หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1495 โลกสีม่วงทอง
ขณะที่มู่เฉินหลับตาประสาทสัมผัสก็แพร่กระจายออกไป
เขารับรู้ถึงแก่นอมตะในฟ้าดินที่เกิดจากการทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตนเอง
แก่นอมตะนี้ถูกสร้างโดยเขา ดังนั้นต่อให้ตอนนี้เขาไม่สามารถควบคุมได้ เขาก็ยังสามารถรู้สึกได้ถึงการมีอยู่และตำแหน่งของมัน
พวกมันราวกับประกายแสงแวววาวนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในบริเวณนี้…
“มาแล้ว…”
ทันใดนั้นหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวเมื่อสัมผัสได้ถึงความผันผวนเล็กน้อยในมิติที่มาจากแก่นอมตะ เมื่อมันตกลงสู่พื้นดินและค่อยๆ ถูกกลืนกิน…
เพียงไม่กี่สิบลมหายใจแก่นอมตะของมู่เฉินก็หายไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตามมู่เฉินรู้ว่าแก่นอมตะไม่ได้หายไปเปล่าๆ แต่ถูกดูดซับโดยเจดีย์วั้นกู่
เหมือนกับที่เขาคาดเดา
เขาสงบจิตใจลง ประสาทสัมผัสเกาะติดแก่นอมตะ เมื่อแก่นอมตะหลอมรวมกับมิติ สภาพแวดล้อมโดยรอบก็เริ่มเปลี่ยนไป โลกสีม่วงทองเข้ามาแทนที่
จุดแสงสีม่วงทองนับไม่ถ้วนลอยอวลอยู่ในโลกนี้ ภาพนี้ทำให้จิตใจมู่เฉินสั่นสะท้าน เนื่องจากแสงสีม่วงทองเหล่านั้นล้วนเป็นแก่นอมตะทั้งสิ้น เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนที่เขาได้รับจากคู่ต่อสู้ก็ช่างน้อยนิดนัก
“แก่นอมตะจำนวนมหาศาลเช่นนี้น่าจะถูกสะสมโดยเจดีย์วั้นกู่ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมาสินะ?” มู่เฉินถอนหายใจขณะที่สัมผัสได้ถึงโลกนี้
หากเขาสามารถดูดซับแก่นอมตะได้ทั้งหมด ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่น่ากลัว
ฟู่ ฟู่
ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจก็เกิดความผันผวนในโลกสีม่วงทอง ประสาทสัมผัสของเขาที่เกาะติดแก่นอมตะสั่นไหว เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่ามีการสำรวจตรวจผ่านเขาไป
ซึ่งเป็นการสำรวจที่เอิบอาบด้วยกลิ่นอายโบราณ
“ข้าถูกค้นพบรึ?”
มู่เฉินตกใจแต่ก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ
ทันใดนั้นแสงสีม่วงทองก็รวมตัวกัน กลายเป็นร่างพร่ามัวที่เบื้องหน้าเขา
“เป็นเวลานานแสนนานแล้ว ในที่สุดก็มีคนมา…” แม้ว่าร่างนั้นจะมีลักษณะพร่ามัว แต่ชัดว่าเสียงโบราณนั่นพุ่งตรงมาที่เขา
คลื่นจิตที่ซ่อนอยู่ของมู่เฉินก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นภาพร่างของเขา เขามองไปที่ร่างพร่ามัวอย่างระมัดระวังพลางประสานมือให้ “ข้าไม่ได้มีเจตนาบุกรุกยกโทษให้ด้วย ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร?”
