หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - ตอนที่ 1401
ฟิ้ว!
แสงโชติช่วงสองสายพุ่งข้ามขอบฟ้าราวกับอุกกาบาต ทำให้มิติพังทลายในเส้นทางที่พาดผ่าน ความผันผวนนี้ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
ร่างแสงสองร่างไม่ได้ใช้กลยุทธ์ใดๆ พวกเขาเอาแต่ปะทะกันโหดเหี้ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้
ตู้ม!
แสงหลิงไร้ขอบเขตสร้างความหายนะไปทั่วท้องฟ้า ทำให้หมู่เมฆถูกลบออกไปในรัศมีหมื่นลี้เลยทีเดียว
แม้ทั้งสองฝ่ายจะโรมรันกันบนท้องฟ้าสูง แต่ระลอกคลื่นที่เกิดจากการปะทะก็ทำเอาโลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น….
ฉากนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกหนังหัวชาหนึบ คลื่นกระแทกนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะทนได้
ตึง!
ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน แสงโชติช่วงก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ร่างแสงสองร่างทะยานกลับมาพร้อมกับมิติยุบตัวที่ด้านหลัง
มู่เฉินถอยออกไปหลายพันจั้ง ร่างกายสั่นสะท้านไปหมดจากนั้นก็กลายเป็นพลังงานหลิง ซึ่งดูราวกับระลอกคลื่นบนอัญมณีส่องประกายที่ละลายพลังที่น่ากลัว
ส่วนเฉวียนเทียนก็ถอยกลับไปประมาณหนึ่งพันจั้ง แต่ร่างกายของเขาไม่เหมือนกับมู่เฉิน ดวงดาวบนร่างของเขาสั่นไหวดูดซับและสลายพลังงานในร่างกายลง
ในการเผชิญหน้าครั้งนี้ผู้มากประสบการณ์อย่างผู้เฒ่าเฉวียนเทียนอยู่ในตำแหน่งเหนือกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเฉวียนเทียนก็เคร่งเครียดลงหลายส่วน หลังจากแลกกระบวนท่ากันหลายครั้ง เขารู้สึกได้ว่าแม้ว่ามู่เฉินจะเพิ่งสร้างกายาหลิงเทียนจุนขึ้นมา แต่ก็แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มคนนี้มีรากฐานพลังที่มั่นคง ไม่ได้อาศัยแค่โชคในการทะยานเข้าประตูมังกร
ขณะที่สีหน้าเฉวียนเทียนเคร่งเครียดลง มู่เฉินก็ครุ่นคิดพลางมองไปที่กายาหลิงเทียนจุนของอีกฝ่าย เขาสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างเขาและเฉวียนเทียน
กายาหลิงเทียนจุนของเขาบริสุทธิ์ราวกับอัญมณี แต่ของเฉวียนเทียนกลับมีดวงดาวอยู่ภายใน ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
“ดูเหมือนว่านั่นน่าจะเป็นวิธีพัฒนากายาหลิงเทียนจุนให้แข็งแกร่งขึ้น… แต่ข้าเพิ่งบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นจึงยังไม่คุ้นเคยกับการเพาะบ่มพลัง”
มู่เฉินพึมพำในใจ ตัวเขาพึ่งพาตัวเองในเส้นทางการเพาะบ่มโดยไม่มีใครแนะนำ ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีพื้นหลังที่ทรงพลังเช่นกัน ทำให้เขาขาดประสบการณ์โดยธรรมชาติ
แต่เมื่อเขาต่อสู้กับเฉวียนเทียน เขาก็ได้รับความเข้าใจเล็กน้อยราวกับว่าสัมผัสอะไรบางอย่างได้
ดังนั้นสายตาเขาจึงกะพริบวูบไหวแล้วพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง ราวกับเกลียวแสงที่เปล่งรัศมีไร้ขอบเขตพุ่งไปยังเฉวียนเทียน
เขาไม่ได้ใช้ทักษะเทพใดๆ แต่อาศัยกายาหลิงเทียนจุนอย่างเดียว ต่อสู้ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมที่สุด
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว ร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นจากพลังงานหลิงบริสุทธิ์ ดังนั้นทุกการเคลื่อนไหวจึงมีพลังงานไร้ขอบเขต สรุปสั้นๆ ก็คือพลังที่อยู่เบื้องหลังหมัดของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าการใช้วิชาเจดีย์แปดองค์ในอดีตเลย
“หึ แค่กายาหลิงเทียนจุนระยะต้นยังคิดจะสู้กับข้าเรอะ?”
เฉวียนเทียนตะเบ็งเสียงลั่นเมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของมู่เฉิน เขาคิดว่ามู่เฉินแค่ไม่พอใจจากการเสียเปรียบเมื่อครู่ แต่วิธีการต่อสู้นี้ก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ที่สุดแล้วเขาจะถือครองตำแหน่งเหนือกว่าในการต่อสู้ระหว่างกายาหลิงเทียนจุน
ดังนั้นร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม ดวงดาวสั่นไหว ก่อนที่เขาจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นริ้วแสงเข้าปะทะกับมู่เฉินอีกครั้ง
ตู้ม ตู้ม!
