นใส่ เขาไม่ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้วซึ่งเขาคิดว่าตลกมาก
“ก็หมายความว่าเจ้าปฏิเสธข้อเสนอของข้ารึ” มู่เฉินเบ้ปาก
“ใช่ ข้าปฏิเสธ” จู้เยี่ยนพยักหน้าแบบสบายอารมณ์
มู่เฉินยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ขณะตบเสาเบาๆ อีกครั้ง “น่าเสียดายจริงๆ… เจ้าทรงพลังอย่างแท้จริง แต่หลายครั้งคนที่ยิ้มคนสุดท้ายมักไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป”
“โอ้?” จู้เยี่ยนยิ้มขณะก้มมองลาวาที่ไหลระหว่างนิ้ว “งั้นคนแบบไหนที่สามารถยิ้มได้เป็นคนสุดท้ายล่ะ?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของมู่เฉินขณะตอบว่า “คนโชคดี”
จู้เยี่ยนขมวดคิ้ว
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้พูดต่อ เขาตบเสาข้างๆ อีก แต่คราวนี้จู้เยี่ยนเห็นแสงวูบวาบในฝ่ามือของมู่เฉินรวมเข้ากับเสา
ก่อนที่เขาจะทันคิดออก เขาก็รู้สึกได้ว่าทั้งโถงสั่นสะเทือน หินใหญ่น้อยเริ่มร่วงหล่นลงมาจากด้านบน
จู้เยี่ยนตกใจไปกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานก็เห็นว่ารอยแตกเริ่มกระจายก่อนที่เพดานจะถล่มลงมาเผยให้เห็นท้องฟ้าและค่ายกลขนาดใหญ่ปกคลุมทั้งตำหนัก
ค่ายกลนี้ก็กางกั้นตัวเขามาเป็นเวลานาน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเตรียมพร้อมก็คงไม่สามารถเข้ามาในโถงนี้ได้
ขณะนี้เขาก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ใบหน้าเริ่มเปลี่ยนไป
นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงที่น่าอัศจรรย์ระหว่างค่ายกลระดับจงซือและมู่เฉิน
มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่จู้เยี่ยนพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการไป งั้นก็อยู่ที่นี่ไปเลย”