หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1429 สู้กับเผ่าฝูถูด้วยตัวคนเดียว
“เจ้าสองคนจะทำอะไร?”
เสียงของฝูถูเฉวียนทำให้บรรยากาศตกลงสู่จุดเยือกแข็ง หลายคนรู้สึกว่ากระดูกสันหลังสั่นไหวเลยทีเดียว พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้เห็นการเผชิญหน้าที่ดุร้ายในการเดินทางมาครั้งนี้
ถ้าเผ่าฝูถูรบกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู อาจทำให้ทั่วมหาพันภพเกิดการสะเทือน
ภายใต้การจ้องมองของฝูถูเฉวียน สายตาของเย่าเฉินและหลินเตียวก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ถ้าผู้อาวุโสใหญ่ยืนยันที่จะทำ พวกเราก็ทำได้แค่ขอโทษล่วงหน้าและปกป้องความปลอดภัยของมู่เฉินเท่านั้น”
คำพูดของพวกเขาทำให้ทุกคนใจสั่นทันที แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูมุ่งมั่นที่จะปกป้องมู่เฉิน? แม้จะต้องจ่ายราคาในการละเมิดเผ่าฝูถูนะเหรอ?
ใบหน้าของเฉวียนกวางและมั่วถงบิดเบ้จนน่าเกลียด พวกเขารู้สึกไม่น่าเชื่อ ต้องรู้ว่าเผ่าฝูถูเป็นหนึ่งในเผ่าโบราณในมหาพันภพที่มีรากฐานที่ลึกซึ้ง แต่ตอนนี้แคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูต้องการท้าทายพวกเขาเพื่อมู่เฉินคนเดียวหรือ?
ไอ้กาลกิณีนี่มีดีอะไร?
แต่เนื่องจากสถานการณ์ดำเนินไปถึงขั้นนี้ ทั้งสองคนก็ไม่กล้าจะพูด ได้แต่มองไปที่ฝูถูเฉวียนเพื่อรอการตัดสินใจขั้นสุดท้าย
ฝูถูเฉวียนตบพนักเก้าอี้เบาๆ พลางมองไปที่มู่เฉิน “ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกเจ้าไปจริงๆ ในเวลาเพียงสองทศวรรษที่ผ่านมา เจ้ามาถึงจุดสูงสุดในการฝึกฝน ซ้ำยังสร้างความสัมพันธ์กับแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูอีกด้วย”
ขณะที่พูดไอเย็นเยือกก็วูบวาบในดวงตาพร้อมกับพูดต่อ “แต่เผ่าฝูถูของข้าดำรงอยู่ในมหาพันภพมาเนิ่นนานเพราะเราปฏิบัติตามกฎ หากเจ้าคิดว่าการเชิญแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูสามารถช่วยแก้ไขตัวตนของเจ้าในฐานะตัวกาลกิณี เจ้าก็ไร้เดียงสาเกินไป”
เมื่อพูดจบเขาไม่ได้มองไปที่มู่เฉิน แต่หันไปหาเย่าเฉินและหลินเตียว “สำหรับพวกเจ้าสองคนจงให้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาพูดคำเหล่านั้นเอง! เจ้าสองคนยังไม่มีสิทธิ์!”
ฝูถูเฉวียนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้ว่าเย่าเฉินและหลินเตียวจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย แต่ก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขา ดังนั้นฝูถูเฉวียนจึงไม่คิดแลทั้งสองเลยสักนิด
ฝูถูเฉวียนเหยียนนิ้วชี้ไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา “เฉวียนกวาง มั่วถง พวกเจ้ายืนรออะไรอยู่? จับเจ้ากาลกิณีนั่นซะ!”
“รับทราบ!”
เฉวียนกวางและมั่วถงรับคำสั่ง นำเหล่าผู้อาวุโสออกไปล้อมรอบตัวมู่เฉินเพื่อจับกุม
เมื่อเย่าเฉินเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ส่วนหลินเตียวก็ก้าวเท้าออกไปเอ่ยเสียงเย็นชา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าก็ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสใหญ่หน่อยเถอะ”
เมื่อเขาพูดจบบาตรแก้วก็ปรากฏขึ้นในมือซึ่งมีสัญลักษณ์โบราณแปดลายอยู่บนนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้า ไฟ น้ำแข็งและองค์ประกอบอื่นๆ หมุนเวียนอยู่บนบาตรแก้ว
เมื่อบาตรแก้วปรากฏขึ้นก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนระหว่างชั้นฟ้าและชั้นดินพร้อมกับความผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้กวาดออกมา
สัมผัสได้ถึงความผันผวน ฝูถูเฉวียนก็หดดวงตาขณะที่จ้องไปที่บาตรแก้วในมือหลินเตียว “ลือกันว่าเทพจักรพรรดิสงครามได้ปรับแต่งตราประทับเทวลิขิตโบราณทั้งแปดให้กลายเป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งที่เรียกว่าบาตรแก้วแปดเทวลิขิต ถ้าข้าเดาถูกก็น่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ในมือเจ้าใช่ไหม?”
