หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler - บทที่ 1560 ศึกครั้งสุดท้าย
รัศมีหลิงเปล่งประกายปกคลุมไปทั่วมหาพันภพ
ใต้ทำเนียบเหนือภพ ร่างมู่เฉินยืนไว้สง่าจนไม่อาจบรรยายได้ ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนจะกระตุ้นพลังที่ไร้ขอบเขตภายในสุริยจักรวาลนี้
“ขอแสดงความยินดีมหาเทพจักรพรรดิมู่ในการครอบครองนี้!”
ในทวีปหลิงหมัวระเบิดออกมาด้วยเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก
เมื่อครู่นี้เองที่มหาพันภพรู้สึกสิ้นหวังเนื่องจากดวงตาที่สิบของเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน พวกเขาได้ต้อนรับมหาเทพจักรพรรดิคนแรกแห่งมหาพันภพ ผู้ที่สามารถจารึกชื่อแซ่ของตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพได้!
ทุกคนแทบคลั่งไปด้วยความสุขขณะที่ตะโกนเรียกชื่อมู่เฉินไม่หยุด
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่ว ทำเนียบเหนือภพก็เริ่มจางหายไปพร้อมกับรัศมีกระจ่างใสรอบร่างมู่เฉินก็จางหายไปเช่นกัน ขณะนี้เขาดูราวกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มากจนไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงในร่างกายเลย
มู่เฉินพลิ้วตัวลงมาที่เบื้องหน้าหลินต้งและเซียวเหยียนก่อนจะประสานมือคารวะ “ผู้เยาว์ต้องขอก้าวไปก่อน ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าถือโทษโกรธกันนะขอรับ”
หลินต้งและเซียวเหยียนยิ้มสบายๆ “มหาพันภพเป็นบ้านที่สำคัญสูงสุดของเรา ในเมื่อเจ้าสามารถขึ้นยืนหนึ่งในการจัดการเทพปีศาจ เราก็ถือว่านี่เป็นหนี้บุญคุณมากกว่า”
หลินต้งส่ายหัวกล่าวว่า “ข้านำหน้าได้เพราะโอกาสจากเหตุวิกฤตของมหาพันภพ ถือว่าเดินลัดทางสั้น ผู้อาวุโสทั้งสองไม่ได้ใช้ร่างมหาเทพปฐมกาล ใช้เพียงพลังของตนก็สามารถจารึกแซ่บนทำเนียบเหนือภพได้ สิ่งนี้ข้าไม่อาจเทียบได้เลย”
สิ่งที่มู่เฉินพูดมาคือความจริง เนื่องจากตอนแรกเขาคาดว่าจะต้องใช้เวลาสะสมเกือบร้อยปีเพื่อไปให้ถึงขั้นตอนนี้ แต่ไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงกะทันหันในมหาพันภพจะบีบให้เขาได้รับโอกาสและเร่งเร้าตนเองปลดปล่อยศักยภาพก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ก่อน
หากไม่มีมหันตภัยใดๆ ในมหาพันภพนี้หลินต้งและเซียวเหยียนจะเป็นเทพจอมยุทธ์คนแรกที่ขึ้นสู่ทำเนียบเหนือภพแน่นอน
หลินต้งและเซียวเหยียนสบตากันก่อนจะฉายยิ้มอ่อนโยน “สถานการณ์หล่อหลอมวีรบุรุษ พวกข้าก็เคยพึ่งโอกาสจากวิกฤตในการพุ่งเข้าไปที่จุดสูงสุด แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ทำได้ ซึ่งนี่เป็นความสามารถของเจ้าที่ทำให้เจ้าไม่ได้ถ่อนตนขนาดนั้น”
“ดังนั้นพวกข้าขอฝากหน้าที่จัดการเทพปีศาจไว้ในมือเจ้าตอนนี้และจะช่วยเหลือจากด้านข้าง”
มู่เฉินโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุด “ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน”
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเทพปีศาจ ขณะนี้ใบหน้าของเทพปีศาจน่าขนพองสยองเกล้า ดวงตาที่สิบกะพริบพร้อมกับสาดไอสีดำเมื่อม
“คาดไม่ถึงจริงๆ!”
