หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1419 ผู้นำคนใหม่ตระกูลชิง
“ท่านแม่ข้าชื่อ…ชิง-เหยี่ยน-จิ้ง”
เสียงของมู่เฉินสร้างความปั่นป่วนรุนแรงทันที สมาชิกหลายตระกูลในเผ่าฝูถูลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยสีหน้าตกตะลึง
“แม่ของเขาคือชิงเหยี่ยนจิ้ง?!”
“นั่น…คือไอ้ตัวกาลกิณีหรือ?”
“ทำไมเขาถึงกล้ามาเผ่าฝูถูของเรา? อยากติดตาข่ายตายรึไง!”
“…”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นภายในเผ่าฝูถู ทุกคนมองไปที่มู่เฉินราวกับว่าพวกเขากำลังมองสิ่งไม่น่าเชื่อ
แม้ว่าชื่อของมู่เฉินจะไม่คุ้นในเผ่าฝูถู แต่ทุกคนก็รู้เกี่ยวกับตัวตนของเขาในฐานะตัวกาลกิณี เนื่องจากมารดาของเขาโดดเด่นเกินไป!
หลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง ความแข็งแกร่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างได้แม้จะมีรากฐานแบบเผ่าฝูถูก็ตาม
การมาถึงจุดนี้ได้บ่งบอกว่าพรสวรรค์ของชิงเหยี่ยนจิ้งยอดเยี่ยมเพียงใด ตามสถานการณ์ปกตินางจะกลายเป็นประมุขเผ่าฝูถูด้วยพลังที่มี
ทว่าไม่มีใครคิดว่าชิงเหยี่ยนจิ้งจะไม่ใส่ใจเรื่องควบคุมเผ่า นางไม่เพียงออกจากตระกูล แต่ยังแต่งงานและมีลูกด้วย
ย้อนกลับไปเหตุการณ์นั้นเกือบจะทำให้เผ่าฝูถูพลิกคว่ำพลิกหงายกันหมด สร้างความโกรธเคืองให้ผู้อาวุโสใหญ่ เขาจึงกักขังชิงเหยี่ยนจิ้งเอาไว้ นอกจากนี้เขายังค้นหาข่าวลูกชายอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง แต่ตลอดมาก็ไม่มีวี่แววเลยสักนิดกระทั่งสองสามปีก่อน ทว่าตอนนั้นก็ทำเอาเหล่าผู้อาวุโสต่างตกตะลึง เนื่องจากมู่เฉินได้บรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนแล้ว
นอกจากนี้เขายังได้รับวิชาเจดีย์แปดองค์จากแดนเซิ่งยวนโบราณ กระทั่งเฉวียนหลัวและมั่วซินสองอัจฉริยะของเผ่าก็กลับมามือเปล่า
แต่ไม่ว่าพัฒนาการของมู่เฉินจะรวดเร็วเพียงใดทุกคนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญ ถ้าไม่ใช่เพราะเผ่าฝูถูกลัวว่าจะทำให้ชิงเหยี่ยนจิ้งโกรธละก็ การจับกุมมู่เฉินก็เป็นเรื่องง่าย
ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นว่ามู่เฉินไม่คิดซ่อนตัวจากเผ่าฝูถูอีกต่อไป มิหนำซ้ำยังปรากฏตัวในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาจึงรู้สึกไม่อยากเชื่อ
เมื่อเทียบกับความตกใจของผู้คน ฝูถูเฉวียนก็ค่อยๆ คืนสติ เขาจ้องมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาช้าๆ
“เจ้ากาลกิณี ช่างกล้าหาญแท้จริง! เจ้าคิดว่าไม่ต้องเกรงกลัวเพราะมีมารดาปกป้องอยู่รึ!” เสียงของฝูถูเฉวียนสะท้อนระหว่างฟ้าดินไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
ในขณะที่เขาพูดก็ทำให้เกิดความผันผวนระหว่างชั้นฟ้าชั้นดินทั้งหลาย ความกดดันที่กำจายออกมาห่อหุ้มทั้งสวรรค์และโลกเอาไว้
เผชิญกับแรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เหล่าผู้ชมก็อดไม่ได้ที่จะเผยริ้วความเคารพในสายตา
มู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันทำลายล้าง ภายใต้พลังนั้น แม้ว่าเขาจะบรรลุขุมพลังเทียนจื้อจุนแล้วก็ยังรู้สึกถึงความอ่อนแอของตน
“นี่คือความกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเหรอ? สมควรเป็นสุดยอดของมหาพันภพ!”
