หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1550 เมื่อพบกันใหม่ก็ยืนอยู่จุดสูงสุดของมหาพันภพแล้ว
- Home
- หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler
- บทที่ 1550 เมื่อพบกันใหม่ก็ยืนอยู่จุดสูงสุดของมหาพันภพแล้ว
เสียงโห่ร้องสะท้อนทั่วสำนักศึกษาเป่ยชาง
ศิษย์ทุกคนต่างมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นขณะมองร่างเงาบนท้องฟ้า หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพสุดจะพรรณนา
ในช่วงนี้พวกเขาใช้ชีวิตหวาดระแวงภายใต้การคุกคามของเผ่าปีศาจ แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์ทั้งหมดจะพลิกผันในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้
จอมปีศาจเฮยซือเทียนที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขา อ่อนแอราวกับมดต่อหน้าศิษย์พี่ของพวกเขาผู้ซึ่งลบมันออกไปด้วยการตวัดนิ้วครั้งเดียว…
ทุกคนรู้สึกถึงเลือดในกายเดือดพล่าน เพราะเป้าหมายสูงสุดในการฝึกยุทธ์ก็คือปกป้องคนที่ห่วงใยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้และได้รับความเคารพจากทุกคนไม่ใช่เหรอ?
“เห็นไหม?! เห็นยัง?! ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าตราบใดที่พี่ใหญ่มู่เฉินอยู่ที่นี่ จอมปีศาจเฮยซือเทียนต้องตายคาที่แน่นอน?!” เยี่ยสุนเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นขณะที่ยกมือขึ้นเท้าเอว มองไปที่สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วด้วยความภาคภูมิใจ
“พี่ใหญ่สุนเอ๋อมองขาดจริงๆ!” เมื่อครู่ทุกคนยังรู้สึกช่วยไม่ได้กับความเชื่อมั่นแบบไร้เหตุผลของนาง แต่ตอนนี้พวกเขากลับอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้ด้วยชื่นชม
“ฮ่าๆ ข้าจะดูว่าใครกล้าแข่งกับชุมนุมเทพธิดาลั่วในอนาคตอีก!”
เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักศึกษาเป่ยชางมองมาด้วยดวงตาฉายแววอิจฉาพวยพุ่ง หลังจากศึกนี้จบลงชุมนุมเทพธิดาลั่วจะเป็นชุมนุมสุดยอดในสำนักศึกษาอย่างไม่ต้องสงสัยและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นก็ตาม
นั่นเป็นเพราะต่อให้พวกเขาจบการศึกษาและออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางไป ขณะที่ท่องยุทธภพตราบใดที่พวกเขาบอกว่าชุมนุมที่พวกเขาเคยอยู่นั่นก่อตั้งโดยมู่เฉิน มิหนำซ้ำเขายังเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา ไม่ว่าจะไปที่ใดก็คงมีแต่เสียงสรรเสริญ
บางคนที่มีความคิดเฉียบคมก็เริ่มมองหาลู่ทางที่จะเข้าร่วมชุมนุมเทพธิดาลั่วหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้จบลง…
“เจ้านั่น…”
เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและเวินชิงเฉวียนที่ฟื้นจากอาการตกใจก็แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยรอยยิ้มเหยเก
นั่นเป็นเพราะมู่เฉินเกินความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว
ขณะที่พวกเขายังคงดำเนินตามเส้นทางเพื่อมุ่งสู่ระดับเทียนจื้อจุน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินได้เกินขอบเขตเหล่านั้นเรียบร้อย…
ช่องว่างมหาศาลเช่นนี้ ทำให้ไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะไล่ตาม
“ตอนนั้นทำไมข้าถึงไม่เห็นว่าเจ้านี่จะทรงพลังมากขนาดนี้…” หลี่เฉวียนทงถอนหายใจขณะหันไปมองร่างสะคราญโฉมบนท้องฟ้าพร้อมกับดวงตาหม่นแสงลง ย้อนกลับไปในอดีตคงไม่มีใครคาดคิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ยกเว้นลั่วหลี
ขณะที่ทุกคนคิดว่านางพบแค่ก้อนหินธรรมดาท่ามกลางผืนทราย นางกลับเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าหินที่นางพบจะส่องประกายเจิดจ้ากว่าเพชรเม็ดใดในโลก
