หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 184 งานเทศกาลบุปผาสะพรั่ง
บทที่ 184
งานเทศกาลบุปผาสะพรั่ง
หลินซีเหยียนนั้นรู้ดีว่าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมนั้นพูดความจริง นางจึงได้ไม่คิดที่จะอยู่ต่อเพื่อให้อีกฝ่ายลำบากใจจึงได้เดินจากไป
พอกลับไปที่ห้องเจียงหวายเย่ก็ยังไม่กลับมา หลินซีเหยียนจึงได้นั่งลงที่โต๊ะแล้วดื่มชาที่โรงเตี๊ยมยกมาให้ จากนั้นนางก็ได้ถูไปมาที่กำไลข้อมือของนางเล่น
ในขณะที่นางกำลังเล่นกับกำไรแก้เบื่ออยู่นั้น ก็ได้มีเสียงนกดังขึ้นมา เจ้านกน้อยขนสีเทาก็ได้ถลาลงมาเกาะบนหัวของหลินซีเหยียนแล้วเดินไปมา ทำให้ผมของหลินซีเหยียนยุ่งเหยิงเล็กน้อย
“เสี่ยวฮุย ยังไม่รีบลงมาอีก!” หลินซีเหยียนบิดริมฝีปากของนางแล้วพูดดุเจ้านกน้อย
เสี่ยวฮุยที่เหมือนมีโทรจิตก็ได้ลงมาอยู่ด้านหน้าของ หลินซีเหยียนอย่างฉลาด หลินซีเหยียนที่เห็นจดหมายที่ขาของมันแล้ว ก็ได้มีแววตาประหลาดใจในดวงตาของนาง
เมื่อเห็นว่าเจียงหวายเย่นั้นดูไม่ค่อยสนใจกับพิษในกายของเขาเท่าไรนัก หลินซีเหยียนจึงได้ฝากให้เหล่าหมอพิษช่วยกันค้นหาให้ หลังจากที่ผ่านไปเนิ่นนานในที่สุดก็ได้มีข่าวคราวมาเสียที
เมื่อนางได้หยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน นางก็พบจดหมายนั้นเขียนเอาไว้: ว่ากันว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งหวายซางนั้นมีดอกบัวทองคำอยู่ในครอบครอง
แล้วดวงตาหงส์ไฟของหลินซีเหยียนนั้นก็ได้ปรากฏซึ่งแววตาว้าวุ่นใจขึ้นมา หรือว่านี่จะเป็นพระประสงค์ของสวรรค์? นางเพิ่งได้ยินเรื่องของงานเทศกาลบุปผาสะพรั่งของหวายซางเมื่อสักครู่แท้ๆ แล้วนางก็ได้ข่าวดอกบัวทองคำนั้นอยู่ในครอบครองของสตรีศักดิ์สิทธิ์พอดีอีก
ไม่ว่าข่าวลือนี้จะเป็นจริงหรือไม่ หรือว่าอาจจะเป็นเจตนาแอบแฝงของผู้อยู่เบื้องหลังก็ตามที แต่ทั้งหมดนั้นล้วนไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญมีอยู่เพียงอย่างเดียวตั้งแต่แรกยันจบนั่นคือตามหาดอกบัวทองคำให้ได้เท่านั้น
จนกระทั่งค่ำคืนมาถึง หลินซีเหยียนที่คิดจะบอกกับ เจียงหวายเย่เรื่องนี้ในตอนที่เขากลับมาแล้วนั้น แต่รออยู่นานเท่าไรก็ยังไม่เห็นมีใครกลับมาเลยจนกระทั่งเสี่ยวเอ้อได้เคาะประตู
“แม่นางได้โปรดเปิดประตูให้หน่อย ข้าน้อยนำอาหารมาส่งให้ขอรับ”
หลินซีเหยียนที่นั่งอยู่ก็ได้เปิดประตูแล้วหรี่สายตาของนางลงแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “เสี่ยวเอ้อ ข้าไม่ได้สั่งอาหารเย็นนะ”
เสี่ยวเอ้อที่ดูไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อยนั้นก็ได้อธิบายอย่างจริงจัง “ไม่แปลกหรอกที่แม่นางจะไม่ทราบ เพราะคนที่สั่งคือคุณชายที่พาแม่นางเข้ามาในวันนี้ขอรับ”
หลินซีเหยียนก็ตกใจ ในวันนี้เจียงหวายเย่เพิ่งจะโมโหนางไป แต่กลับไม่นึกว่าเขาจะยังเป็นห่วงว่านางจะได้ทานอาหารหรือไม่