ร่างพร่ามัวยิ้มตอบว่า “ข้าคือจิตวิญญาณของเจดีย์วั้นกู่แห่งนี้… ดูเหมือนเจ้าจะเฉลียวฉลาดพอตัวที่เดาวิธีนี้เพื่อเข้ามา ข้าต้องบอกว่าเจ้ากล้าหาญมาก…”
มู่เฉินรู้ว่าความกล้าหาญที่ร่างพร่ามัวพูดถึงคือการทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ของตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่นพวกเขาคงไม่มีความกล้าพอที่จะทำลายร่างเทห์สวรรค์ที่ฝึกฝนมาอย่างขมขื่นแน่นอน
“ในช่วงเวลาวิกฤตก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” มู่เฉินยิ้มฝืดก่อนจะพูดต่อ “แต่ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเตือน”
“เจ้ากาฝากนั้นชั่วร้าย ข้าไม่สามารถจัดการกับมันได้ ทำได้เพียงให้มันสับสนและใบ้บางอย่างตอนกลืนกินแก่นอมตะ” ร่างพร่ามัวถอนหายใจ
“เป็นอย่างนี้จริงด้วย…”
มู่เฉินโล่งใจ เขารู้สึกได้ว่าทุกครั้งที่ร่างสีทองเข้มกลืนกินแก่นอมตะ มันจะเปล่งด้วยเสียงแปลกๆ ซึ่งไม่ใช่บางสิ่งที่มันคิดทำเอง แต่เป็นบางอย่างที่ร่างเบื้องหน้าทำเอาไว้
“ผู้อาวุโส….นี่มันอะไรกันหรือขอรับ? ร่างสีทองเข้มนั้นคืออะไร?” มู่เฉินถามอย่างสงสัย
ร่างพร่ามัวเคลื่อนไหวม้วนภาพก็ปรากฏเบื้องหน้าจากนั้นก็เปิดขึ้น เมื่อมู่เฉินมองไปก็เห็นชายชุดคลุมสีฟ้าอมเขียว แม้ว่ามู่เฉินจะมองไม่เห็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความลึกลับและความกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อน
ชายชุดคลุมสีฟ้าอมเขียวคนนั้นพลิ้วลงมาจากขอบฟ้าและสร้างเจดีย์โบราณ
มู่เฉินคุ้นเคยกับเจดีย์นั้น เพราะนี่คือเจดีย์วั้นกู่นั่นเอง!
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ตอนนี้เขาคิดได้แล้วว่าชายที่สวมชุดสีฟ้าอมเขียวในม้วนภาพคงเป็นเทพจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนานของมหาพันภพ—เทพจักรพรรดินิรันดร์!
“ย้อนกลับไปตอนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์สร้างเจดีย์วั้นกู่ เขาได้วางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่นี่และเผยแพร่ทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะ-ร่างเทพสุริยะนิรันดร์ไปทั่วมหาพันภพ”
“ที่ทำเช่นนี้ หนึ่งเพราะต้องการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับร่างมหาเทพนิรันดร์ สองเพราะต้องการรวบรวมแก่นอมตะให้เพียงพอเพื่อซ่อมแซมร่างมหาเทพ” เสียงยังคงอธิบายต่อ
“ซ่อมแซม?” สายตาของมู่เฉินถึงกับวูบไหว
“ในตอนนั้นร่างมหาเทพนิรันดร์ได้รับความเสียหายหนักระหว่างการต่อสู้กับเทพปีศาจจักรพรรดิและเข้าสู่ห้วงนิทรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงถูกทิ้งไว้ที่นี่และซ่อมแซม”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง…” มู่เฉินพยักหน้าก่อนถามต่อ “แล้วร่างสีทองเข้มนั่นล่ะ? ไม่ใช่ร่างมหาเทพนิรันดร์ใช่ไหม”
“อย่างมันจะเป็นร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ยังไงล่ะ…?” ร่างพร่ามัวยิ้มเหยียดหยามก่อนจะถอนหายใจ “ในช่วงหลายหมื่นปีจอมยุทธ์จำนวนมากที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์เข้ามาที่นี่และมอบแก่นอมตะมหาศาลทำให้เร่งความเร็วในการซ่อมแซมของร่างมหาเทพนิรันดร์…”
“แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีกาฝากเกิดขึ้น”
“กาฝาก?”
