หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1441 ไปหาตัวช่วย
เสียงหัวเราะของมู่เฉินดังก้องไปทั่ววัง
แต่ไม่มีใครคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกเลย ทุกคนตัวสั่นเทิ้ม ต่างแอบบ่นอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเขาจะมองพลาดไป ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ไม่ใช่ลูกวัวแต่เป็นพยัคฆ์ร้าย
ดูจากการที่มู่เฉินสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มร่อแร่ได้ ต่อให้โง่กว่านี้พวกเขาก็เดาได้ว่ามู่เฉินจะต้องเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแน่นอน
แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนที่อายุน้อยเช่นนี้มาก่อน!
‘เทพเจ้าสู้กัน แต่เป็นชาวโลกที่เสียหาย’ พวกเขาไม่กล้าที่จะออกเสียงแม้แต่น้อย ไม่ว่ามู่เฉินหรือภูมิหลังที่น่ากลัวของราชันไป่หลิงก็เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจเข้าถึงได้ ทั้งสองคล้ายกับเทพเซียนที่กำหนดชะตาชีวิตของพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาได้แต่หลบหนีด้วยความกลัวเมื่อเทพเซียนต่อสู้กัน
ขณะที่ทุกคนที่นี่กำลังหวาดกลัว คนจากพันธมิตรเป่ยหลิงก็ตกตะลึงไปกับฉากนี้ มากจนกระทั่งถังเชียนเอ๋อก็ยังอ้าปากเหวอด้วยความตกใจ
พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มจะเหมือนตุ๊กตาในมือของมู่เฉิน
จอมยุทธ์ชั้นสูงของพันธมิตรเป่ยหลิงก็คือเหล่าเจ้าเขตต่างๆ ในมณฑลเป่ยหลิง พวกเขาจึงคุ้นเคยกับมู่เฉินดี ย้อนกลับไปมู่เฉินยังเป็นเด็กหนุ่มอ่อนเยาว์ตอนที่จากไป แต่ใครจะคาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะไปไกลเกินเอื้อมเมื่อกลับมาครั้งนี้?
ราชันไป่หลิงสีหน้าเขียวคล้ำลงในความเงียบนี้พร้อมกับความตกใจในดวงตา ทว่าเขาไม่ได้มีท่าทีตื่นตูมเหมือนคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตามบิดามารดาของเขาก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงรู้สึกโกรธมากที่มู่เฉินดูถูก เขาเค้นเสียงโต้ “ช่างยิ่งใหญ่จริง! เจ้าทำร้ายผู้คุ้มกันข้าซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตำหนักปลายเหนือ เจ้าคิดท้าทายตำหนักปลายเหนือเรอะ?”
มู่เฉินยิ้มอ่อน “ตำหนักปลายเหนือ? ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน”
ราชันไป่หลิงเยาะเย้ย “บิดาข้าเป็นประมุขตำหนักปลายเหนือและเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน!”
ขณะที่เขาพูดในประโยคก็มีร่องรอยความภาคภูมิใจ แม้ว่าเขาจะไม่รู้เกี่ยวกับภูมิหลังของมู่เฉิน แต่เขาก็เดาได้ว่าไอ้บ้าคนนี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น
แม้ว่าราชันไป่หลิงจะเป็นเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นซึ่งมีช่องว่างขนาดใหญ่ห่างจากยอดยุทธ์ของมหาพันภพ แต่เขาก็รู้ว่าระดับเทียนจื้อจุนถูกแยกขั้นจากพลังของบิดามารดา เบื้องหน้าระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียน พวกขั้นหลิงก็ไม่นับว่าเป็นตัวอะไร
ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะรู้ว่ามู่เฉินเป็นเทียนจื้อจุน แต่ก็ไม่ได้กลัว
“จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนทรงพลังจริง” มู่เฉินพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “แต่แกก็ยังคงเป็นขยะบูดอยู่ดี”
ทันใดนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของราชันไป่หลิงก็แข็งค้าง พนักเก้าอี้ก็ถูกบีบจนแตก เขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะผยอง แม้จะรู้ว่าบิดาของเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน อีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีลดราวาศอก
ผู้อาวุโสในชุดดำอีกคนก็ก้าวออกมาอยู่ข้างราชันไป่หลิงพลางประสานมือให้ “ท่านจอมยุทธ์ เจ้าทำให้ผู้อาวุโสของตำหนักปลายเหนือหมดสภาพก็น่าจะได้ว่าระบายความโกรธแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องไม่พอใจกับตำหนักปลายเหนือด้วย?”