“แม่นาง?” เสี่ยวเอ้อที่เห็นหญิงสาวตรงหน้าเขานั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่จึงได้พูดด้วยเสียงอ่อยๆ “ข้าน้อยจะถือไม่ไหวแล้วขอรับ ได้โปรดให้ข้าน้อยนำเข้าไปวางก่อนนะขอรับ”
หลินซีเหยียนที่ตั้งสติได้ก็ได้เดินหลบไปด้านข้างเพื่อให้เสี่ยวเอ้อเข้ามาในห้อง
ซึ่งเหตุการณ์นี้ถูกมองดูโดยเจียงหวายเย่ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด แล้วจากนั้นเข้าก็ได้จากไปและคิดที่จะไปเบียดเสียดกับเชียนอี้ อย่างไรเสียชายร่างใหญ่สองคนกลับต้องมานอนเบียดเสียดกัน
จนกระทั่งค่ำคืนมาถึง ก็ได้มีกลุ่มคนที่แต่งตัวแปลกๆได้อาศัยยามค่ำคืนแอบลอบเข้ามาในโรงเตี๊ยม แต่ก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในแต่ละห้อง พวกก็เขาก็ได้ปล่อยควันผ่านปล้องไผ่เข้ามา
หลังจากที่เข้ามาทั้งสี่ห้องรวดเดียวแล้ว ทั้งสามคนนั้นก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกัน
“ทำไมผู้คนที่เข้ามาร่วมงานในปีนี้ตั้งมากมายถึงได้มีแต่หน้าตาไม่เอาอ่าวแบบนี้นะ? แล้วอย่างนี้จะไปเหมาะสมกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราได้อย่างไร?” พูดด้วยเสียงค่อยๆ เพื่อให้ไม่เป็นการรบกวนยามดึกที่เงียบสงบนี้
“ผู้ที่มีโชคชะตาเป็นคู่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นจะต้องอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้แหละ อย่าพูดอะไรมากเลยน่ารีบๆค้นหากันต่อเถอะ!”
แล้วอีกสองคนก็ได้เห็นด้วยแล้วรีบทำงานกันต่อ
ไม่นานนักพวกเขาก็ได้เข้ามาที่ห้องของเจียงหวายเย่ ซึ่งกลิ่นกำยานที่พิเศษนี้ได้ถูกรู้ตัวโดยเจียงหวายเย่และเชียนอี้ได้ก่อน
เชียนอี้มองไปที่เจียงหวายเย่ รอเจ้านายออกคำสั่ง ซึ่งเจียงหวายเย่ก็ได้ทำสีหน้าเป็นเชิงบอกว่าอย่าเพิ่งวู่วาม
ทั้งสองคนจึงได้นอนในท่าเดิมต่อ แล้วหลับตาและนอนเงียบๆแกล้งทำเป็นโดนผลของกำยาน พวกเขาต้องการที่จะดูว่าคนเหล่านี้ต้องการทรัพย์สินหรืออะไรกันแน่?
แล้วสามคนนั้นที่เห็นว่ายาได้ผลแล้ว ก็ได้ผลักประตูแล้วแอบเข้ามาด้านใน แล้วพวกเขาก็ได้มองไปที่เชียนอี้
“หัวหน้า เทียบกับพวกคนก่อนหน้าแล้ว คนนี้หน้าตาไม่เลวเลยนะขอรับ” พวกเขาได้จับไปที่แก้มของเชียนอี้แล้วคนรอบๆก็ผงกหัว
คนที่ถูกเรียกว่าหัวหน้านั้นก็ได้ปรากฏแสงขึ้นมาในดวงตาของเขา “เขาดูแข็งแกร่งและวรยุทธ์ของเขาก็ดูไม่เลว”
“หรือว่าจะเป็นเขา?” มีคนคนหนึ่งถามขึ้นมาลองเชิง
แต่หัวหน้าก็ได้ส่ายหัว “แต่ท่านผู้วิเศษได้บอกเอาไว้ว่าจะต้องเป็นคนที่เป็นเลิศที่สุดในบรรดาทุกคนที่นี่”
“ผู้วิเศษเป็นเหมือนเทพของพวกเราชาวหวายซาง พวกเราควรจะเชื่อฟังเขา”
หลังจากที่กล่าวจบทั้งสามคนนั้นก็ได้ดูไปที่เจียงหวายเย่ต่อ ใบหน้าของเจียงหวายเย่นั้นสวมหน้ากากเอาไว้อยู่ และเป็นหน้ากากที่มีหน้าตาเป็นปีศาจสีดำที่ทำให้ทั้งสามคนต้องตกใจ
“คนคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่นะถึงได้ใส่หน้ากากที่น่ากลัวเช่นนี้ หรือว่าจะเสียโฉม?”