“ใช่ เจดีย์วั้นกู่รวบรวมแก่นอมตะมากเกินไป ซึ่งมีต้นกำเนิดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่แตกต่างกัน แม้ว่าทั้งหมดจะได้รับการขัดเกลาจากข้า แต่ก็ยังมีการรั่วไหลออกไปบ้าง…”
“โดยที่ข้าไม่ทันสังเกตเห็น เจตจำนงที่เหลืออยู่ก็แทรกซึมอยู่ท่ามกลางแก่นอมตะและกลืนกินแก่นอมตะอื่นลับๆ เมื่อข้าค้นพบมันก็มีพลังมากเกิน ในท้ายที่สุดข้าต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อปราบปรามมัน…”
“แต่เนื่องจากมันกินแก่นอมตะจำนวนมาก ส่งผลให้กระบวนการฟื้นฟูของร่างมหาเทพนิรันดร์หยุดชะงัก”
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน ร่างสีทองเข้มปรากฏขึ้นจากภูเขาสีแดงเข้ม เมื่อดูจากตอนนี้ แต่เดิมมันน่าจะถูกปราบปรามไว้ใต้ภูเขา
“ที่แท้ร่างสีทองเข้มก็เกิดจากแก่นอมตะที่บริสุทธิ์” มู่เฉินเข้าใจทันทีและนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงสัมผัสได้ถึงรัศมีอมตะหนาแน่นจากร่างนั้น
“พวกเจ้าทุกคนฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ซึ่งบรรจุด้วยแก่นอมตะ ดังนั้นมันจึงมีเจตนาฆ่ารุนแรงสำหรับพวกเจ้า”
“มันเป็นเนื้อร้าย หากไม่ถูกกำจัดออกไปมันก็จะยึดแก่นอมตะมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดมันอาจจะกลืนกินร่างมหาเทพนิรันดร์และสร้างสัตว์ประหลาดที่มีสติสัมปชัญญะจนวุ่นวายขึ้น”
“ข้าหนักใจกับเรื่องนี้มาก แต่ไม่สามารถติดต่อพวกเจ้าได้โดยตรงเนื่องจากกฎ ดังนั้นข้าสามารถให้คำแนะนำและดูว่ามีใครสามารถเข้าใจได้หรือไม่และมาที่นี่…”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น มู่เฉินก็หดดวงตา หากไอ้กาฝากนี่กลืนกินร่างมหาเทพนิรันดร์ที่เขาตามหามาหลายปี เขาไม่มีแม้กระทั่งที่ร้องไห้เลยจริงๆ
“ข้าจะช่วยอะไรได้บ้าง?” มู่เฉินถาม เป้าหมายของเขาคือร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นเขาต้องหยุดกาฝากร้ายกาจนี่โดยเร็ว
กาฝากนั้นทรงพลังเกินไปและเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน เมื่อครู่ตัวเขาถูกบีบให้ต้องทำลายร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ถ้าเขาสู้กับมันอีกครั้ง เขาอาจต้องทิ้งชีวิตเอาไว้
“กาฝากนั้นเติบโตขึ้นแล้ว หากไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอยู่ในหมู่พวกเจ้าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปราบมัน” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่กล่าว
มู่เฉินพยักหน้าพลางขมวดคิ้ว “มีวิธีอื่นอีกไหม?”
“มี”
จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ฉายอารมณ์เล็กน้อยขณะที่พูด
“คืออะไรเหรอ?”
จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เอ่ยทีละคำ “ปลุกร่างมหาเทพนิรันดร์!”
หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นที่ระเบิดขึ้น เพื่อระงับอารมณ์ก็กล่าวว่า “ข้าลองได้ไหม?”
จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ตอบด้วยรอยยิ้ม “ตัวเจ้าได้พิสูจน์ความกล้าหาญแล้วโดยมาที่นี่ เจ้ามีคุณสมบัติ”
พูดจบจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็โบกมือ ก่อนที่มู่เฉินจะสัมผัสได้ถึงแสงสีม่วงทองสั่นไหวและเริ่มหายไป เขาก้มหัวลงก็เห็นแสงลึกลับหรุบหรู่ในส่วนลึกของโลกนี้…
สายตาของเขายึดติดกับรัศมี ภาพนี้สลักลงไปในรูม่านตาของเขา
นี่เป็นร่างที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากอัญมณีพร้อมกับลวดลายโบราณสลักอยู่บนพื้นผิวทุกตารางนิ้ว ลวดลายกำจายด้วยความผันผวนดั้งเดิม ราวกับว่าถูกสร้างขึ้นโดยธรรมชาติ
รัศมีนิรันดร์ห่อหุ้มมันเอิบอาบไปชั่วกัลป์ชั่วกัลป์ราวกับว่าแม้แต่เวลาก็ไม่สามารถกัดกร่อนได้…
แม้ว่าจะมีขนาดเล็ก แต่พลังและรูปลักษณ์โบราณก็ไม่สามารถจินตนาการได้ ถึงจะอยู่ในห้วงนิทรา แต่ก็แผ่ซ่านแรงกดดันที่น่าทึ่ง ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง
เมื่อมู่เฉินมองไปที่ร่างนั้น ดวงตาก็ลุกโชนด้วยความตื่นเต้น ในตอนนี้ร่างกายเขาสั่นสะท้านไปหมดแล้ว
‘ร่างมหาเทพนิรันดร์…’
‘ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าแล้ว’