หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1457 ซุ่มโจมตี
ร่างแสงห้าสายพุ่งผ่านน้ำสีเขียวมรกต
ผ่าเวิ้งน้ำออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งใช้เวลานานก่อนที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
พวกเขาก็คือพวกมู่เฉินนั่นเอง
“ด้วยความเร็วนี้ เราจะไปถึงที่หมายในเวลาประมาณครึ่งก้านธูป”
เมื่อได้ยินคำพูดของข่งหลิงเอ๋อ มู่เฉินก็พยักหน้า “พวกเจ้ามีแผนจะทำอะไรหลังจากถึงที่หมาย? จะเข้าไปจับแก่นโลหิตเลยหรือไม่?”
ข่งหลิงเอ๋อส่ายหัวด้วยสีหน้าหวาดเกรงตอบว่า “แม้ว่าเราจะใช้วิธีการบางอย่างเพื่อขัดขวางหวงเฉวียนจือ แต่ข้ากลัวว่าเขาจะตามมาทัน หากเราไม่กำจัดภัยคุกคามนี้ก่อนก็ไม่สามารถจับแก่นโลหิตได้อย่างสบายใจ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าตัดสินใจที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือก่อนเรอะ?” มู่เฉินยิ้ม
“จัดการ?” หลินชางหัวเราะขณะที่พูดต่อ “อย่ามองว่าเรามีข้อได้เปรียบเรื่องจำนวน แต่เท่านี้ไม่เพียงพอที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือหรอก”
“ดูเหมือนว่าเขาสร้างเงาไว้ในพวกเจ้ามากเลยนะ” มู่เฉินยิ้ม
“หึ เจ้าคิดว่าชื่อของเขาในฐานะยอดอัจฉริยะกลางเวหาเป็นเรื่องโม้ขึ้นเรอะ?” เซียวเทียนเค้นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา
“พอแล้ว อย่าทะเลาะกัน” ข่งหลิงเอ๋อเป็นผู้หย่าศึกก่อนที่นางจะหันไปหามู่เฉิน “พวกข้าไม่คิดที่จะจัดการกับหวงเฉวียนจือ พวกข้าเพียงแค่ต้องการดักเขาเพื่อที่จะสามารถไปจับแก่นโลหิตได้ หลังจากที่แบ่งกันเสร็จเรียบร้อย ต่างคนก็จะออกจากสระยกเทพอย่างรวดเร็ว เมื่อออกจากสระยกเทพ ต่อให้หวงเฉวียนจือจะไม่พอใจก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้”
มู่เฉินพยักเพยิดถามว่า “พวกเจ้าคิดจะจับเขายังไง? แล้วต้องการให้ข้าทำอะไร?”
ข่งหลิงเอ๋อกำมือพร้อมกับคลี่ยิ้ม เข็มทิศสีทองก็ปรากฏขึ้น มันถูกสลักด้วยลวดลายซับซ้อนเอิบอาบความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง
“เข็มทิศค่ายกล?”
มู่เฉินหรี่ตาลง เขาจำแนกได้ทันทีว่ามีค่ายกลทรงพลังสลักอยู่ในนั้น
“เข็มทิศค่ายกลนี้บรรจุด้วยค่ายกลมิติที่อยู่ในระดับต้าจงซือขั้นเซียน แม้ว่าความสามารถในการโจมตีจะไม่สูง แต่ก็เหมาะที่จะดักจับศัตรู หากมีใครติดอยู่ในนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ต้องติดแหง็กในนั้นหลายวัน” ข่งหลิงเอ๋อยิ้ม
เห็นได้ชัดว่าทั้งสามเตรียมการมาพร้อม
มู่เฉินพยักหน้าพลางพูดอย่างใจเย็น “แม้ว่าค่ายกลจะสะดวกสบาย แต่ก็มีข้อจำกัดมากมายและสามารถสร้างได้ในสถานที่เดียวเท่านั้น ช่วงเวลาที่ก่อตัวขึ้นก็จะปล่อยความผันผวนออกมา หวงเฉวียนจือไม่ใช่คนโง่ เขาไม่ก้าวไปในกับดักแบบสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก”
ตัวเขาก็เป็นหลิงเจิ้นซือ ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับเข็มทิศค่ายกลโดยธรรมชาติ
“พี่มู่พูดถูก” ข่งหลิงเอ๋อพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ “เหตุผลที่พวกข้าชวนเจ้าก็คือพวกเราจะซ่อนตัวและหาโอกาสที่จะซุ่มโจมตีเขา ข้าหวังว่าพี่มู่จะช่วยล่อหวงเฉวียนจือเข้าไปในค่ายกลได้”
หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็พยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่กลัวหวงเฉวียนจือ แต่ก็ไม่จำเป็นที่ต้องสู้อย่างเด็ดขาดที่นี่ เพราะยังไงเขาก็ไม่ไว้วางใจกลุ่มของข่งหลิงเอ๋อ
เมื่อเห็นว่ามู่เฉินเห็นด้วย ข่งหลิงเอ๋อก็ยิ้มและเดินทางต่อ
ตามเวลาที่บอกทั้งห้าก็ค่อยๆ ชะลอความเร็วลง ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนของสายเลือดทรงพลังและน่ากลัวที่เบื้องหน้า
ช่างทรงพลังมากกว่าที่เขาเคยพบมาก่อน ต่อให้มีระยะห่างมากขนาดนี้ก็ทำให้รู้สึกใจสั่นเลยทีเดียว
ขณะที่ทั้งห้าคนค่อยๆ เข้าใกล้ ในที่สุดพวกเขาก็มาหยุดและเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่จากที่ไกล
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนหงส์ฟ้าสีแดงผสมนกยูง แม้ว่าปีกจะพับเข้าหาตัว แต่ก็มีขนาดหลายพันจั้ง รัศมีสายเลือดขนาดใหญ่ก็ปรี่ล้นออกมา
“มันกำลังสะสมรัศมีสายเลือดเพื่อพยายามบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” มู่เฉินมองดูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เจ้าตัวใหญ่นี่น่าจะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดแล้วและมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อ
โชคดีที่แก่นโลหิตชั้นยอดไม่มีสติปัญญา แม้ว่าพวกมันจะมีรัศมีสายเลือดไร้ขอบเขต แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
“เรารีบจัดเตรียมค่ายกลกันเถอะ”
ข่งหลิงเอ๋อนึกได้ก่อนที่จะโยนเข็มทิศ ริ้วสีทองปลิวว่อน รัศมีสีทองพุ่งออกมาจากมวลน้ำ
ริ้วแสงนับไม่ถ้วนถักทอกันกลายเป็นค่ายกลขนาดใหญ่ในเวลาไม่กี่สิบลมหายใจ
นอกจากนี้การสร้างค่ายกลยังทำให้เกิดความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมแปรปรวน
“วุ่นวายมากเกินไปแล้ว” หลินชางและเซียวเทียนขมวดคิ้วอดพูดขึ้นมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าความวุ่นวายที่เกิดจากค่ายกลนี้เกินความคาดหมายของพวกเขา
ข่งหลิงเอ๋อก็ขมวดคิ้ว เนื่องจากนางไม่ใช่หลิงเจิ้นซือ ดังนั้นจึงไม่รู้มาก่อนว่าความวุ่นวายจะมากขนาดนี้ หากเป็นเช่นนั้นหวงเฉวียนจือก็จะรู้สึกและระวังตัวล่วงหน้าได้
“ไม่เป็นไร สร้างค่ายกลปกปิดไว้รอบๆ เพิ่มก็พอ” ทันใดนั้นมู่เฉินก็หัวเราะพลางโบกมือ สัญลักษณ์หลิงยิ่งนับไม่ถ้วนก็บินฉวัดเฉวียนออกไป ก่อตัวเป็นค่ายกลด้านนอกค่ายกลมิตินี้
เมื่อค่ายกลสร้างเรียบร้อย ความปั่นป่วนที่เกิดจากค่ายกลมิติก็สงบลงก่อนที่จะค่อยๆ รวมเข้ากับทะเลสาบและซ่อนตัวจากประสาทสัมผัสของทุกคน
“พี่มู่ประสบความสำเร็จสูงเกี่ยวกับค่ายกลด้วยเหรอ” ข่งหลิงเอ๋ออุทานด้วยความดีใจ
หลินชางและเซียวเทียนก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ ชายคนนี้มีความสามารถสมกับชื่อเสียงในมหาพันภพจริงๆ
“ก็แค่ค่ายกลขนาดเล็ก”
มู่เฉินยิ้มสบายๆ ก่อนที่จะส่ายหัว “เราก็เตรียมตัวกันเถอะ”
ข่งหลิงเอ๋อและอีกสองคนพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ รวมตัวเข้าไปในน้ำ แม้แต่คลื่นหลิงก็หายไปด้วย
“จิ่วโยวไปจากตรงนี้ก่อน”
