หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 163 นี่คือศิษย์หลานของข้า
บทที่ 163
นี่คือศิษย์หลานของข้า
“ท่านอาจารย์”
ดวงตาสีดำของเจียงหวายเย่ก็ได้ปรากฏแววตาตกตะลึงออกมา แล้วจากนั้นเขาก็ได้วิ่งไปประคองอาจารย์ของเขาอย่างตื่นตระหนก
เทียนหยาก็ได้รีบมาหาแล้วจับไปที่ข้อมือของเขาเพื่อตรวจชีพจร แล้วจากนั้นเขาก็ได้จ้องไปที่อาจารย์ของเจียงหวายเย่ “นี่เจ้าถูกพิษอยู่ยังคิดจะมาสู้กับข้าอีกเหรอ นี่เจ้าอยากตายมากนักรึยังไงหา!”
แล้วจากนั้นเขาก็ได้จี้สกัดจุดไปยังจุดต่างๆอย่างรวดเร็วเพื่อทำการขับพิษ
“ท่านอาจารย์อา ท่านอาจารย์ของข้าไม่เป็นไรอะไรใช่ไหม?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ถามอย่างกระวนกระวาย แล้วเขาก็คิ้วขมวดและโทษตัวเอง ไม่แปลกใจเลยที่เขารู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติในขณะที่อาจารย์ของเขากำลังสู้อยู่
ผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้โบกมือของเขาไปมาด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นกังวลแต่อย่างใด “พิษแค่นี้ฆ่าอาจารย์ของเจ้าไม่ได้หรอก อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงปรมาจารย์เฉินซิวที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน”
ปรมาจารย์เฉินซิว? หลินซีเหยียนรู้สึกตกใจเมื่อนางได้ยินชื่อนี้ มีสามคนในแผ่นดินนี้ที่เป็นที่นับถือไปทั่วทุกประเทศ
หนึ่งคือนักปราชญ์เสียนอวิ๋นที่ปลีกวิเวกตัวเองอยู่ในป่าเขาลึก สองปรมาจารย์เฉินซิวที่ออกเดินทางไปทั่วโลก สามผู้เฒ่าเทียนหยาผู้ที่ไม่มีใครทราบที่อยู่ของเขา
ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญที่นักปราชญ์เสียนอวิ๋นนั้นรับหลินรั่วจิ่งรับเป็นศิษย์ แล้วปรมาจารย์เฉินซิวก็เป็นอาจารย์ของ เจียงหวายเย่ และผู้เฒ่าเทียนหยาก็เป็นอาจารย์ของนาง หรือว่านี่อาจจะเป็นชะตากรรมที่จะต้องมาผูกพันกัน?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงหวายจึงรู้ว่าท่านอาจารย์อาของเขานั้นมีวิธีที่จะช่วยอาจารย์ของเขาเป็นแน่ แล้วทั้งสองคนก็ได้ช่วยกันลากเฉินซิวมานอนที่เก้าอี้ในห้อง
หลังจากที่วางเฉินซิวลง เทียนหยาก็ได้หยิบเอาขวดยาออกมาจากแขนเสื้อของเขา จากนั้นก็หรี่สายตาของเขาลงแล้วเทเอายาออกมาเม็ดหนึ่งแล้วป้อนเข้าปากเฉินซิว แต่สีหน้าของ เฉินซิวนั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับมีสีหน้าแย่ลงกว่าเดิม
“ท่านอาจารย์ หรือว่าท่านจะหยิบขวดยาผิดขวดอีกแล้ว?”
