หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1450 ชนวนเหตุ
ทวีปเทียนหลัว ภูมิภาคทางเหนือ กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่
ที่กองบัญชาการใหญ่มีแท่นสูงด้านหลังอาคารซึ่งมีการจัดวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ ทว่าค่ายกลนี้ช่างมืดสลัวเนื่องจากเป็นสิ่งที่ยังสร้างไม่สมบูรณ์
แต่วันนี้ค่ายกลกำจายรัศมีออกมาพร้อมกับความผันผวนของมิติที่รุนแรง ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน
ร่างเงาหนึ่งย่างกรายออกมา
“ดูเหมือนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายจะเชื่อมโยงสำเร็จแล้ว” ชายคนนั้นมองไปที่ค่ายกลเบื้องล่างที่เปล่งรัศมีแสงหลิง นั่นเป็นสัญญาณของการเปิดใช้งาน
เขาก็คือมู่เฉินที่เพิ่งกลับมาโดยใช้เวลาห้าวันเต็มในเส้นทางมิติกว่าที่จะมาถึง
ทว่ามู่เฉินก็พอใจกับความเร็วนี้ มิฉะนั้นถ้าเดินทางผ่านทีละทวีปเขาต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียว
ฟิ้ว!
เมื่อเขาปรากฏขึ้น ก็มีเงาร่างกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามา นี่คือเหล่าองครักษ์ในชุดเกราะ
“ใครบังอาจบุกกองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่?!”
เหล่าองครักษ์ตะโกนพร้อมกับระเบิดพลังจับจ้องไปที่มู่เฉิน
“ตื่นตัวใช้ได้” มู่เฉินยิ้ม เขาพอใจกับองครักษ์เหล่านี้ เมื่อเขาเดินออกมาก็แสดงให้เห็นรูปลักษณ์ที่ชัดเจน
“ท่านประมุข!”
“ผู้ใต้บังคับบัญชาคารวะท่านประมุข!”
พวกเขาตกใจเมื่อเห็นมู่เฉินก่อนที่ทุกคนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่งทำความเคารพ
“ลุกขึ้นเถอะ” มู่เฉินยิ้มเรียบง่ายพลางโบกมือยกร่างพวกเขาขึ้น
วาบ!
ในเวลานั้นก็มีร่างแสงสองสายพลิ้วลงมาจากท้องฟ้า นี่ก็คือมั่นถัวหลัวและเฉวียนเทียน
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว” มั่นถัวหลัวรู้สึกโล่งใจทันทีที่ได้เห็นหน้ามู่เฉิน
มู่เฉินยิ้มก่อนที่จะประสานมือให้เฉวียนเทียน “ขอบคุณผู้อาวุโสเฉวียนเทียนที่คุ้มครองตำหนักมู่ในช่วงนี้”
เฉวียนเทียนยิ้มชมชอบทันที “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ข้าเป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักมู่ ดังนั้นจึงเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องปกป้องสำนักโดยธรรมชาติ”
มู่เฉินยิ้มด้วยความประหลาดใจ เฉวียนเทียนถูกบังคับให้อยู่ในตำแหน่งนี้ ตอนนั้นเขาไม่เต็มใจนัก ว่าแต่ทำไมตอนนี้ทัศนคติของเขาถึงเปลี่ยนไป?