เสิ่นชังเสิงแตะไหล่หลี่เฉวียนทงมองมาด้วยความเห็นใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสหายคนนี้แอบปลื้มลั่วหลีมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสอีกแล้ว
เวินชิงเฉวียนก็ถอนหายใจ นางมักรู้สึกว่ามู่เฉินไม่เข้ากันกับลั่วหลีเลยเมื่อในอดีต แต่ขณะนี้นางต้องยอมรับว่าชายหนุ่มที่เคยประลองกันในศึกเบญจภาคีได้เติบโตขึ้นจนเหนือล้ำไปแล้ว
เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกต่อไป ตอนนี้เขาคือสุดยอดจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพ
เป่ยหมิงและไท่ชางพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับการตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน ภัยพิบัติจากเผ่าปีศาจก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป นั่นหมายความว่าหายนะที่สำนักศึกษาเป่ยชางกำลังเผชิญอยู่อันตรหายไปหมดแล้ว ดังนั้นรอยยิ้มจึงคลี่ออกบนใบหน้าของพวกเขา
อาจารย์ใหญ่อีกสี่คนจากสำนักศึกษาอื่นๆ ก็เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพวกเขา ในเวลาเดียวกันดวงตาแต่ละคู่ก็สั่นไหวด้วยความอิจฉา เนื่องจากพวกเขารู้ว่าด้วยอดีตศิษย์คนนี้จากสำนักศึกษาเป่ยชางจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน ชื่อเสียงก็จะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ
บางทีในอนาคตสำนักศึกษาเป่ยชางจะอยู่ในตำแหน่งผู้นำภาคเบญจภาคีแล้ว
ความอึมครึมในภูมิภาคนี้หายไปและถูกแทนที่ด้วยเสียงโห่ร้อง
มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อบนท้องฟ้า ลบรัศมีปีศาจสายสุดท้ายออกไป จากนั้นก็มองไปที่มือของตนเอง เห็นได้ชัดว่าแม้กระทั่งตัวเขาก็ตกใจกับความแข็งแกร่งที่มี
เพราะก่อนที่จะเข้าสู่สมาธิต่อให้เขาจะใช้กำลังเต็มที่ เขาก็สามารถต่อสู้กับหมัวเฮอเทียนในระดับเดียวกันได้เท่านั้น
แต่ตอนนี้แม้ว่าหมัวเฮอเทียนจะอาศัยขวดมหาเพลิงวารี ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับมู่เฉิน
เนื่องจากตอนนี้แม้มู่เฉินจะยังไม่ได้ฝากชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพ แต่เขาก็สามารถควบคุมพลังเอกภพได้ ถึงจะเป็นเพียงเส้นสายเล็กๆ แต่ก็เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุดไปแล้ว
“ห้าปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์นี่”
มู่เฉินพึมพำขณะที่หันกลับทะยานไปที่เบื้องหน้าลั่วหลี
ยามนี้ลั่วหลีกำลังมองมาด้วยความอึ้งทึ่ง นางยังไม่สามารถดึงสติกลับได้ เพราะยิ่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าพลังของมู่เฉินน่ากลัวเพียงใด
“คืนสติได้แล้ว” มู่เฉินยิ้มขณะโบกมือเบื้องหน้านาง
นัยน์ตาของลั่วหลีเกิดระลอกคลื่น จากนั้นก็กลอกตาใส่มู่เฉิน แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าด้วยรูปลักษณ์ของนาง แค่การปรายตามองก็สามารถทำให้ทุกคนมึนเมาได้แล้ว
“เก่งไหม?” มู่เฉินยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจเล็กน้อย เฉพาะต่อหน้าหญิงคนรักเท่านั้นที่เขาจะเปิดเผยด้านโอ้อวดให้เห็น
“เก่ง เจ้าเก่งที่สุด” ลั่วหลีรู้สึกขบขันปนฉิวในเวลาเดียวกันขณะที่พยักหน้า
“คิกๆ มู่เฉิน ตอนนี้เจ้าน่าเกรงขามมากเลยนะ”
พร้อมกับน้ำเสียงประหลาดใจ หลินจิ้งกระโดดเข้ามามองไปที่มู่เฉินก่อนจะเบ้ปาก “ข้าคิดว่าตัวเองสามารถดึงช่องว่างพลังเข้ามาใกล้ได้แล้ว แต่เจ้ากลับเหวี่ยงข้าออกไปไกลแทน”
เซียวเซียวก็เดินเข้ามามองไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ?”