หลินซีเหยียนก็ได้เดินออกมาแล้วผลักอาจารย์ของนางออกไปอย่างเกรงใจ “ท่านควรที่จะติดชื่อยาที่ขวดของท่าน ไม่อย่างนั้นท่านจะถูกหาว่าเป็นหมอปลอมเอาได้”
จากนั้นนางก็ได้มองไปที่เฉินซิวด้วยสีหน้าละอายใจ “ท่านอาจารย์ลุง ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆเจ้าค่ะ”
เฉินซิวยังคงมีสีหน้านิ่งเฉย หลินซีเหยียนจึงคิดว่าเขาคงจะพูดไม่ได้ แต่แล้วนางก็ได้ยินเสียงในหูของนาง “ข้าชินเรื่องแบบนี้มานานแล้ว”
เอ่อ….หลินซีเหยียนจึงเข้าใจทันทีว่าปรมาจารย์เฉินซิวนั้นจะต้องทรมานอยู่บ่อยครั้งเพราะอาจารย์ของนาง นางจึงได้รู้สึกสงสารขึ้นมา แล้วตัดสินใจที่จะรักษาท่านอาจารย์ลุงด้วยตัวเอง แล้วกันไม่ให้อาจารย์ของตัวเองเข้ามายุ่ง
ผู้เฒ่าเทียนหยาก็รู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย เขาจึงได้ที่ตามที่ลูกศิษย์เขาบอกอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็ได้เดินออกไปเพราะความเบื่อ แต่เดินออกไปแค่ไม่กี่ก้าว เจ้าลูกชิ้นขาวก็ได้พุ่งเข้ามาเกาะขาของเขา
“ท่านอาจารย์ปู่” เสียงเด็กๆนี้ทำให้เทียนหยาสั่นขึ้นมา ทำให้เขาคิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “สวรรค์! ทำไมเจ้าเด็กตัวแสบถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ในเวลานี้เขาหนีไปไหนไม่ทันแล้ว เขาจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับเจ้าเด็กตัวแสบที่มีชื่อเสียงไปทั่วเขาเทียนหยาเสียแล้ว “ทำไมเทียนเอ๋อถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“เทียนเอ๋อก็มาหาท่านแม่กับท่านอาจารย์น่ะสิขอรับ”
เทียนเอ๋อไม่ได้เจอกับเทียนหยาเสียตั้งนาน เขาคิดถึงเทียนหยามาก เทียนเอ๋อจึงได้ไม่คิดที่จะปล่อยขาของเขา ผู้เฒ่าเทียนหยาจึงได้ทำได้แค่ปล่อยเขาทำแบบนั้น
แต่ทว่า……
“อาจารย์ของเจ้า อย่าบอกนะว่าคือเจ้าเด็กตัวเหม็นเจียงหวายเย่น่ะ?”
“ท่านอาจารย์ปู่อย่ามาเรียกท่านอาจารย์ข้าว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นนะ” เทียนเอ๋อก็ได้เงยหน้าขึ้นมา แล้วบิดริมฝีปากของเขาแล้วจ้องมองไปที่ผู้เฒ่าเทียนหยาอย่างไม่พอใจ
เมื่อเห็นเทียนเอ๋อทำสีหน้าเช่นนั้น ผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้รีบเอามือกุมคางและหนวดที่เขาอุตส่าห์ไว้ยาวทันที “เจ้าตัวแสบ ข้าจะไม่ว่าอาจารย์เจ้าก็ได้ แต่เจ้าอย่ามาดึงหนวดของข้านะ”
เทียนเอ๋อก็ได้ยิ้ม แล้วเทียนหยาก็ได้ตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แล้วสิ่งที่เขาไม่อยากจะจดจำในอดีตก็ได้ผุดเข้ามาในหัวของเขา
ในเวลานั้นเทียนเอ๋ออายุได้แค่ 3 ขวบ ทั้งๆที่ควรจะเป็นเหมือนเทวดาตัวน้อยๆ แต่เทียนเอ๋อนั้นกลับเป็นเหมือนปีศาจ เทียนเอ๋อได้เผาหนวดของเขาด้วยเทียนในขณะที่เขากำลังหลับอยู่ ไม่เพียงแค่นั้นแม้แต่ผมของเขาก็ยังโดนด้วย
แต่ทว่าหลังจากนั้น เทียนเอ๋อนั้นก็เป็นเหมือนความภาคภูมิใจของเขา เพราะเขาไม่เคยเจอเด็กคนไหนที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์เท่าเทียนเอ๋ออีกแล้ว
จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่คนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ต้องไปเป็นลูกศิษย์ของคนคนนั้น!
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังอยู่ในพระราชวังรัตติกาลนั้น ภายนอกก็ได้มีข่าวใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งข่าวนี่อาจจะน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าข่าวคุณหนูห้าบ้านมหาเสนาบดีกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนเสียอีก
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าหมอผีได้เดินทางมาที่เมืองหลวงแห่งนี้น่ะ ได้ยินมาว่าเขาจะรักษาให้คน 10 คนฟรีๆนะ”
“บ้าน่า ไม่มีเรื่องดีๆเช่นนั้นเกิดขึ้นในโลกนี้หรอก หรือท่าจะมีก็คงมาไม่ถึงพวกเราหรอก”
