หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 191 เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ
บทที่ 191
เป็นเรื่องจริงงั้นเหรอ?
เนื่องจากองค์ชายจากรัฐจงอยู่ด้วย มหาเสนาบดีหลินจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรเสียหน้าต่อหน้าเขาจนกระทั่งจบการทานอาหารมื้อนี้ แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นแล้วเตรียมที่จะจากไป มหาเสนาบดีหลินก็ได้มีสีหน้ามืดดำแต่ก็ไม่คิดที่จะเหนี่ยวรั้ง
หลินซีเหยียนเงยหน้าขึ้นมาเห็นความไม่พอใจในดวงตาของมหาเสนาบดีหลินแล้ว รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ได้ปรากฏที่มุมปากของนาง แล้วจากนั้นก็จากไปอย่างนิ่งเฉย
จงซู่เฟิงที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา แต่เขาเองก็ไม่ค่อยจะพอใจกับมหาเสนาบดีหลินนัก
“ท่านมหาเสนาบดีหลิน ข้ามาที่นี่แต่เช้าด้วยคำขอที่กะทันหันเช่นนี้ ข้าหวังว่าท่านมหาเสนาบดีหลินจะไม่ถือสา”
ถือสา? มหาเสนาบดีหลินจึงได้ละสายตาจาก หลินซีเหยียนแล้วยิ้ม “องค์ชายจงถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถ้าท่านขาดเหลืออะไรก็บอกข้ามาได้เลย”
หลังจากที่พูดจบ มหาเสนาบดีหลินก็ได้หรี่สายตาลงแล้วรู้สึก และเริ่มรู้สึกหมดความอดทนกับจงซู่เฟิงนิดหน่อย เขานั้นเป็นแขกของฮ่องเต้แท้ๆ แต่กลับทำตัวไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย
จากท่าทีเช่นนี้จงซู่เฟิงก็สามารถเดาได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มในดวงตาของเขาก็ได้เยือกเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านมหาเสนาบดีคงยังไม่ทราบ ช่วงนี้อาการของ เปิ่นหวางนั้นดีมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าคิดว่าคงจะไม่เป็นการเหมาะสมหากต้องอยู่ร่วมเรือนเดียวกันกับคุณหนูรอง ไม่ทราบว่าท่านมหาเสนาบดีพอจะให้ข้ายืมเรือนรู่เฟิงซางที่อยู่ติดกับเรือน เชียนเหยียนเพื่อพักอาศัยเป็นการชั่วคราวได้หรือไม่?”
เป็นเพราะเขานั้นมักเห็นภาพของหลินซีเหยียนอยู่ในใจของเขา เขาจึงไม่กล้าที่จะอยู่ร่วมกับหลินซีเหยียนในเรือนเดียวกันอีกเพราะกลัวว่าจะถูกเห็นเข้า อย่างไรก็ดีตัวเขาในเวลานี้ก็เป็นได้แค่เพียงองค์ชายที่สิ้นหวัง เขาจึงไม่กล้าที่จะลากคนอื่นไปร่วมจมหัวจมท้ายกับเขาด้วย
เรือนรู่เฟิงงั้นเหรอ? มหาเสนาบดีพูดพึมพำอยู่พักใหญ่ๆก่อนที่จะนึกขึ้นได้รางๆว่ามีสถานที่เช่นนั้นอยู่ด้วย แต่เรือนนั้นดูเหมือนว่าจะร้างอยู่ ถ้าให้จงซู่เฟิงไปอยู่ที่นั่นอาจจะเป็นปัญหาได้ คนจะหาว่าเขาดูแลจงซู่เฟิงไม่ดีก็ได้
“องค์ชายคงจะไม่ทราบ เรือนรู่เฟิงนั้นถูกทิ้งร้างมานานมากแล้ว ข้าจึงเกรงว่าอาจจะไม่เหมาะสมที่จะให้คนเข้าไปอยู่ได้” แต่หลังจากที่คิดอยู่พักหนึ่ง ก็นึกได้ว่ามีเรือนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกับหลินเสวี่ยเหยียนว่างอยู่ ซึ่งที่นั่นเหมาะสมกับจงซู่เฟิงกว่ามาก จึงได้กล่าว “ที่เรือนชิงซงนั้นทั้งสวยงามและโดดเด่น อีกทั้งยังว่างอยู่ ทำไมท่านไม่ไปอยู่ที่เรือนชินซงแทนล่ะ”