ทว่าไม่มีความกลัวใดๆ บนใบหน้าของมู่เฉิน แม้ว่าจอมยุทธ์ระดับนี้จะทรงพลัง แต่เขาก็ใช่ว่าจะไม่เคยพบมาก่อน นอกจากนี้เมื่อเทียบกับเซียวเหยียนและหลินต้ง ฝูถูเฉวียนก็อ่อนกว่าหลายส่วนเลยทีเดียว
ดังนั้นมู่เฉินจึงหายใจเข้าลึก ปล่อยเสื้อผ้ากระพือไปตามสายลม สายตาคมชัดขึ้นพลางก้าวเท้าออกไป ทันใดนั้นความกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงก็พลุ่งพล่านออกมาจากร่างกาย
แม้ว่าจะไม่ทรงพลังเท่าฝูถูเฉวียน แต่ก็คล้ายกับภูเขาสูงตระหง่านที่ไม่ยอมแพ้ไม่ว่าจะเป็นลมพายุใดๆ ก็ตาม
แม้ว่าเขาจะไม่ทรงพลังเท่าฝูถูเฉวียน แต่เขาก็เป็นประมุขของขั้วอำนาจสูงสุดและยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิง ดังนั้นฝูถูเฉวียนคิดน้อยไปที่จะบีบเขาให้ทนรับแรงกดดันแบบนี้อย่างเดียว
“ระดับเทียนจื้อจุน?!”
ผู้คนจำนวนมากฉายท่าทางที่เปลี่ยนไป เมื่อความกดดันคลื่นหลิงของมู่เฉินแผ่กระจายออก โดยเฉพาะสมาชิกเผ่าฝูถู
“เป็นไปได้ยังไง?!” เฉวียนหลัวและมั่วซินเขียนความตกใจบนใบหน้า ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
ต้องรู้ว่าเมื่อไม่นานมานี้ตอนที่พวกเขาพบกับมู่เฉิน อีกฝ่ายเพิ่งจะบรรลุขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม แล้วเขาไปถึงขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อย่างไรในเวลาปีเดียว!
นี่ใช้พรสวรรค์และโอกาสมากแค่ไหนกัน!
พวกเขาคิดว่าตัวเองเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงในหมู่ชนชั้นสูงของเผ่าโบราณ แต่ตอนนี้กลับต้องหม่นหมองเมื่อเทียบกับตัวกาลกิณี
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของทั้งสองก็เขียวคล้ำ ขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความอิจฉาริษยา
บนภูเขาตระกูลชิง ผู้คนในตระกูลต่างตกตะลึง โดยเฉพาะพวกที่บอกว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะถึงกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“หึ ตอนนี้รู้ระยะห่างรึยัง? เขาก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนตั้งแต่อายุยังน้อยแม้แต่เฉวียนหลัวและมั่วซินก็เทียบไม่ติด แล้วพวกเจ้าจะเอาอะไรไปแข่งกับเขา” ชิงหลิงเย้ยหยัน
จอมยุทธ์รุ่นใหม่ตระกูลชิงแลกเปลี่ยนสายตาด้วยรอยยิ้มอึดอัดใจ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้หาได้ยากแม้แต่ในเผ่าโบราณ ไม่รู้จริงๆ ว่ามู่เฉินฝึกฝนอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ว่าคืออีกฝ่ายไม่ได้รับการสนับสนุนทรัพยากรใดๆ ของเผ่าเลย!