นางทราบเหตุผลที่มู่เฉินหายหน้าไปในช่วงห้าปีนี้
มู่เฉินเหยียดเอว ดวงตาลึกล้ำมองไปในมิติไกลโพ้น “อีกนิดหน่อยน่ะ”
เขายังไม่ได้จารึกชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพ ทว่าเขารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมันอย่างคลุมเครือแล้ว…
เมื่อทั้งสี่คนสนทนากันเรียบร้อยก็พลิ้วลงมาจากท้องฟ้ามาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าไท่ชางและเป่ยหมิง
เมื่อมองไปที่ใบหน้าคุ้นเคยทั้งสอง มู่เฉินก็รู้สึกถึงระลอกคลื่นในใจ ย้อนกลับไปตอนที่เขาออกท่องยุทธภพครั้งแรก เขายังคงเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่เพิ่งจะก้าวสู่ระดับจื้อจุน แต่ตอนนี้เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพแล้ว…
“ศิษย์มู่เฉินทักทายท่านอาจารย์ใหญ่และผู้อาวุโสเป่ยหมิง” มู่เฉินประสานมือคารวะ
แม้ว่าพลังของเขาจะก้าวข้ามทั้งสองคนเบื้องหน้าไปแล้ว แต่มู่เฉินก็ยังเคารพไท่ชางและเป่ยหมิงมาก ในอดีตทั้งสองดูแลเขาเป็นอย่างดีเมื่อเขาอยู่ในสำนักศึกษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป่ยหมิงที่เคยถ่ายทอดวิชากายาเทพสายฟ้าให้เขา ซึ่งเป็นวิชาที่ช่วยเขาอย่างมากในอดีต
เมื่อมองไปที่ท่าทางอ่อนน้อมถ่อนตนของมู่เฉิน ไท่ชางและเป่ยหมิงก็รู้สึกพอใจ เด็กหนุ่มในตอนนั้นไม่ได้หยิ่งผยองเพราะความสำเร็จที่มี แต่ยังคงรักษาความสุภาพเรียบร้อยเอาไว้
ตอนนั้นเองเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและเยี่ยชิงหลิงก็เข้ามาพร้อมกับรู้สึกยินดีในการรวมตัวกันอีกครั้ง
“พี่ใหญ่มู่เฉิน!” เยี่ยสุนเอ๋อพุ่งมายืนที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“สุนเอ๋อตัวน้อย”
เมื่อได้เห็นเยี่ยสุนเอ๋ออีกครั้งก็หวนนึกถึงอดีตไม่ได้ ตอนที่เขาอยู่ในมิติเป่ยชางก็ได้พบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ เกล้าผมหางม้าซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
แต่ตอนนี้เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว
“ข้าไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไปแล้วนะ!”
มู่เฉินเอื้อมมือขยี้ผมของเยี่ยสุนเอ๋อเหมือนที่เคยทำเมื่อในอดีต ทำให้ผมของนางยุ่งเหยิงไปหมด ขณะที่นางมองเขาอย่างฝืดเฝื่อน
หลังจากแกล้งเยี่ยสุนเอ๋อไปสักพัก มู่เฉินก็หันไปเห็นถังเชี่ยนเอ๋อที่ใบหน้ากำลังระบายรอยยิ้ม ผมยาวของนางเกล้าเก็บอย่างดี ไม่หลงเหลือเค้าความขี้เล่นในอดีตอีกต่อไป ตอนนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว
“ต้องขอบคุณพี่เชี่ยนเอ๋อที่ขยี้เครื่องรางชิ้นนั้น ทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงพื้นที่นี้จนรีบเร่งมาที่นี่ได้ทันเวลา” มู่เฉินยิ้ม
ถังเชี่ยนเอ๋อยิ้มขณะมองไปมู่เฉินและลั่วหลียืนเคียงคู่กัน ทั้งสองโดดเด่นและดึงดูดสายตายิ่งนัก
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้า มิฉะนั้นสำนักศึกษาวั่นหวงคงไม่สามารถรอดพ้นจากหายนะได้” ถังเชี่ยนเอ๋อถอนหายใจแผ่วเบาด้วยความเศร้าโศก สำนักศึกษาวั่นหวงมีศิษย์บาดเจ็บล้มตายจำนวนหนึ่งในตอนที่หนีตายมายังทวีปเป่ยชาง
มู่เฉินทำได้เพียงแค่ตบไหล่นางเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน
“พี่ใหญ่มู่เฉินจะออกเดินทางทันทีเลยไหม?” เยี่ยสุนเอ๋อโพล่งถามขึ้น คำพูดของนางดึงดูดสายตาของทุกคนมาทันที
เมื่อสัมผัสได้ถึงความอยากให้อยู่ต่อในสายตาของทุกคน มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นกวาดมองสำนักศึกษาเป่ยชาง ณ ที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำงดงามในอดีต
“ข้าจะอยู่ในทวีปเป่ยชางอีกสักพักและแก้ไขหายนะเรื่องจักรวรรดิปีศาจภายในดินแดนมหาพันภพให้หมดสิ้น…”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เสียงโห่ร้องแสบแก้วหูก็ดังขึ้นจากสำนักศึกษา
พอเห็นเช่นนี้มู่เฉินก็ยิ้ม ขณะเดียวกันมือที่นิ่มและเย็นฉ่ำก็เข้ามาจับมือเขาไว้ เขากำมือจับเอาไว้พลางมองไปในมิติ
เขารู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของความสงบสุข ก่อนสงครามครั้งใหญ่จะระเบิดออก