เทพปีศาจมองไปที่มู่เฉินแล้วพูดต่อ “ตอนแรกข้าคิดว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดของตัวเองก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นไอ้หนูแบบแกที่ขึ้นครองบัลลังก์นี้แทน”
“มหาพันภพไม่เต็มใจที่จะเป็นทาสปีศาจ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นหนึ่งแต่ก็ต้องมีคนอื่นขึ้นมาแทน” มู่เฉินตอบ
เทพปีศาจกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงเย็นชา “มหาพันภพโชคดีจริงๆ ที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ในขณะนี้”
น้ำเสียงของเขาอัดแน่นด้วยความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยว ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ชัยชนะมาแล้วเมื่อดวงตาที่สิบปรากฏขึ้น แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะสามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนกระดานเส็งเคร็งได้
เทพปีศาจรู้ชัดเจนว่าเมื่อมีจอมยุทธ์สามารถจารึกชื่อทั้งหมดไว้บนทำเนียบเหนือภพได้ก็จะแสดงถึงศักยภาพในการควบคุมพลังเอกภพ ซึ่งแปลว่ามหาพันภพคือบ้านของเขาและเขาจะแข็งแกร่งขึ้นที่นี่
นี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงแน่นอน
ใบหน้าของเทพปีศาจมืดครึ้มลงขณะที่หายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาจากดวงตาควบแน่นที่ฝ่ามือก่อนจะกลายเป็นหอกสีดำ
“เนตรที่สิบ หอกปีศาจ!”
หอกทั้งเล่มเป็นสีดำสนิท มีดวงตาสิบดวงกะพริบวูบไหวเอิบอาบด้วยรัศมีชั่วร้ายสุดขั้ว ความผันผวนที่น่ากลัวทำให้พิภพเขตล่างแห่งนี้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
ตึง!
เทพปีศาจจับหอก กระแทกลงอย่างหนัก ทันใดนั้นรอยแตกก็ขยายออกราวกับใยแมงมุม
เขาจ้องไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ข้าขอดูว่าจอมยุทธ์สมบูรณ์แบบอย่างแกจะสามารถทำอะไรกับข้าได้บ้าง!”
มู่เฉินมองไปที่หอกก็หดตาลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจไม่ได้ออมมืออีกต่อไป มิหนำซ้ำยังเรียกหอกที่ไม่เคยใช้มาก่อนออกมาอีกด้วย
“อาวุธเหรอ…”
มู่เฉินครุ่นคิดก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ รัศมีไร้ขอบเขตรวมตัวกันจุดชนวนกลายเป็นทะเลเพลิง ก่อนที่เขาจะสะบัดนิ้วลำแสงสีดำก็พุ่งเข้าไปในเปลวไฟนั่น
ลำแสงฉายภาพเสาสีดำขนาดใหญ่ที่มู่เฉินเคยใช้เป็นอาวุธเมื่อในอดีต นี่ก็คือเสาปีศาจราชันพระสุเมรุ
แต่ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นทุกวันเขาจึงหยุดใช้ไป แต่หลังจากที่ถึงระดับจู๋ไจ่เขาก็สามารถสร้างอาวุธที่เหนือล้ำเกินกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสุดยอดได้แล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงใช้เสาปีศาจราชันพระสุเมรุเป็นวัสดุตั้งต้น
ฟู่ ฟู่!
เมื่อเปลวไฟลุกโชนอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวก็หลอมละลายเสายักษ์อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นของเหลวสีดำ
“ยังขาดวัสดุรองบางอย่าง” มู่เฉินมองไปที่ของเหลวสีดำก่อนที่จะสะบัดนิ้วอีกครั้ง เสียงกระบี่ดังก้องออกมา กระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็ถูกโยนลงไปในทะเลเพลิง
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเสียหายตั้งแต่ได้รับ พลังงานภายในก็ร่อยหลอลง แต่ในฐานะที่เป็นวัตถุดิบรองก็สามารถหลอมเพื่อสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มหาพันภพเคยมีมา
กระบี่เกล็ดจักรพรรดิหลอมเหลวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นของเหลวระยิบระยับหลอมรวมกับของเหลวสีดำ ภายใต้การควบคุมของมู่เฉินของเหลวก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง จากนั้นมู่เฉินก็เทคลื่นหลิงไม่สิ้นสุดลงไป
ในเวลาเดียวกันด้วยปณิธานยิ่งใหญ่ของเขา พลังเอกภพก็บีบอัดลงมาผสมเข้าไปในอาวุธ
ตู้ม!
เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ เสียงบาดแก้วหูก็ดังก้องออกมาจากทะเลเพลิงก่อนที่ทุกคนจะเห็นเสาสีดำทะยานออกมาลอยอยู่ที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
เมื่อแสงจางหายก็เผยให้เห็นสิ่งของภายใน มันคล้ายกับเสาปีศาจ แต่กลับไม่มีรัศมีโหดร้าย ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหนาแน่น ราวกับเป็นเสาตั้งตระหง่านบนสวรรค์ ไม่สามารถทำลายลงได้
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเสาจอมราชันพระสุเมรุ!” เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน เสายักษ์ก็เปล่งประกายราวกับว่ากำลังชื่นชมยินดี
ขณะที่มู่เฉินขยับมือ เสาจอมราชันก็หดตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นพลองพุ่งเข้าสู่ฝ่ามือของมู่เฉิน จากนั้นมู่เฉินก็ควงพลองชี้ไปที่หน้าเทพปีศาจ มิติยังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“หึ”
เทพปีศาจเค้นเสียงเย็นชาจากนั้นก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าวพร้อมกับหอกในมือปรากฏที่ด้านหน้ามู่เฉิน ขณะที่หอกเคลื่อนที่ก็กวาดลำแสงปีศาจมากมายออกไป ทุกลำแสงสามารถทำลายทั้งทวีปได้
มู่เฉินถือเสาจอมราชันไว้ ไม่มีความกลัวใด เผชิญหน้ากับการโจมตีตรงหน้าแบบตัวต่อตัว
เคร้ง!
หอกและพลองปะทะกัน คลื่นพลังงานระเบิดออกมาแสดงถึงความสามารถในการทำลายล้างขั้นสุดยอด
หลินต้งและเซียวเหยียนถอยออกไป ขณะที่เทคลื่นหลิงลงในพิภพเขตล่างนี้เพื่อสร้างตาข่ายห่อหุ้มเอาไว้ สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อป้องกันความผันผวนของการทำลายล้างจากมู่เฉินและการโจมตีของเทพปีศาจที่จะการส่งผลกระทบต่อมหาพันภพก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวง
เคร้ง เคร้ง!
ทุกคนฉายแววตาตกตะลึงเมื่อมองไปที่การต่อสู้ในพิภพเขตล่าง ทั้งสองต่อสู้กันโดยใช้อาวุธสุดยอดโดยทุกการปะทะจะสร้างพายุทำลายล้างออกมา
แม้ว่าหลินต้งและเซียวเหยียนจะพยายามควบคุมความผันผวนไว้ แต่ก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว
โฮก โฮก!
การโรมรันพันตูกันดำเนินต่อไป เทพปีศาจก็คำรามลั่นเมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนถูกต่อต้าน ใบหน้าเขาถูกแทนที่ด้วยสีหน้าน่าขนพองสยองเกล้า ของเหลวสีดำไหลผ่านร่างกายกลายเป็นชุดเกราะชั่วร้าย
ยามนี้เขาประหนึ่งเทพปีศาจแห่งการทำลายล้างเลยทีเดียว
เคร้ง เคร้ง!
ในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปทั้งสองก็แลกกระบวนท่ากันนับไม่ถ้วน แม้แต่สวรรค์และโลกก็หมองลง ความกลัวผุดขึ้นบนใบหน้าของทุกคน
แต่โชคดีที่แม้จะเผชิญกับการโจมตีรุนแรงของเทพปีศาจ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบอะไร เขายืมพลังเอกภพเข้าห้ำหั่นกับเทพปีศาจแบบไม่กลัวเกรง
ตึง!
อาวุธทั้งสองปะทะกัน ความผันผวนของการทำลายล้างทำให้ร่างกายของมู่เฉินและเทพปีศาจสั่นสะท้าน ก่อนที่พวกเขาจะถูกซัดกลับไปพร้อมกับมิติใต้ฝ่าเท้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ในทุกย่างก้าว
“เทพปีศาจที่นี่คือบ้านของข้า ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับเจ้าหากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป” มู่เฉินกระแทกพลองในมือลงพลางมองไปที่เทพปีศาจ
“บ้าเอ้ย! ไอ้เวร! แกรนหาที่ตาย!”
ใบหน้าของเทพปีศาจน่าขนพองสยองเกล้าพร้อมกับความบ้าคลั่งวูบไหวในดวงตาขณะที่จ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้าย เห็นได้ชัดว่าเขารู้ดีว่าภาวะชักเย่อกันแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา
“ในเมื่อแกต้องการตาย ข้าก็มอบความปรารถนาให้!
“อสูรปีศาจสิบตา จักรวาลกลืนกิน!”
เทพปีศาจคำราม รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่างก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นอสูรปีศาจที่เบื้องหลัง
อสูรปีศาจตัวนี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์และโลกพร้อมกับดวงตาชั่วร้ายสิบดวงบนร่างกาย ทุกดวงตาเต็มไปด้วยความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัว
มองไปที่อสูรปีศาจ หลินต้งและเซียวเหยียนก็หัวใจสั่นไหว ดูเหมือนว่าเทพปีศาจจะบ้าคลั่งไปแล้ว
ตู้ม!
อสูรปีศาจสิบตามองไปที่มู่เฉินขณะที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตระเบิดออกมา อึดใจก็มาปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉิน
ตึง!
เสาจอมราชันที่อยู่ในมือมู่เฉินขยายใหญ่กลายเป็นเสาสูงตระหง่านกระแทกเข้าหารัศมีปีศาจ
ครืนๆๆๆ!
เมื่อเสากระแทกลงบนรัศมีปีศาจก็ถูกผลักออกไปด้วยพลังที่น่ากลัว ร่างกายของมู่เฉินได้รับความเสียหายถลาออกไปหลายหมื่นลี้
“ตาย!”
เทพปีศาจคำราม อสูรปีศาจสิบตาก็กะพริบดวงตาทั้งหมดพร้อมกับลำแสงปีศาจยิงออกมา ดูเหมือนว่าไม่ต้องการยอมแพ้เว้นแต่จะลบมู่เฉินออกได้
“ตายล่ะ!”