เมื่อเสียงของฝูถูเฉวียนดังก้องก็ทำให้ทุกคนสูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด ทุกสายตามองไปที่บาตรแก้วในมือของหลินเตียวด้วยความตกใจและหวาดกลัว เนื่องจากอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมถูกจัดชั้นเป็น หลิง-เซียน-เซิ่งอีกด้วย
อาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งหายากแม้แต่ในมหาพันภพ ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถปรับแต่งได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นพลังของอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมสามารถทำลายโลกได้เลยทีเดียว
“ถูกต้อง…”
หลินเตียวขานรับพลางแลกเปลี่ยนสายตากับเย่าเฉิน ทั้งสองคนชี้ไปที่บาตรแก้ว คลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็หลั่งไหลเข้าไปอย่างรุนแรง
หากพวกเขาต้องการที่จะเปิดใช้งานอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมชั้นเซิ่งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายก็ยังพบว่ายากมาก ดังนั้นเย่าเฉินและหลินเตียวจึงต้องร่วมมือกันเพื่อเปิดใช้
ฮึ่ม ฮึ่ม!
ขณะที่หลินเตียวและเย่าเฉินเทพลังลงไป บาตรแก้วก็ส่งเสียงครางกระหึ่ม รัศมีแปดสายกำจายออกมา อึดใจบาตรแก้วก็หายไปจากมือของหลินเตียว
ในช่วงเวลาต่อมาทุกคนก็เห็นบาตรสีทองโปร่งใสพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ราวกับว่าผ่านเวลาและมิติ ตราบใดที่บีบลงมาได้ ก็ขังบางคนไว้โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ครืน!
บาตรแก้วครอบร่างฝูถูเฉวียนไว้ข้างใน ทำเอาภูเขาใหญ่ถึงกับสั่นสะเทือน
ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกใจ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหลินเตียวและเย่าเฉินจะเคลื่อนไหวเพื่อช่วยมู่เฉิน แต่พวกเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจับตัวฝูถูเฉวียนไว้แทน
แต่การทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไร? เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ฝูถูเฉวียนจะจัดการมู่เฉินด้วยตัวเองอยู่แล้ว แค่เฉวียนกวางกับมั่วถงก็ทำได้เกินพอดีแล้ว
ฝูถูเฉวียนอึ้งไปเช่นกัน ก่อนที่จะเค้นเสียงเย็นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เหมือนจะหลับตาลงแต่ก็ไม่ได้หลับ ทว่ามีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นจากในบาตรแก้วว่า
“จัดการต่อ”
เฉวียนกวางและมั่วถงไม่ลังเลอีกต่อไป ร่างทะยานออกพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งสู่ขอบฟ้า โอบล้อมมู่เฉินไว้
“เฮ้ ท่านอาเตียว โจมตีผิดเป้าหมายรึเปล่า?!”
เมื่อหลินจิ้งเห็นภาพนี้ นางก็ตะลึงก่อนจะดึงแขนเสื้อของหลินเตียวไปเขย่า “เป็นไปไม่ได้ที่ฝูถูเฉวียนจะต่อสู้กับมู่เฉินอยู่แล้ว แต่พลังที่เขามีก็ไม่สามารถต้านผู้อาวุโสคนอื่นๆ ของเผ่าฝูถูได้นะ”
เซียวเซียวก็งงกับการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ดังนั้นนางจึงมองไปที่เย่าเฉินและหลินเตียว
ขณะที่หลินจิ้งเขย่าหลินเตียวไม่หยุด เขาก็ไม่สามารถรักษาสีหน้าเย็นชาและยิ้มอย่างขมขื่น “นังตัวน้อยของข้าเลิกเขย่าได้แล้ว นี่เป็นแผนการของมู่เฉิน เขาบอกให้เราหยุดฝูถูเฉวียนไว้ก็พอ ที่เหลือเขาจัดการเองได้”
เย่าเฉินพยักหน้าและยิ้ม “เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้กระทั่งข้ายังสงสัยว่ามู่เฉินมีความมั่นใจที่จะจัดการกับผู้อาวุโสเผ่าฝูถูทั้งหมดด้วยตัวเองมาจากไหน”
หลินจิ้งอดไม่ได้ที่จะแลกเปลี่ยนสายตากับเซียวเซียวเมื่อได้ยิน แม้ว่านางจะรับรู้ถึงความไม่ธรรมดาในการต่อสู้ของมู่เฉิน แต่สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะจัดการได้ด้วยตัวเอง
ทว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่อวดอ้าง ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้เขาต้องมีวิธีการบางอย่าง…