จงซู่เฟิงก็ได้คิ้วขมวด เขานั้นรู้จักตำแหน่งต่างๆในจวนมหาเสนาบดีหมดแล้ว และพบว่าเรือนชิงซงที่มหาเสนาบดีหลินกล่าวถึงนั้นอยู่ห่างจากเรือนเชียนเหยียนของแม่นางหลินมาไกลมาก
ถ้าจะต้องไปอยู่ที่นั่น เขาอาจจะไม่ได้เจอหน้า หลินซีเหยียนตลอดเช้าจดค่ำอีก จึงได้กล่าว “ถ้าเป็นที่นั่น แม่นางหลินก็จะต้องไปกลับที่นั่นเพื่อคอยดูแลเปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็คงจะรู้สึกผิดต่อนางแน่ๆ
“ถ้าเช่นนั้นท่านจะให้ข้าทำเช่นไรองค์ชายจง?” มหาเสนาบดีหลินก็ได้คิ้วขมวด แล้วรู้สึกยุ่งยากใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาของจงซู่เฟิงนั้นก็ได้หนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงอ่อนโยนเช่นเคย เขาก็ได้มองไปที่มหาเสนาบดีหลินแล้วกล่าวอย่างไม่ตั้งใจ “ถ้ามันยุ่งยากนัก พรุ่งนี้เราจะส่งคนไปแจ้งให้ฮ่องเต้ทราบ ว่าเราจะกลับไปที่ตำหนักของเราแล้ว”
ดวงตาของมหาเสนาบดีหลินก็ได้พร่ามัวขึ้นมาทันที “องค์ชายยังไม่หายดีเลย ถ้าเกิดท่านรีบกลับไปที่พระราชวังก่อนเช่นนี้ มันก็จะหมายความว่าข้าราชบริพารผู้นี้ดูแลท่านได้ไม่ดีน่ะสิ”
“เปิ่นหวางไม่ได้หมายความเช่นนั้น” จงซู่เฟิงก็ได้แกล้งทำเป็นตกใจ
“เอาอย่างนี้ องค์ชายพักอยู่ที่เรือนชิงซงไปก่อนชั่วคราว แล้วข้าจะส่งคนไปซ่อมแซมเรือนรู่เฟิงให้โดยเร็วที่สุด ขอให้ท่านใจเย็นๆอดทนรู้สึกผิดแค่ไม่กี่วันเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะลงตัว”
ก่อนที่จงซู่เฟิงจะได้พูดจบ มหาเสนาบดีหลินก็ได้รีบตัดสินใจแล้วจากนั้นก็ได้สั่งให้คนไปช่วยจงซู่เฟิงย้ายข้าวของไปยังเรือนใหม่
แล้วเขาก็ได้เดินไปหาหลินซีเหยียนอย่างฉุนเฉียว
ณ เรือนเชียนเหยียน หลินซีเหยียนที่กลับมายังเรือนเชียนเหยียนนั้นก็พบว่าเจ้าลูกชิ้นขาวนั้นตื่นนอนแล้ว ในเวลานี้เขากำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ ในมือถือช้อนเล็กๆอยู่และกำลังทานข้าวต้มอยู่
“ท่านแม่” เมื่อเห็นหลินซีเหยียน เทียนเอ๋อก็ได้เรียกนางอย่างดีใจ
ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้อ่อนโยนลงมา ในขณะที่นางกำลังเดินไปหาเทียนเอ๋อและนั่งลงนั้น ก็พบว่ามีเงาตะคุ่มๆอยู่ข้างนอก แต่ก่อนที่หลินซีเหยียนจะเห็นคนคนนั้นได้ชัด ก็ได้มีคนคว้านางเข้าไปไว้ในอ้อมแขนของเขา
“มหาเสนาบดีหลินช่างกล้านัก เขาบังอาจจ้างคนให้มาพาเจ้าไปจากข้า”
เสียงที่เยือกเย็นดังเข้ามาในหูของหลินซีเหยียน ก็ทำให้หลินซีเหยียนละทิ้งความคิดที่ดื้อรั้นของนางทิ้งไป แล้วถามกลับอย่างเหนื่อยอ่อน “องค์ชายทานข้าวเช้ามาแล้วหรือยัง?”
“ยังเลย เรานั้นอยากที่จะทานร่วมกับเหยียนเอ๋อน่ะ” ลมหายใจที่ทั้งชื้นและอุ่นได้พ่นเข้ามาที่คอของหลินซีเหยียน ซึ่งทำให้นางรู้สึกจักจี้ขึ้นมาเล็กน้อย
ส่วนเจ้าลูกชิ้นขาวที่ถูกลืมโดยทั้งสองคนนั้นก็ได้มองมาที่ทั้งคู่ด้วยใบหน้าแดงๆ และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข เพราะนอกจากท่านแม่แล้ว ก็มีท่านอาจารย์ที่เขารักมาก หากว่าทั้งสองคนนี้อยู่ร่วมกันได้ ก็จะเป็นเรื่องที่มีความสุขสุดๆสำหรับเขา
ดังนั้นเทียนเอ๋อที่ได้ยินว่าเจียงหวายเย่นั้นยังไม่ได้ทานข้าวมา เขาจึงได้ไปเรียกรั่วฉุ่ยอย่างขันแข็ง “พี่รั่วฉุ่ย ช่วยเอาข้าวต้มมาให้อีกชามทีขอรับ!”