เมื่อเทียบกับมู่เฉิน พวกเขาเป็นฝุ่นแท้จริง สิ่งที่ชิงหลิงพูดคือความจริง
“สมกับเป็นลูกของท่านหญิงจิ้งจริงๆ พรสวรรค์นี้…” ผู้อาวุโสตระกูลชิงบางคนถึงกับถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก ถ้ามู่เฉินเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลชิงละก็จะมีที่สำหรับเฉวียนหลัวและมั่วซินได้อย่างไร?
“แต่เขาไม่ควรมาที่นี่ นี่คือเผ่าฝูถู ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้ด้วยพลังที่มีตอนนี้”
มู่เฉินไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขามองไปที่ฝูถูเฉวียนพลางยิ้ม “ข้าท่องยุทธภพไปทั่วมหาพันภพเป็นเวลาสิบกว่าปี ความกล้าหาญที่มีไม่น้อยหรอก แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับมารดาข้า ไม่เหมือนผู้อาวุโสใหญ่ที่ชอบใช้สิ่งนี้ในการข่มขู่เพื่อกักขังผู้หญิงคนหนึ่ง”
คำพูดของเขาแหลมคมโดยไม่ไว้หน้าฝูถูเฉวียน เนื่องจากคำพูดเหล่านี้เป็นหนามที่ฝังอยู่ในใจของเขามานานหลายปี
“อวดดี!”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน ผู้อาวุโสบางคนก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เสียงด่าเกรี้ยวกราดของพวกเขาสะท้อนออกมาพร้อมกับแรงกดดันคลื่นหลิง
“ทำไม? ผู้อาวุโสทั้งหลายคิดจะรุมจัดการข้ารึ? ก็ได้ งั้นวันนี้ข้าขอชี้แนะหน่อยละกัน!” มู่เฉินหันหน้าไปทางผู้อาวุโสเหล่านั้นก็หัวเราะอย่างไม่เกรงกลัว
“ไอ้เด็กงี่เง่า รนหาที่ตาย!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเตรียมพุ่งออกไปด้วยความโกรธพลางออกกระบวนท่า
“หยุด!”
ทว่าเสียงของฝูถูเฉวียนก็ดังขึ้น เขาเหลือบมองไปที่คนเหล่านั้น ทำให้พวกเขาถอยฉากไป นี่คืองานชุมนุมสายเลือดเผ่าฝูถู มิหนำซ้ำยังมีขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพรวมตัวกันที่นี่ หากเผ่าฝูถูรวมหัวกันรังแกเด็กคนหนึ่ง ก็จะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับเผ่าได้
หลังจากที่หยุดผู้คนเอาไว้ สายตาของฝูถูเฉวียนก็จ้องไปที่มู่เฉินพูดเสียงบาดลึก “เจ้ามาที่เผ่าฝูถูของข้าเพื่อปากดีเรอะ?”
มู่เฉินส่ายหัวยิ้มอ่อน “ข้าไม่ได้น่าเบื่อขนาดนั้น การมาเยือนของข้ามาจากคำขอของใครบางคน”
“โอ้?” ฝูถูเฉวียนหรี่ตาลง
“ช่วยตระกูลชิงได้ตำแหน่งกลับมา” มู่เฉินหลุบตา
ทันทีที่เขาพูดก็ทำให้เกิดความปั่นป่วน แม้แต่ตระกูลชิงเองก็ยังตกตะลึง ชัดว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้
“ฮ่าๆ ตลกล่ะ เจ้ามีความสามารถอะไร นอกจากนี้เจ้าไม่ใช่สมาชิกเผ่าข้า จะมีสิทธิ์มาจากไหน?” เสียงเยาะเย้ยสะท้อนมาจากเฉวียนกวางที่มองมู่เฉินอย่างไม่แยแส
มู่เฉินยิ้มแล้วยกมือขึ้น ป้ายสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นในมือ “ด้วยสิ่งนี้ ข้ามีสิทธิ์หรือยัง?”