เมื่อคลื่นหลิงของพวกเขาหลอมรวมเข้าไปแล้ว มู่เฉินก็หันไปหาจิ่วโยวพลางเอ่ยด้วยเสียงต่ำ
จิ่วโยวไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกปิดคลื่นหลิงได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นนางจึงต้องถอยห่างออกไป ไม่งั้นหวงเฉวียนจือพบตัวนางแน่
จิ่วโยวผงกหัวเอ่ยเตือน “ระวังตัวนะ”
คำพูดของนางไม่เพียงแต่เตือนมู่เฉินให้ระวังหวงเฉวียนจือแต่รวมถึงพวกข่งหลิงเอ๋อด้วย
มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตั้งแต่ต้น ดังนั้นเขาไม่นับพวกข่งหลิงเอ๋อเป็นมิตรแท้ที่ไว้ใจได้อยู่แล้ว
“เอาป้ายหยกติดตัวไปด้วย ถ้ามีอะไรข้าจะได้รู้” มู่เฉินส่งป้ายหยกให้จิ่วโยวเงียบๆ แม้จะมีความเป็นไปได้น้อยที่พวกข่งหลิงเอ๋อจะสมรู้ร่วมคิดกับหวงเฉวียนจือ เพราะหวงเฉวียนจือไม่น่าทำอะไรบางอย่างที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมด้วยนิสัยหยิ่งผยอง แต่เขาก็ต้องเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากสถานการณ์ดำเนินไปในทิศทางนั้น เขาก็จะสามารถสังหารทุกคนที่นี่ได้ในทันที
จิ่วโยวรับป้ายไปก็ไม่พูดมากและออกไปจากที่นี่ทันที
หลังจากมองร่างนางหายไป มู่เฉินก็ผสานตัวเข้ากับทะเลสาบอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าพื้นที่แห่งนี้ก็สงบลงโดยมีเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ซึมซาบรัศมีสายเลือดที่น่ากลัว
ทว่าความเงียบก็คงอยู่ไม่นาน
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมาความปั่นป่วนก็ดังก้อง ริ้วสีทองฉีกผ่านน้ำหนาแน่นด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ในเวลาไม่กี่ลมหายใจแสงสีทองก็เดินทางหลายหมื่นลี้มาปรากฏในพื้นที่แห่งนี้ ภาพปีกหงส์ฟ้าคู่หนึ่งแผ่ออกที่เบื้องหลัง ภาพเงานั้นยืนเอามือไพล่หลังพร้อมกับแสงสีทองที่กำจายกลิ่นอายสูงส่ง
นี่ก็คือหวงเฉวียนจือ!
เมื่อมาถึงสายตาเขาก็จดจ่ออยู่ที่สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ทันที ก่อนที่พุ่งตัวลงมือ
ตู้ม!
แต่ตอนที่เขากำลังจะลงมือ ทันใดนั้นน้ำรอบๆ ก็ระเบิดพร้อมกับเสียงร้องแหลมดังก้องออกมา
แสงหลิงไร้ขอบเขตสร้างหายนะ ก่อตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมพุ่งเข้าหาหวงเฉวียนจือ
การโจมตีรวมกันช่างดุร้าย อาจทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้รับบาดเจ็บหนักได้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่หวงเฉวียนจือก็ไม่ตื่นตระหนก ตรงกันข้ามเขากลับหัวเราะ เสื้อคลุมสั่นกระพือก่อนที่เขาจะกระแทกฝ่ามือออก
ตึง!
มิติแตกสลายภายใต้ฝ่ามือเขา รอยแตกกระจายออกด้วยพลังทำลายล้างฉีกการโจมตีทั้งสามเป็นชิ้นๆ
มวลน้ำกวนตัว ภาพเงาทั้งสามก็สั่นไหวและปรากฏตัวขึ้น นี่ก็คือข่งหลิงเอ๋อ หลินชางและเซียวเทียนที่มีสีหน้าซีดขาว ความตกตะลึงผุดขึ้นในดวงตา พวกเขาไม่คิดว่าหวงเฉวียนจือจะแก้ไขการโจมตีผสานของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อมองไปที่พวกเขาทั้งสามคน หวงเฉวียนจือก็คล้ายกับจักรพรรดิเปล่งเสียงหัวเราะดังก้อง
“ข่งหลิงเอ๋อ หลินชาง เซียวเทียน พวกเจ้าดื้อดึงจริงๆ!”