“ถ้าเจ้ายอมถอยสักก้าว ตำหนักปลายเหนือจะไม่ติดตามเอาผิดเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ในฐานะผู้อาวุโสตำหนักปลายเหนือ เขารู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แม้ว่าราชันไป่หลิงจะมีการสนับสนุนที่ทรงพลัง แต่พวกเขาก็คงตายที่นี่หากไปยั่วยุอีกฝ่าย
ดังนั้นแม้ว่าบิดาของราชันไป่หลิงจะมาแก้แค้นให้ พวกเขาก็ลงไปปรโลกแล้วในตอนนั้น
“หึ ผู้อาวุโสหลู่ไม่จำเป็นต้องกลัวมัน! ข้าจะดูว่ามันกล้าทำยังไงกับข้าในวันนี้ แม้ว่ามันจะฆ่าข้า แต่ท่านพ่อก็จะทำให้มันตายตกตามกันไป การที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสังเวยชีวิตตามข้าไปยมโลก ก็ไม่เสียชาติเกิดแล้ว!”
เมื่อเห็นผู้อาวุโสหลู่พยายามทำให้สิ่งต่างๆ สงบลง ราชันไป่หลิงก็เยาะเย้ยขณะจ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้ายพลางท้าทายด้วยสายตา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าต่อต้านเขาเพราะมีบิดามารดาให้ท้าย ทว่าเขากลับถูกกล่าวว่าเป็นขยะในวันนี้ ซึ่งทำให้เขาโกรธมาก ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่กลัวที่มู่เฉินจะฆ่าเขา
“ดูเหมือนแกจะไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าแกจริงๆ” มู่เฉินโยนถ้วยเล่นพลางยิ้มไม่แยแส
น้ำเสียงบรรจุเจตนาฆ่าหนาวเหน็บซึ่งทำให้ทั้งวังตกลงไปในจุดเยือกแข็ง ทุกคนตัวสั่นจากความหนาวเย็นขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยความกลัว ‘ชายคนนี้คงไม่ฆ่าราชันไป่หลิงจริงๆ ใช่ไหม?’
หากราชันไป่หลิงจบชีวิตที่นี่จริงๆ ตำหนักปลายเหนือและสำนักร้อยบุปผาอาจเอาเลือดล้างทั้งทวีปไป่หลิงก็ได้!
“ไอ้หนู”
มู่เฟิงอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้น เขาไม่กลัวราชันไป่หลิง แต่เขากังวลว่ามู่เฉินอาจจะฆ่าอีกฝ่าย หากเป็นเช่นนั้นบิดามารดาของราชันไป่หลิงคงตามแก้แค้นมู่เฉินแน่
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสองคนก็น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร
ดังนั้นเขาจึงยอมถอยไม่อยากให้มู่เฉินไปเสี่ยง
จอมยุทธ์ชั้นสูงของพันธมิตรเป่ยหลิงก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน เมื่อดำเนินมาถึงขั้นนี้พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งในเรื่องนี้ได้ แต่พวกเขารู้ดีว่าหากราชันไป่หลิงจบชีวิตที่นี่ มณฑลเป่ยหลิงอาจต้องจมลงในความโกรธของผู้ปกครองของราชันลูกแง่คนนี้
แม้ว่ามู่เฉินจะทรงพลัง แต่ก็คงไม่สามารถจัดการกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนถึงสองคนหรอกมั้ง? นอกจากนี้หนึ่งในนั้นยังเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนในตำนานอีกด้วย
“มู่เฉิน” ถังเชียนเอ๋อดึงแขนเสื้อมู่เฉิน แม้ว่าราชันไป่หลิงจะน่ารังเกียจแต่ก็มีภูมิหลังที่ทรงพลัง ดังนั้นจึงไม่ดีที่จะฉีกหน้ากันอย่างเต็มที่
เมื่อมู่เฉินเห็นก็หันไปยิ้มให้พวกเขา “เชื่อข้า ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของมู่เฉิน มู่เฟิงก็ไม่พูดอีกต่อไป เขาเข้าใจลูกชายดี มู่เฉินไม่ใช่คนบุ่มบ่ามและต้องมั่นใจในการทำเช่นนี้
แม้แต่ถังเชียนเอ๋อก็ยังผงกหัวหลังจากลังเลชั่วครู่
ราชันไป่หลิงสังเกตเห็นมู่เฉินปลอบใจมู่เฟิงและถังเชียนเอ๋อ ความลังเลของมู่เฟิงและถังเฉียนเอ๋อทำให้เขาเข้าใจว่าการคุกคามของตนมีประโยชน์ รอยยิ้มของเขากลายเป็นหยิ่งผยองทันที
‘ต่อให้แกเป็นจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนแล้วยังไง? ต่อหน้าพ่อแม่ข้า แกก็ต้องก้มหน้าให้!’