เมื่อเห็นความสงสัยของมู่เฉิน เฉวียนเทียนก็ยิ้มเซื่อง “การกระทำที่น่าเกรงขามของท่านประมุขในเผ่าฝูถูเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพแล้ว”
ตอนที่เฉวียนเทียนได้ฟังข่าวนั้น เขาก็ตกใจกลัวมาก แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามู่เฉินไม่ได้อ่อนแอ แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าชายหนุ่มจะสามารถพลิกเผ่าฝูถูได้จริงๆ และอาศัยพลังที่มีในการปราบปรามตระกูลเฉวียนและมั่วได้อยู่หมัด
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เฉวียนเทียนกลัวมากสุดก็คือตอนนี้มารดาของมู่เฉินดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู…
ด้วยภูมิหลังดังกล่าว มีขั้วอำนาจไม่มากสักเท่าใดในมหาพันภพที่กล้าดูถูกมู่เฉินและตำหนักมู่ ดังนั้นเฉวียนเทียนจึงตระหนักได้ว่าในอนาคตตำหนักมู่ไม่ธรรมดาแน่
สายตาของมู่เฉินวูบไหว เขารู้ความคิดของเฉวียนเทียนได้ ทว่าเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ หากเขาทำให้เฉวียนเทียนเป็นผู้อาวุโสของตำหนักมู่ด้วยความเต็มใจ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตำหนักมู่มาก
ดังนั้นสายตาที่มองเฉวียนเทียนจึงอบอุ่นขึ้นมาก จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับมั่นถัวหลัว “ตำหนักมู่ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
ตำหนักมู่ครอบครองพื้นที่จักรวรรดิเหนือทั้งหมด ซ้ำยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปทั่วทวีปเทียนหลัว พวกเขามีความขัดแย้งกับจอมยุทธ์หลายฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะมีปัญหาเกิดขึ้น
“ตอนแรกก็วุ่นวายอยู่ แต่หลังจากข่าวความสำเร็จของเจ้าในเผ่าฝูถูกระจายออกไป ทวีปเทียนหลัวก็เงียบเสียงลงไปเลย แม้แต่ขั้วอำนาจชั้นยอดที่อยู่เบื้องหลังก็ยังส่งสัญญาณถอย…” มั่นถัวหลัวถอนหายใจ นางคาดไว้ว่าตำหนักมู่อาจจะเผชิญกับสงครามดุเดือด แต่ไม่คิดว่าความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าฝูถูจะปราบปรามทุกสิ่งได้
มู่เฉินถอนหายใจเช่นกัน เนื่องจากเขารู้ว่าคนเหล่านั้นไม่ได้กลัวเขา แต่กลัวมารดาของเขา
เขาประเมินการข่มขู่ของหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งต่ำไปหน่อย
แต่นั่นเป็นข่าวดี หากขั้วอำนาจเหล่านั้นแสดงสัญญาณว่าจะถอยออกไป ตำหนักมู่จะกลายเป็นเจ้าเหนือหัวของทวีปเทียนหลัวโดยไม่มีปัญหาในอนาคต การใช้ประโยชน์จากมหาทวีปนี้ ตำหนักมู่จะเข้าเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจชั้นนำมหาพันภพ
แต่แน่นอนว่า…มู่เฉินจะต้องบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเสียก่อน มิฉะนั้นก็ไม่มีความหวังสำหรับมู่เฉินที่จะได้เห็นสิ่งนี้
“จิ่วโยวเจอปัญหาอะไร?”