แล้วคนคนนั้นก็ได้เดินออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ แต่ก็ยังมีคนมากมายที่ยังอยู่แล้วพูดคุยเรื่องนี้กันต่อ
แล้วข่าวนี้ก็ได้เข้าหูของหลงเยว่แห่งสำนักหมอพิษเข้าจนได้ แล้วนางก็ได้แจ้งเรื่องนี้ไปยังหลินซีเหยียนผ่านนกพิราบส่งสารของนาง
หลินซีเหยียนนั้นจะต้องเป็นหมอผีไม่ผิดแน่ ถ้าเช่นนั้นหมอผีอีกคนก็จะต้องเป็นตัวปลอม ใครกันนะที่บังอาจทำเรื่องเช่นนี้กันจะต้องวางแผนอะไรไว้แน่ๆ
ณ พระราชวังรัตติกาล หลินซีเหยียนที่กำลังรักษาท่านอาจารย์ลุงเฉินซิวอยู่นั้น ก็เห็นนกพิราบสงสารเสี่ยวฮุยบินมาที่หน้าต่าง ซึ่งนางก็ได้หยิบเอาจดหมายออกมาอ่านข้อความด้านใน
จากนั้นนางก็ได้หรี่สายตาลงแล้วยิ้ม “ดูเหมือนว่าจะมีอะไรสนุกๆเกิดขึ้นที่เมืองหลวงเสียแล้ว”
หากว่านางปล่อยเรื่องนี้โดยที่ไม่ทำอะไรเลย นางก็เกรงว่าจะมีคนอื่นอีกที่จะฉวยโอกาสเอาเรื่องนี้มาหาผลประโยชน์อีก
หลังจากที่คิดได้เช่นนั้นหลินซีเหยียนก็ได้ตอบจดหมายของหลงเยว่ โดยมีใจความบอกให้หลงเยว่นั้นส่งคนออกไปช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ให้ที
ซึ่งสานุศิษย์ของสำนักหมอพิษนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเกือบทุกคนที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขาต่างก็ได้กลายมาเป็นสานุศิษย์ด้วย
ในขณะที่หลินซีเหยียนจัดการกับเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วเตรียมที่จะกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี ผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้บอกให้นางแต่งตัวเป็นผู้ชายแล้วออกไปกับเขาที
“ท่านอาจารย์อยากให้ข้าไปที่ไหนเหรอ?”
หลังจากที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ตามผู้เฒ่าเทียนหยาออกไปยังสถานที่ห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง บ้านเรือนที่นี่ทั้งกำแพงและมุงหลังคาล้วนชำรุดทรุดโทรม ที่นี่จะต้องเป็นย่านคนจนแน่ๆ
มีสายลมเย็นพัดมาซึ่งได้พัดเอาเศษใบไม้แห้งตามพื้นลอยมาด้วย ช่วยเพิ่มบรรยากาศอ้างว้างและหดหู่ได้เป็นอย่างดี
“เจ้าคิดว่าอาจารย์ของเจ้ามาที่นี่เพื่อเที่ยวเล่นหรืออย่างไร?” อาจารย์พาเจ้ามาที่นี่เพราะพบโรคบางอย่างเข้าน่ะสิ มันเป็นโรคที่แปลกมาก แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจรักษาได้แต่ข้าก็ได้สัญญากับเด็กคนหนึ่งเอาไว้แล้วว่าจะรักษาพี่ชายของนางน่ะ”
หลินซีเหยียนก็ได้มองดูอย่างช่วยได้เมื่อได้ฟังคำพูดที่พึ่งพาไม่ได้จากปากของท่านอาจารย์ “ท่านอาจารย์ ข้ารู้สึกเหมือนท่านมาที่นี่เพื่อมาจับข้าไปใช้งานจังเลย”
ผู้เฒ่าเทียนหยาก็ไม่ได้พูดอะไรในเรื่องนี้
หลังจากที่เข้ามาในบ้านหลังหนึ่ง ตอนแรกหลินซีเหยียนก็นึกว่าจะต้องซอมซ่อมากแน่ๆ แต่ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะเล็กมาก แต่กลับมีสิ่งของที่ควรจะมีอยู่อย่างครบครัน
แล้วคนที่อยู่ในห้องที่ได้ยินเสียงพูดคุยกันก็ได้ออกมา ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายอายุน่าจะ 14-15 ปี เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้มองมาที่หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่เชื่อมั่น
แต่เสื้อผ้าของเขานั้นมันออกจะดูแปลกตาสักเล็กน้อย เพราะว่าไม่ใช่เสื้อผ้าที่ใส่กันโดยทั่วไปในรัฐเจียง
“นี่คือพี่สาวที่ท่านบอกว่าจะสามารถช่วยพี่ชายของข้าได้ใช่ไหมขอรับ?” การพูดการจาราวกับเด็กๆนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
หลินซีเหยียนไม่อยากที่จะพูดเกินจริงไปนักก็ได้กล่าว “พี่ชายของเจ้าอยู่ข้างในไหม? ข้าอยากจะดูอาการของเขาเสียหน่อยว่าข้าพอจะรักษาได้หรือไม่?”
มองไปที่แผ่นหลังของหนุ่มน้อยคนนั้น หลินซีเหยียนก็ได้หันมองอาจารย์ด้วยสีหน้าที่ยุ่งยากใจ “พวกเขาไม่ใช่ชาวรัฐเจียง?”
แล้วผู้เฒ่าเทียนหยาก็ได้ยักไหล่ด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน “ข้าไปเก็บพวกเขาได้จากข้างถนน ข้าจึงไม่รู้รายละเอียดอะไรของพวกเขา”