ทั้งสองปะทะกันอย่างต่อเนื่องบนท้องฟ้าโดยอาศัยพลังกายภาพล้วนๆ ทุกการปะทะจะมาพร้อมกับภาพมายาและความโกลาหลที่ทำให้แผ่นดินแตกร้าว
ช่วงเวลานี้ท้องฟ้าปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน
สายตานับไม่ถ้วนมองการห้ำหั่นกันด้วยความตะลึงงัน เนื่องจากแสงที่เปล่งออกมาจากทั้งสองมีพลังมากเกินไป ทุกคนที่อยู่ภายใต้ระดับตี้จื้อจุนจึงรู้สึกแสบตานักเมื่อมองไปนานๆ แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายก็ยังแปรปรวน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถมองดูอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าเฉวียนเทียนอยู่เหนือกว่า การปะทะกันทุกครั้งจะทำให้มู่เฉินถูกกระเด็นกลับไป ทว่าเขายังคงรักษาพลังใจไม่ย่นย่อ แม้ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบ เขาก็ยังคงโจมตีรุนแรงต่อเฉวียนเทียน
“ท่านมั่นถัวหลัวสถานการณ์ของท่านประมุขไม่ถูกต้องนะ” หลิ่วเทียนเต้าและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลกับฉากนี้
มั่นถัวหลัวและหลิงซีแลกเปลี่ยนสายตากันขณะยังคงมีท่าทีสงบ พวกนางเข้าใจมู่เฉินเป็นอย่างดี ตอนนี้เขาไม่ได้ออกกระบวนท่าใดๆ เลย นอกจากการเผชิญหน้าด้วยพลังกายภาพล้วนๆ
พวกนางรู้ดีว่ามู่เฉินครอบครองวิชาสามพิสุทธิ์และเจดีย์แปดองค์ซึ่งเป็นวิทยุทธระดับเสินทงสุดยอดในตำนาน แต่เขายังไม่ได้ใช้วิชาเหล่านั้นด้วยซ้ำ ดังนั้นเห็นชัดว่าเขาน่าจะใช้เฉวียนเทียนเป็นหินเจียระไนเพื่อให้รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างระดับเทียนจื้อจุน
ตึง!
การปะทะดุเดือดเกิดขึ้นอีกครั้งบนท้องฟ้า ร่างกายของมู่เฉินก็สั่นสะท้านขณะที่ถูกพัดกลับไปหลายพันจั้ง ทุกครั้งที่ฝ่าเท้าก้าวถอยก็จะทำให้มิติใต้ฝ่าเท้าพังทลายลง
แม้ว่าจะถูกผลักกลับ แต่กลับมีแสงวูบวาบในดวงตา
แววตาลุกโชน เขาค่อยๆ รู้สึกได้ถึงความแตกต่างระหว่างกายาหลิงเทียนจุนของพวกเขาแล้ว
ทุกครั้งที่เขาปะทะกับเฉวียนเทียน เขาสามารถสัมผัสได้ว่าดวงดาวที่อยู่ในร่างอีกฝ่ายจะหมุนวนและสลายคลื่นหลิงที่รุกรานเข้ามาในร่างกาย
พลังการแก้ไขนี้อยู่ในอีกระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับเขาที่แบกรับไว้อย่างหนักหน่วง
นั่นหมายความว่ากายาหลิงเทียนจุนของเฉวียนเทียนอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
แม้ว่ากายาหลิงเทียนจุนของเขาจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็รู้สึกว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่ เขาไม่สามารถคว้าความสามารถนั้นมาได้เพราะสิ่งกีดขวางนี้
ส่วนเฉวียนเทียนแสดงให้เห็นถึงระดับที่สูงกว่านี้จนถึงขีดสุด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสามารถถือไพ่เหนือกว่าในการปะทะกันได้
“เลือดเนื้อและกระดูกของข้าหลอมรวมกับร่างกายแล้ว แต่ยังมีสิ่งกีดขวาง… มันต้องอยู่ในระดับลึกกว่านี้…” ดวงตามู่เฉินกะพริบวาบขณะที่ความคิดวิ่งเร็วจี๋อยู่ในสมอง
ทันใดนั้นความคิดก็ตกผลึกบวกกับความเข้าใจที่เขาได้รับจากการปะทะกับเฉวียนเทียนก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา
“ข้ารู้ว่าคืออะไรแล้ว!”
“เส้นหลิง!”