มู่เฉินสงบใจลงก็ถามด้วยสายตาเย็นชา
“ให้ผู้อาวุโสเทียนเช่อเล่าให้ฟังเถอะ ข้าแจ้งให้เขามาแล้ว” มั่นถัวหลัวตอบ
เมื่อมั่นถัวหลัวพูดจบ ร่างแสงก็ทะยานเข้ามาหยุดที่เบื้องหน้ามู่เฉิน นี่คือผู้อาวุโสเทียนเช่อที่เคยมารับจิ่วโยวในตอนนั้น
“เทียนเช่อจากเผ่าวิหคโลกันตร์ คารวะประมุขมู่”
เทียนเช่อเต็มไปด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจขณะมองชายหนุ่มตรงหน้ามั่นถัวหลัว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ ครั้งก่อนที่เขามาที่นี่ยังเป็นอาณาจักรกงเวทสวรรค์ ซึ่งเป็นเพียงหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของภูมิภาคทางเหนือเท่านั้น
ตอนนั้นเขามีทัศนคติค้ำคอมองอาณาเขตกงเวทสวรรค์อย่างดูถูก เพราะถึงยังไงเผ่าวิหคโลกันตร์ก็เป็นหนึ่งในเทพอสูรที่มีรากฐานหยั่งลึกมากจนอาณาเขตกงเวทสวรรค์เทียบไม่ได้
ในเวลานั้นเขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในไม่กี่ปีอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะเปลี่ยนเป็นตำหนักมู่เข้าปกครองในภูมิภาคทางเหนือ มากจนแม้แต่ขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ ในทวีปเทียนหลัวยังไม่กล้าที่จะแข่งขันด้วย ยิ่งไปกว่านั้นมู่เฉินที่อยู่ในขุมพลังจื้อจุนก็ได้ก้าวเข้าระดับเทียนจื้อจุน แม้แต่เผ่าโบราณก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้…
ครั้งก่อนที่เขาเจอมู่เฉินก็มองอีกฝ่ายเป็นคนรุ่นหลังเท่านั้น ทว่าตอนนี้ต้องทักทายด้วยความเคารพแล้ว…
“ผู้อาวุโสเทียนเช่อไม่ต้องมากมารยาท” มู่เฉินฉายความอบอุ่นบนใบหน้าโดยปราศจากความเย่อหยิ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนพลางประสานมือให้เช่นกัน
เมื่อเห็นมู่เฉินยังคงอบอุ่นเหมือนในอดีต เทียนเช่อก็รู้สึกโล่งใจ เขารู้ดีว่าพวกอัจฉริยะอย่างมู่เฉินมักจะหยิ่งผยองและเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ทำให้เรื่องยุ่งยากกับชายหนุ่มไว้ไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่ามู่เฉินไม่ได้เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ในใจ
“สายตาของจิ่วโยวดีกว่าตาแก่อย่างพวกข้าจริงๆ” เทียนเช่อยิ้มอย่างขมขื่น ถ้าพวกเขารู้ว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ จะไปคัดค้านพันธะโลหิตของทั้งคู่อีกซะที่ไหน
“ท่านเทียนเช่อพูดเรื่องจิ่วโยวกันเถอะ” มู่เฉินยิ้ม
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ท่าทางขมขื่นก็ปรากฏบนใบหน้าของเทียนเช่อ “ได้โปรดช่วยจิ่วโยวและเผ่าวิหคโลกันตร์ด้วย!”
ความอบอุ่นบนใบหน้าของมู่เฉินหดกลับ สายตาก็เย็นชาตาม “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับนางเด็ดขาด”
“เรื่องเป็นแบบนี้ ตอนที่จิ่วโยวกลับไปที่เผ่าครั้งล่าสุด นางเอาแต่รบเร้าท่านประมุขเพื่อค้นหาโอกาสในการวิวัฒนาการ นางบอกว่าตอนนี้นางอ่อนแอเกินไป จึงต้องการวิวัฒนาการเพื่อปลุกสายเลือดวิหคอมตะและเข้าสู่การเป็นมหาเทพอสูร” เทียนเช่อยิ้มอย่างขมขื่น
มู่เฉินหรี่ตาลงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขารู้ว่าสาเหตุที่จิ่วโยวทำเช่นนี้ก็เพราะเห็นเขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วโดยที่นางถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้อีก ดังนั้นนางจึงกลับไปที่เผ่าวิหคโลกันตร์เพื่อค้นหาหนทางวิวัฒนาการ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มู่เฉินก็รู้สึกซับซ้อน จิ่วโยวทำทุกอย่างเพื่อเขาจริงๆ