ใบหน้าของหลินต้งและเซียวเหยียนเปลี่ยนไป การโจมตีกระบวนท่านี้ดุร้ายเกินไป
แต่เมื่อพวกเขาต้องการช่วยมู่เฉิน แสงโบราณก็พุ่งมาจากที่ไกลคล้ายกับกระจกเงาลึกล้ำ ไม่ว่าลำแสงปีศาจจะยิงเข้ามากี่ครั้งก็ถูกกระจกกลืนกิน
ในที่สุดลำแสงปีศาจก็หยุดลง
ใบหน้าของเทพปีศาจดูเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่มู่เฉิน รัศมีโบราณอยู่ด้านหลังก่อตัวเป็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่
ร่างนั้นมีลักษณะคล้ายกับมู่เฉิน แต่มีวงรัศมีห้าสีอยู่ด้านหลังศีรษะ แต่ละสีแทรกซึมไปด้วยความผันผวนโบราณ
หากสัมผัสถี่ถ้วนก็จะตระหนักได้ว่าความผันผวนเหล่านั้นก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ ร่างมหารัศมีอนันต์ ร่างมหาปราชญ์วิญญาณ ร่างมหาเทพรัตติกาลและร่างมหาสุญตา
“ร่างมหาเทพปฐมกาล!”
มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดังก้อง
นี่คือการรวมสุดยอดร่างทั้งห้าเข้าด้วยกัน ร่างเทห์สวรรค์ใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นโดยการรวมจุดเด่นของร่างมหาเทพทั้งหมดเอาไว้
“ถึงตาข้ามั่ง!”
มู่เฉินมองไปที่เทพปีศาจมือประสานเข้าด้วยกัน วงรัศมีห้าสีพุ่งออกมา บีบกดเหนือร่างอสูรปีศาจสิบตา
“รัศมีห้าสีปราบปีศาจ!”
ฮึ่ม ฮึ่ม!
สีทั้งห้าคลี่กระจาย ราวกับว่าร่างมหาเทพปฐมกาลปรากฏขึ้นบดขยี้ไปที่ร่างอสูรปีศาจสิบตา
โฮก โฮก!
รัศมีหลิงโบราณทำให้ร่างอสูปีศาจคำรามทันที จากนั้นรัศมีปีศาจที่อยู่บนนั้นก็เริ่มลดลง ราวกับว่ากำลังถูกหลอมละลาย
“ปีศาจกลืนกิน!”
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงโดยรอบเทพปีศาจก็คำราม ร่างอสูรปีศาจหายใจเข้าลึกพร้อมกับรัศมีปีศาจไร้ขอบเขตรวมอยู่ที่ปากก่อนที่จะถูกบีบอัด
“ปราณปีศาจ!”
ตู้ม!
อึดใจต่อมาทะเลปีศาจก็ทะลักออกมา ซัดเข้าหารัศมีห้าสีต่อต้านความสว่างที่ส่องลงมา
ทุกคนในมหาพันภพลุ้นระทึกเมื่อมองไปที่หน้าจอ ใครก็สามารถบอกได้ว่าศึกนี้มาถึงจุดสุดยอดแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างปลดปล่อยกระบวนท่าสูงสุดออกมา
ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่ากับหายนะใหญ่หลวง
“เทพปีศาจรีบร้อนเกินไป” หลินต้งและเซียวเหยียนที่เฝ้าดูฉากนี้ก็รู้ว่าข้อได้เปรียบของมู่เฉินกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อลากเวลาได้นานขึ้น ท้ายที่สุดนี่คือมหาพันโลกและมู่เฉินสามารถยืมพลังงานโลกเพื่อต่อสู้กับเทพปีศาจ
เผชิญกับสถานการณ์นี้เทพปีศาจก็รับรู้เช่นกัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าของเขามืดครึ้มลง
เทพปีศาจยืนอยู่ใต้ร่างอสูรปีศาจสิบตาพร้อมกับดวงตาที่สิบที่หว่างคิ้ววูบไหวไม่หยุด ไม่นานต่อมาความดุร้ายก็กระจายทั่วใบหน้า
“ในเมื่อแกบังคับข้าเอง งั้นก็อย่าโทษข้าซะล่ะ!”
เขารู้ดีว่าถ้าไม่ทำลายสมดุลนี้ เขาจะต้องแพ้แน่นอน
ตู้ม!