รั่วฉุ่ยที่รออยู่ไม่ไกลนั้นก็ได้มีสีหน้าประหลาดใจ แล้วก็รีบผงกหัวและกลับเข้าไปในห้องครัว
เมื่อได้ยินเสียงของเทียนเอ๋อ หลินซีเหยียนก็ได้ตั้งสติได้แล้วผลักเจียงหวายเย่ออกไป ขณะที่เจียงหวายเย่นั้นก็ได้เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาที่มุมปากของเขา โดยสามส่วนเพื่อแสดงถึงความยินดี ส่วนอีก 7 ส่วนเพื่อเย้ายวน
จากไม่ใช่เพราะหน้ากากสีดำที่น่ากลัวที่อยู่บนใบหน้าของเขาแล้ว เกรงว่าหลินซีเหยียนก็คงจะถูกรอยยิ้มนั้นล่อลวงเป็นแน่
ในขณะที่มหาเสนาบดีหลินได้มาถึงที่เรือนเชียนเหยียนนั้น เขาก็พบทั้งสามคนกำลังทานข้าวกันอย่างมีความสุข พวกเขานั้นดูเหมือนครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกมาก
แล้วที่มุมปากของเขาก็ได้กระตุกขึ้นมาแล้วจากนั้นก็ได้พูดโพล่งขึ้นมา “เจ้า นังลูกไม่รักดี กลางวันแสกๆเช่นนี้เจ้ายังกล้าอยู่กับผ…ผู้ชาย ช่างไม่รักนวลสงวนตัวยิ่งนัก”
ในชั่วขณะที่มหาเสนาบดีกำลังต่อว่าหลินซีเหยียนนั้น ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้ปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมา แต่ในใจของเขารู้สึกประหลาดใจมากกว่า มีพ่อแบบไหนในโลกนี้กันที่ฟังความข้างเดียวเช่นนี้
และยังต่อว่าลูกเสียๆหายๆเช่นนี้ ช่างเป็นพ่อที่แย่เสียจริงๆ
มหาเสนาบดีหลินที่อยู่ที่ประตูทางเข้าเรือนนั้น ก็ได้เดินไปหยิบไม้กวาดขึ้นมาหมายจะฟาดใส่เจียงหวายเย่ ก็ได้มีแววตาประชดประชันปรากฏขึ้นที่ดวงตาของเขา เจียงหวายเย่นั้นทำเป็นไม่รู้เรื่องและยังนั่งนิ่งอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ในขณะที่ไม้กวาดกำลังจะฟาดเข้ามาที่เจียงหวายเย่นั้น เขาก็ได้หลบฉากออกไปแล้วจากนั้นก็ได้ใช้ขายาวๆของเขาเตะไปที่มหาเสนาบดีหลินเต็มแรง
เมื่อเทียนเอ๋อเห็นเช่นนั้น เขาก็ได้ปรบมืออย่างยินดีแล้วตะโกน “สู้ได้ดี ท่านอาจารย์ช่างสุดยอดจริงๆขอรับ เขาน่ะชอบทำร้ายข้ากับท่านแม่ตลอดเลย”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเทียนเอ๋อ อารมณ์ของเจียงหวายเย่ก็ดีมากราวกับพระอาทิตย์ แล้วเขาก็ได้ลูบหัวของเทียนเอ๋อ แต่ที่ดวงตาของเขาก็ได้มองเห็นแววตาที่ยังไม่ยอมแพ้ของมหาเสนาบดีหลินที่สั่งข้ารับใช้ของเขา
“เจ้าพวกเลี้ยงเสียข้าวสุก มามัวยืนมองอะไรกันอยู่? ทำไมยังไม่รีบมาจับเจ้าชายชู้นี่ให้ข้าอีก”
ในขณะที่หลินซีเหยียนมองไปที่การเคลื่อนไหวของ เจียงหวายเย่อยู่นั้น นางก็แค่คิดอยากดูอะไรสนุกๆเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าจะยินคำพูดดูถูกเช่นนั้นออกมาจากปากของมหาเสนาบดีหลิน
ถ้าเจียงหวายเย่เป็นชายชู้แล้ว ก็เกรงว่านางนั้นเป็นเพียงหญิงร่านในสายตาของมหาเสนาบดีหลิน
แล้วรอยยิ้มที่มุมปากของนางก็ได้หายไป แล้วคิ้วของนางก็เต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก “ท่านมหาเสนาบดีหลินรู้หรือไม่ว่าตัวเองนั้นกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ?”
“แน่นอนสิ ถ้าข้ารู้ว่าเจ้านั้นจะไร้ยางอายเช่นนี้ ข้าคงจะบีบคอฆ่าเจ้าให้ตายเสียตั้งแต่ตอนที่เจ้าเกิดแล้ว แบบเดียวกับแม่ของเจ้า”
ทันทีที่เขาพูดจบ เรือนเชียนเหยียนก็ได้ตกอยู่ในความเงียบทันที แต่มหาเสนาบดีหลินที่กำลังโกรธอยู่นั้นกลับไม่รู้ตัวเลย