“ป้ายประจำตระกูล?”
เฉวียนกวางอดไม่ได้ที่จะหดดวงตาเมื่อเห็นป้ายในมือของมู่เฉิน
“ป้ายประจำตระกูลชิง? ชิงเทียนพวกตระกูลชิงของเจ้ากำลังทำอะไร?! ป้ายตกอยู่ในมือไอ้กาลกิณีนี่ได้ยังไง?!” มั่วถงมองไปที่ชิงเทียนขณะที่ตะเบ็งเสียงลั่น
ชิงเทียนรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด ก่อนที่เขาจะสบตากับชิงเซวียนจากนั้นก็กัดฟันกรอด “เรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าที่จะบอกว่ามู่เฉินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเผ่าฝูถู ถ้าเขาไม่ใช่เช่นนั้นก็ขับไล่ชิงเหยี่ยนจิ้งออกไปด้วยสิ”
“และผู้อาวุโสตระกูลชิงตัดสินใจแล้วว่าข้าไม่สามารถแบกรับตำแหน่งประมุขไว้ได้อีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมู่เฉินจะเป็นประมุขคนใหม่ของตระกูลชิง หากมีข้อข้องใจก็รอเปิดสภาผู้อาวุโส อย่างน้อยตอนนี้พวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจได้”
ชิงเทียนรู้ดีว่าตระกูลชิงจะสูญเสียตำแหน่งในฐานะหนึ่งในสายเลือดหลักแล้ว นอกจากนี้หลายปีที่ผ่านมายังถูกกดดันโดยตระกูลเฉวียนและมั่วมาตลอด พวกเขาไม่อยากทนต่อไปอีกแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ฝากความหวังทุกอย่างกับมู่เฉินซะจะดีกว่า!
“ชิงเทียน แก!”
ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงเปลี่ยนไป ขณะมองอีกฝ่ายด้วยความโกรธ
ชิงเทียนเค้นเสียงใส่ ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น เขาหมดความอดทนแล้ว ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดในวันนี้ก็คือพวกเขาหลุดจากหนึ่งในสายเลือดหลัก ส่วนมู่เฉินจะทำอะไรปล่อยให้ทำไปเถอะ ถือเป็นการชดใช้ให้ชายหนุ่มคนนี้
เมื่อทุกคนเห็นความขัดแย้งนี่ก็ได้แต่แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปสู่จุดนี้
“เอาล่ะ ทุกคนหุบปาก!”
เสียงตะโกนของฝูถูเฉวียนทำให้ทุกคนหยุด ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจนไม่น่าดู การประลองงานชุมนุมสายเลือดกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับคนอื่นแล้ว
เขามองไปที่มู่เฉินขณะพูดต่อ “ในเมื่อตระกูลชิงเลือกเจ้าขึ้นเป็นประมุข ดังนั้นก็ต้องผ่านความเห็นของสภาผู้อาวุโสเพื่อลบออก แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถตัดสินใจได้ในตอนนี้”
“แต่ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นประมุข แต่ตำแหน่งในสภาผู้อาวุโสก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าอยากได้ก็จะได้ไป ถ้าเจ้าต้องการก็แสดงพลังให้ประจักษ์”
ในเมื่อตระกูลชิงแพ้ในการป้องกัน นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องสู้เพื่อให้ได้มา
แม้ว่ามู่เฉินจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุน แต่ก็อยู่ในระยะต้นเท่านั้น ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะแย่งชิงกลับมา
มู่เฉินยิ้มเมื่อได้ยิน “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่ต้องกังวล”
พูดจบเขาก็ทะยานออกไปพลิ้วตัวลงบนแท่นของตระกูลเฉวียน
เวลาเดียวกันน้ำเสียงเย็นชาก็สะท้อนออกมา
“ในเมื่อตระกูลเฉวียนเอาตำแหน่งของตระกูลชิงไป ข้าก็ขอเอาคืนจากพวกเจ้า!”