“งั้น…ก็ดูกันไปก่อน ถ้ามู่เฉินทำไม่ได้พวกท่านต้องช่วยเขานะ” หลินจิ้งกล่าวด้วยความลังเลสั้นๆ
หลินเตียวพยักหน้าตอบว่า “วางใจเถอะ ในเมื่อพ่อของเจ้าฝากไว้แล้ว พวกเราก็ต้องปกป้องให้เขาปลอดภัย”
ขณะที่กลุ่มหลินจิ้งกำลังสนทนากัน เหล่าผู้ชมก็พากันงงงวย พวกเขามองมู่เฉินที่ถูกล้อมก็ส่ายหัว ไม่ต้องพูดถึงขุมพลังของมู่เฉินที่มี ต่อให้เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็คงไม่สามารถต้านผู้อาวุโสจำนวนมากของเผ่าฝูถูได้
“ดูเหมือนแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูก็ไม่ต้องการเปิดศึกกับเผ่าฝูถูเพื่อมู่เฉิน จึงทำให้พวกเขาแค่จับฝูถูเฉวียนไว้และไม่สนใจผู้อาวุโสคนอื่นๆ”
ขณะที่พวกเขากำลังงงงวยก็มีคนมโนเหตุผล ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผลดี ใครๆ ก็สามารถชั่งน้ำหนักความสำคัญของมู่เฉินและเผ่าฝูถูได้
ผู้อาวุโสตระกูลชิงใบหน้าซีดเผือด ผู้อาวุโสใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว แม้ว่าตระกูลชิงต้องการปกป้องมู่เฉินก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“ชิงเซวียน เดี๋ยวเราก็มองหาโอกาสลงมือเพื่อช่วยให้มู่เฉินหลบหนีไป” ชิงเทียนกล่าวขณะที่กัดฟัน
หากพวกเขาปล่อยให้มู่เฉินถูกจับได้ ชิงเหยี่ยนจิ้งคงตัดสัมพันธ์กับตระกูลชิงครั้งนี้แน่
เมื่อชิงเซวียนได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางก็พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
“มู่เฉินเลิกขัดขืน! เจ้าคิดว่าสามารถเผชิญหน้ากับเผ่าฝูถูด้วยกำลังที่มีรึ?”
ขณะที่ผู้ชมกำลังถอนหายใจ ตาข่ายก็ถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสสิบกว่าคนจากตระกูลเฉวียนและมั่ว เฉวียนกวางและมั่วถงมองไปที่มู่เฉินด้วยรอยยิ้มเย็นชา ราวกับว่าพวกเขากำลังมองเหยื่อในกับดัก
“มู่เฉิน อย่าทำผิดพลาดมากกว่านี้ ยอมถูกจับซะดีๆ มิฉะนั้นถ้าปะทะกันแล้วพวกข้าควบคุมแรงไว้ไม่ดี อาจทำให้เจ้าพิการ นี่เป็นการสูญเปล่าสำหรับเส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจร” มั่วถงกล่าวอย่างไม่แยแส
เมื่อพวกเขาพล่าม มู่เฉินก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใด เขาค่อยๆ หลับตาลงพร้อมกับมือไพล่หลัง พายุดันเสื้อผ้าของเขาลอยขึ้น
“ไอ้ดื้อด้าน จัดการ!”
รอไปสิบกว่าลมหายใจ เมื่อไม่เห็นมีการตอบสนองอะไรเฉวียนกวางก็เค้นเสียงและสะบัดมือลง
วาบ!
ร่างเงาสิบกว่าร่างพุ่งออกมาข้างหลัง คลื่นหลิงกลายเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่พุ่งเข้าหามู่เฉิน นี่เป็นความปั่นป่วนที่จะทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ยังหวาดกลัว
ด้วยพลังที่มู่เฉินมี เขาได้รับบาดเจ็บหนักทันทีแน่
ทุกคนส่ายหัวด้วยความสงสาร เส้นหลิงขั้นเสินเก้าชีพจรจะสิ้นชีพวันนี้แล้วหรือ?
ทว่าทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้น เขามองไปที่ผู้อาวุโสเผ่าฝูถูพร้อมกับรอยยิ้มเย็นบนริมฝีปาก
“พวกแกทำให้เราแม่ลูกต้องพรากจากกันหลายสิบปี ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะต้องสะสางหนี้นี้!”
เมื่อเขาพูดจบ แสงนับไม่ถ้วนก็รวมตัวกัน ก่อตัวเป็นสัญลักษณ์หลิงยิ่งที่ลึกลับจำนวนมาก
ครืน
ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวก็ปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่
เมื่อดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวปรากฏบนท้องฟ้า ทุกคนในมิติฝูถูก็สามารถสัมผัสได้โดยเฉพาะเฉวียนกวางและคนอื่นๆ ก่อนที่พวกเขาจะเงยหน้าขึ้น เมื่อมองไปที่ค่ายกล ต่อให้เป็นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะขนลุกขึ้นมาทันที
นั่นเป็นเพราะค่ายกลที่ปรากฏนี้เป็นค่ายกลพิทักษ์เผ่าของพวกเขา!