อสูรปีศาจกวาดเทพปีศาจกลายเป็นลำแสงปีศาจพุ่งทะยานสู่ขอบฟ้า ขณะที่ดวงตาทั้งสิบกะพริบตาก็ฉีกมิติออกไปปรากฏตัวในห้วงมิตินอกทวีปหลิงหมัว
ขณะที่อสูรปีศาจคำราม เสียงที่ทำให้หูดับก็ดังก้องไปทั่วมหาพันภพ
“ปีศาจอเวจี มหานรกปีศาจ!”
ครืนๆๆๆ!
เมื่อเสียงเขาดังก้อง กองทัพจักรวรรดิปีศาจก็ร้องโหยหวนก่อนที่ร่างนักรบจะระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
อสูรปีศาจเขมือบหมอกเลือด จากนั้นก็วาดตราประทับ ร่างใหญ่ของมันระเบิดออก กระแสปีศาจรุนแรงหลั่งไหลออกมา
กระแสปีศาจทะลุผ่านมิติก่อนจะแยกออกเป็นสายธารเล็กๆ ปรากฏทุกหัวระแหงในมหาพันภพ
ยามนี้ผู้คนที่ต่างๆ ตกตะลึงที่เห็นกระแสปีศาจขนาดใหญ่พลุ่งพล่านพยายามทำลายบ้านเกิดของพวกเขา
ในทวีปหลิงหมัว จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหน้าถอดสี
“ฮ่าๆ ในเมื่อแกต้องการปกป้องจักรวาลนี้ ข้าก็จะทำลายซะ!” ขณะที่กระแสปีศาจนับล้านล้านสายไหลไปยังมหาพันภพ เสียงโหดร้ายของเทพปีศาจก็ดังก้อง
มู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนไปปรากฏตัวบนทวีปหลิงหมัว พวกเขามองไปที่กระแสปีศาจไร้ขอบเขตด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ไอ้นั่นบ้าไปแล้ว! การที่มันทำลายอสูรปีศาจสิบตาก็เท่ากับการระเบิดตัวเองนั่นแหละ!” เซียวเหยียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เราต้องหยุดสิ่งนี้ไม่เช่นนั้นมหาพันภพจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่” หลินต้งตอบ
“กระแสปีศาจแยกออกเป็นล้านล้านเส้นเข้าสู่มหาพันภพแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหยุดเลย” คิ้วของเซียวเหยียนขมวดเข้าหากัน
ในขณะนี้ทวีปต่างๆ ของมหาพันภพกำลังตกอยู่ในจลาจล ทุกคนมองไปที่กระแสปีศาจขณะตัวสั่นเทา ตราบใดที่สายธารเหล่านั้นไหลลงมา โลกของพวกเขาก็จะกลายเป็นนรก
ดวงตาของมู่เฉินกะพริบมองไปที่ทวีปต่างๆ ที่กำลังตกอยู่ในจลาจลก็พูดว่า “สายธารเหล่านั้นสามารถกลืนกินชีวิตเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง มิหนำซ้ำเทพปีศาจก็ซ่อนอยู่ในนั้น มันพยายามที่จะกลืนกินพลังชีวิตสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง”
หลินต้งและเซียวเหยียนหดตาลง “งั้นเราจะปล่อยให้มันทำสำเร็จไม่ได้ เจ้ามีแผนอะไรบ้างไหม?”
มู่เฉินนั่งลงพยักหน้าไปให้ทั้งสอง “ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ถ้าข้าปล่อยให้มหันตภัยนี้ได้สิ่งที่ต้องการ ข้าก็ไม่คู่ควรกับโอกาสที่มหาพันภพมอบให้ …
“ในเมื่อมันแยกตัวออกเป็นล้านล้านเส้นเพื่อกลืนกินมหาพันภพ งั้นข้าจะแสดงให้มันเห็นว่าเมื่อทุกคนในมหาพันภพรวมพลังกันแล้วก็หาใดเปรียบเช่นกัน”