หัวหน้าก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาเมื่อเขาได้ยินเช่นนี้ จึงได้ยื่นแขนออกไปจับหน้ากากของเจียงหวายเย่ แล้วจากนั้นดวงตาก็ได้เบิกกว้างขึ้นมา และปรากฏแววตายินดีในดวงตาของเขา แล้วเขาก็ได้แสดงอาการผงกหัวอย่างกระตือรือร้นไปที่เจียงหวายเย่ แล้วคนอื่นๆต่างก็พากันผงกหัว “ข้ามั่นใจว่าคนที่ผู้วิเศษบอกให้พวกเราไปหาจะต้องเป็นเขาแน่ๆ”
“ถ้าเช่นนั้นก็รีบพาเขากลับไปกันเถอะ!”
เดิมทีในตอนที่หัวหน้าได้เอามือไปจับหน้ากากของเขานั้น ก็ได้คิดที่จะจัดการกับหัวหน้า แต่พอเขาก็ได้นึกถึงตำนานเมืองหวายซางขึ้นมาได้ เขาจึงได้อดทนเอาไว้ก่อน
จากในตำนาน ผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกของชาวหวายซางนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะผู้วิเศษ พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่มีพลังพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองของพวกเขานั้นกำลังปกป้องของสิ่งหนึ่งอยู่ และฆ่าผู้คนที่เข้ามายุ่งกับสิ่งนั้นจนเหลือแต่เนื้อและกระดูก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่นั้น แต่ก็มีค่าพอที่จะเสี่ยง
แล้วทั้งสามคนก็ได้พาเจียงหวายเย่จากไปอย่างเงียบๆ เชียนอี้ก็ได้ตามเขามาด้วยอย่างระมัดระวังด้วยความกลัวว่าจะถูกพบได้
เจียงหวายเย่ที่ก็ได้ถูกพามาเข้ามาในป่าโดยคนเหล่านี้ ป่าแห่งนี้เงียบสงบมาก ไม่นานนัก ก็ได้กลิ่นของดอกไม้ที่ทำให้มึนเมาลอยเข้ามาที่จมูกของเขา
“ท่านผู้วิเศษ พวกเราพบคู่ของท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้วขอรับ”
แล้วหัวหน้ากับพรรค์พวกก็ได้วางเจียงหวายเย่ลงบนพื้น แล้วจากนั้นก็ได้รอดูว่าผู้พิเศษจะว่ายังไงต่ออยู่เงียบๆ
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะได้คำชมจากท่านผู้วิเศษ แต่คิดไม่ถึงว่าผู้วิเศษกลับพูดออกมา “พวกเจ้าไม่ระวังตัวกันเลย คนที่อยู่ที่พื้นนั่นไม่ได้สลบ เขาปล่อยให้พวกเจ้าพามาอย่างยินยอม”
เป็นไปได้อย่างไรกัน? ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากเชื่อ แต่สิ่งที่ท่านผู้วิเศษพูดนั้นจะต้องเป็นเรื่องจริง พวกเขาจึงได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างระแวดระวัง
เจียงหวายเย่ที่พบว่าตัวเขานั้นไม่อาจแสร้งทำได้อีกต่อไป เขาก็ได้ลืมตาขึ้นมาแล้วลุกขึ้นมานั่ง “ท่านผู้วิเศษรู้ได้อย่างไรว่าข้ายังไม่ได้สลบอยู่?”
ผู้วิเศษก็ได้เดินออกมาจากในถ้ำอย่างช้าๆ ไม่มีสีหน้าใดๆบนใบหน้าซีดๆของเขาราวกับว่าใบหน้าของเขานั้นถูกแกะสลักมาจากหยกยังไงอย่างนั้น และมีดวงตาคู่นั้นที่ดูไม่ธรรมดา เพราะดวงตาคู่นั้นมีสีม่วงที่ดูใสและสวยงามราวกับอัญมณีสีม่วง
ในขณะที่เจียงหวายเย่จ้องไปที่เขานั้น เขาก็รู้สึกมองมาที่เจียงหวายเย่ตอบโดยไม่แสดงสีหน้าหรือพูดอะไรออกมา
ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบ จนในที่สุดท่านผู้วิเศษก็ได้พูดทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน เขาได้ทำท่าคารวะเจียงหวายเย่จากนั้นก็กล่าว “ยินดีต้อนรับองค์ชายรัตติกาล”
จัยงหวายเย่ก็ได้หลบสายตาทันที เขานั้นรู้สึกได้ว่าผู้วิเศษที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นสามารถล่วงรู้ได้จากการจ้องหน้า
“องค์ชายรัตติกาลไม่จำเป็นต้องระแวงข้าขนาดนั้นก็ได้ เพราะอีกเดี๋ยวท่านก็จะเป็นเจ้าบ่าวของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่ง หวายซางแล้ว แล้วพวกเราก็จะได้มากเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” และแล้วก็มีอารมณ์ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่เฉยชาของผู้วิเศษ เป็นสีหน้าที่ยินดี
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มตอบแล้วมองไปรอบๆและกล่าวอย่างไม่สนใจ “เปิ่นหวางยังไม่ตอบตกลงเลยนะ”