แววตามู่เฉินเปล่งประกายด้วยความเข้าใจ สิ่งที่เรียกว่าเส้นหลิงเป็นสิ่งที่ทุกคนที่เริ่มฝึกวรยุทธจำได้แม่น ในการเริ่มต้นการฝึกฝนผู้ฝึกที่มีเส้นหลิงสูงกว่าก็จะหมายความว่าความเร็วในการเพาะบ่มก็จะเร็วขึ้น
เขายังจำได้ว่าศัตรูที่เขาเจอตอนอยู่ในสำนักศึกษาเป่ยชาง จีเฉวียนก็มีเส้นหลิงขั้นเทียนเลยทีเดียว
แต่เมื่อความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น ตรรกะของเส้นหลิงก็ค่อยๆ จางหายไป หลายๆ คนคิดเพียงว่าเส้นหลิงมีประโยชน์ต่อเมื่อเริ่มฝึกฝนเท่านั้น การใช้จะลดน้อยลงเรื่อยๆ จนกว่าจะหายไป
พูดชัดลงไปก็คือตรรกะนี้มากจนมู่เฉินรู้สึกแบบนั้นจนถึงตอนนี้
เส้นหลิงในร่างกายไม่ได้ไร้ประโยชน์ แต่เป็นเพียงการที่หลายคนไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะปรับแต่งมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีเงื่อนไขในการทำให้สำเร็จ
นั่นก็คือการก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนและสร้างกายาหลิงเทียนจุนขึ้นมา
เมื่อร่างกายได้รับการปรับเปลี่ยน ผู้ฝึกก็จะรู้สึกได้ถึงเส้นหลิงที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเพื่อปรับแต่งให้เข้าถึงความสมบูรณ์
รอยยิ้มปรากฏบนริมฝีปากของมู่เฉิน ที่จริงเขารู้สึกได้ว่าตัวเองขาดอะไรบางอย่างตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน แต่หลังจากต่อสู้กับเฉวียนเทียน เขาก็คิดออก
เมื่อเฉวียนเทียนเห็นการแสดงออกของมู่เฉิน ดวงตาก็หดลง เขาไตร่ตรองอยู่พักก็รู้ความตั้งใจของมู่เฉิน ทันใดนั้นริมฝีปากเขาก็กระตุกด้วยความโกรธอย่างช่วยไม่ได้ ไอ้หนุ่มคนนี้ใช้เขาเป็นคู่ซ้อมเพื่อหาข้อบกพร่องของตัวเอง
เมื่อครู่เขายังคิดว่ามู่เฉินไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เนื่องจากความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายพยายามค้นหาวิธีที่จะทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบโดยการต่อสู้อย่างมีจุดมุ่งหมาย
ใบหน้าของเฉวียนเทียนเคร่งขรึมขณะที่จ้องมองที่มู่เฉินพลางกัดฟัน “ดูเหมือนแกจะฉลาดใช่ย่อย รู้ว่าขาดอะไรไปได้เร็วขนาดนี้”
“ถูกตัอง ข้าบอกแกเลยว่าหลังจากปรับแต่งเส้นหลิงแล้วถึงจะสามารถทำให้กายาหลิงเทียนจุนสมบูรณ์แบบได้ ยิ่งไปกว่านั้นยิ่งเส้นหลิงทรงพลังมากเท่าไหร่ กายาหลิงเทียนจุนก็จะพิเศษมากขึ้นเท่านั้น”
“แต่ถึงแกรู้เรื่องนี้แล้วไง? คิดจะลับคมหอกในการต่อสู้เรอะ จะมีประโยชน์อะไรอีก!” เฉวียนเทียนเยาะเย้ย
ที่จริงนี่ไม่ใช่ความลับใดๆ แม้ว่ามู่เฉินจะไม่ได้ต่อสู้กับเขาในวันนี้ แต่ก็สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ในอนาคต แค่อาจจะใช้เวลาอีกเล็กน้อยเพื่อทำ
นอกจากนี้เขารู้ดีว่าการพยายามปรับแต่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่างน้อยเขาก็ไม่ให้โอกาสมู่เฉินได้ทำหรอก
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเยือกเย็นของเฉวียนเทียน มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ “ในเมื่อเป้าหมายของข้าบรรลุผล ข้าก็ไม่คิดจะเล่นกับแกอีกแล้ว”
แววเยาะเย้ยเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของเฉวียนเทียนอีกหลายส่วน แต่ก่อนที่จะพูดเขาก็เห็นมือของมู่เฉินวาดตราประทับ มิติถึงกับแปรปรวน ร่างเงาสองร่างย่างกรายออกมาข้างๆ ดวงตาจ้องมองไปที่เฉวียนเทียนอย่างเฉยเมย
ร่างทั้งสองดูเหมือนมู่เฉินทุกกระเบียดนิ้ว เมื่อพวกเขายืนอยู่ข้างมู่เฉินขุมพลังเทียนจื้อจุนสองสายก็กวาดออกไป
ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน
แววเยาะเย้ยบนใบหน้าเฉวียนเทียนแข็งค้าง ขณะมองไปที่มู่เฉินสองคนที่เหมือนกันอย่างกับแกะด้วยความตกตะลึงในใจ…