“ส่วนท่านประมุขก็ถูกรบเร้าจนไม่มีทางเลือก จึงพานางเธอไปที่เผ่าหงส์ฟ้า ที่นั่นมีสถานที่หนึ่งชื่อว่าสระยกเทพที่บรรพบุรุษของสัตว์อสูรกลางเวหาทุกตัวละสังขารไว้โดยรวมเอาแก่นโลหิตไว้ภายใน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ ก่อนหน้านั้นหนึ่งในบรรพบุรุษของเผ่าวิหคโลกันตร์ก็ได้ละสังขารไว้ ดังนั้นเผ่าของเราก็มีที่นั่งอยู่ด้วยเช่นกัน หลังจากการถกกันเราก็ตัดสินใจที่จะให้จิ่วโยว”
ยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ใบหน้าของเทียนเช่อก็ขมขื่นมากขึ้น “นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญหา ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าบุตรชายประมุขตระกูลหวงจะฝึกฝนวิชาเก้าเทพหมุนวน ซึ่งนี่เป็นวิทยายุทธขั้นสุดยอดที่ผู้ฝึกต้องกลืนกินสายเลือดของมหาเทพอสูรในแต่ละช่วงนิพพาน ปัจจุบันเขาอยู่นิพพานที่แปด ดังนั้นจึงหมายตาสายเลือดวิหคอมตะของจิ่วโยว”
“วิชาเก้าเทพหมุนวน?” มู่เฉินหดดวงตา นี่คือวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนาน ไม่คิดว่าบุตรชายของจักรพรรดิตระกูลหวงจะสามารถฝึกฝนได้
“ต้องรู้ว่าจิ่วโยวคือความหวังของเผ่าวิหคโลกันตร์ ถ้าหวงเฉวียนจือกลืนกินสายเลือดวิหคอมตะไป นางจะไม่สามารถมีพัฒนาการใดได้อีกในอนาคต นั่นหมายความว่าทุกอย่างในอนาคตของนางจะพังพินาศ!” เทียนเช่อกัดฟัน
“ประมุขหวงบอกว่าถ้าเราไม่เต็มใจ หวงเฉวียนจือก็จะเคลื่อนไหวเองในสระยกเทพ ถึงเวลานั้นชีวิตของจิ่วโยวก็อาจตกอยู่ในอันตรายด้วย!”
“แม้ว่าตามกฎเราจะสามารถหาองครักษ์เข้าไปในสระยกเทพได้หนึ่งคน แต่เผ่าวิหคโลกันตร์มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะกลางเพียงคนเดียว เราไม่สามารถปกป้องจิ่วโยวได้
“ช่วงนี้ทางเผ่าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเชิญจอมยุทธ์ทรงอำนาจที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันในอดีต แต่พวกเขาล้วนปฏิเสธเพราะกลัวเผ่าหงส์ฟ้า!”
“เราไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ จึง…จึงได้แต่มาขอความช่วยเหลือจากประมุขมู่ โปรดช่วยจิ่วโยวด้วยเถอะ”
พูดถึงตอนท้าย ใบหน้าของเทียนเช่อก็เต็มไปด้วยน้ำตาขณะที่คิดจะคุกเข่า
ทว่าพลังยิ่งใหญ่ทำให้เขาหยุดการกระทำลง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉินก็รู้สึกกังวลในใจ เพราะไม่รู้ว่ามู่เฉินจะเห็นด้วยหรือไม่ แม้ว่าเขาและจิ่วโยวจะมีพันธะโลหิตต่อกัน แต่สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าหงส์ฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจสูงสุดของมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาไม่กล้ารุกราน
ภายใต้การจ้องมองของเขา สีหน้าเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์
“จะเคลื่อนไหวเองเชียวเหรอ?”
มู่เฉินหันไปมองเทียนเช่อ น้ำเสียงที่เย็นชาของเขาทำให้อีกฝ่ายสั่นสะท้านจากแรงอารมณ์ ดวงตาแดงก่ำ
“ผู้อาวุโสเทียนเช่อ พาข้าไปเถอะ ข้าอยากเห็นว่าหวงเฉวียนจือมีความสามารถอะไรที่จะมารับสายเลือดจิ่วโยวไป…”