“ดูเหมือนแกจะเชื่อมั่นพ่อแม่มากนะ”
เสียงมู่เฉินดังก้องขณะที่ยิ้มอ่อน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเรียกพ่อแม่มาที่นี่… ข้าอยากเห็นว่าใครสามารถช่วยเจ้าได้ในวันนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่น ม่านตาของราชันไป่หลิงก็เย็นเยือกลงขณะมองไปที่มู่เฉิน
“ท่านจอมยุทธ์!” ผู้อาวุโสหลู่ร้องลั่น
ทว่ามู่เฉินไม่ได้สนใจคำเรียกนั่น เขาหันมาหา “ข้าให้เวลาเจ้าครึ่งวัน ไปหาคนที่ช่วยมันได้มาให้หมด”
ทันใดนั้นเสียงของเขาก็หยุดลงก่อนที่จะเหยียดนิ้วชี้ไปยังราชันไป่หลิง
ปัง!
แขนของราชันไป่หลิงถูกเฉือนออกพร้อมกับเลือดสดสาดกระเซ็น มู่เฉินไม่สนใจเสียงกรีดร้องของราชันไป่หลิงพลางโบกมือส่งแขนข้างนั้นไปให้ผู้อาวุโสหลู่
“เอาติดตัวไปด้วย ไม่งั้นพวกเขาจะคิดว่าข้าล้อเล่น”
มองไปที่ราชันไป่หลิงที่กุมไหล่ไร้แขนขณะส่งเสียงกรีดร้อง ทุกคนก็รู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด พวกเขาไม่คิดว่ามู่เฉินจะเหี้ยมขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเขาอยากจะฉีกหน้าบิดามารดาของราชันไป่หลิงจริงๆ
ผู้อาวุโสหลู่ตกใจขณะรับแขนนั้นไว้
“ผู้อาวุโสหลู่รีบไป! ไป! ตามท่านพ่อท่านแม่มา ข้าต้องการให้ไอ้สวะนี่ทรมาน! ข้าจะฆ่ามันทั้งโคตรให้ได้!” ราชันไป่หลิงจับบาดแผลไว้แล้วคำรามด้วยสายตาดุร้าย
มู่เฉินขมวดคิ้วชี้นิ้วออกไป แขนอีกข้างหนึ่งของราชันไป่หลิงก็ระเบิดออก
“งั้นเอาไปสองข้างเลย” มู่เฉินโยนแขนอีกข้างให้ผู้อาวุโสหลู่พร้อมกับกระตุกยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั่นทำให้อีกฝ่ายขนลุกชันไปหมด
ผู้อาวุโสในชุดดำจับแขนสองข้างกัดฟันพูดกับมู่เฉินว่า “เจ้ามีปัญหาแน่! แล้วเจ้าจะเสียใจ!”
ขณะพูดจบก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ ร่างกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย
เมื่อผู้อาวุโสหลู่จากไปบรรยากาศในโถงก็เริ่มอึดอัด แม้ว่าราชันไป่หลิงจะถูกตัดไปสองแขน แต่เขาก็ยังคงมองไปที่มู่เฉินอย่างอาฆาตมาดร้าย ชัดว่ากำลังรอการมาถึงของบิดามารดา
ในเวลานั้นเขาจะฉีกแขนขาทั้งครอบครัวของมู่เฉินต่อหน้าและปล่อยให้พวกมันทรมานจนตาย
แม้บรรยากาศในโถงจะอึดอัด มู่เฉินก็ไม่ใส่ใจ เขาหันไปหามู่เฟิงยิ้มเผล่ “ท่านพ่อข้าพาบางคนมาหาแน่ะ”
ตอนนี้มู่เฟิงคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อบิดามารดาของราชันไป่หลิงมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบกลับอย่างไม่พอใจ “จะพาใครมาข้าก็ไม่สนใจ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั่นท่าทางของมู่เฉินก็แปลกไปราวกับว่ากำลังเยาะเย้ย
ขณะที่มู่เฟิงกำลังสงสัยเกี่ยวกับท่าทางของมู่เฉิน เสียงพลิ้วหวานก็ดังก้องก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “โอ้? ไม่สนใจแม้กระทั่งข้าเหรอ?”
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ทุกคนก็หันไปมองทางประตู มองเห็นร่างเงาย่างกรายตรงไปยังมู่เฟิง
เพล้ง
เมื่อมองไปที่ภาพเงานั้น ดวงตาของมู่เฟิงก็เบิกกว้าง ถ้วยชาในมือหลุดตกลงไปบนพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