หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 211 หัวใจของผู้หญิงมักมีพิษร้าย
บทที่ 211
หัวใจของผู้หญิงมักมีพิษร้าย
แล้วเหล่าข้ารับใช้ที่ถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอกต่างก็พากันเงียบสนิท มหาเสนาบดีหลินก็ได้หยิบเอาแทงเหล็กแล้วฟาดลงไปที่หน้าของแต่ละคน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้ง ถ้าไม่มีใครยอมรับผิด ข้าจะขายพวกเจ้าทุกคน”
เป็นที่รู้กันดีว่าเหล่าข้ารับใช้ทั้งชายและหญิงของตระกูลขุนนางนั้น หากว่าทำอะไรผิดพลาดแล้วถูกขาดต่อนั้นมักจะมีจุดจบที่ไม่ค่อยดีนัก
พวกสาวใช้นั้นจะถูกซื้อไปยังสถานที่อย่างว่าแล้วถูกย่ำยีโดยพวกชายหยาบกร้านที่ค้ามนุษย์
ส่วนข้ารับใช้ชายจะถูกเนรเทศไปยังดินแดนที่หนาวเย็นแล้วจะถูกใช้ทำงานจนตาย
ไม่มีใครที่อยากจะมีจุดจบเช่นนี้ แล้วแม่นมของทารกนี้ก็ได้ลุกขึ้นยืน แม่นมคนนี้ดูธรรมดามาก ซึ่งในฐานะแม่นมแล้ว นางเพิ่งจะให้นมทารกแค่หนเดียว แล้วทารกน้อยคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว
นางนั้นถึงจะเสียใจมากกับเรื่องนี้ แต่น้ำในเรือนในของจวนมหาเสนาบดีนั้นช่างขุ่นมัวมาก นางนั้นแม้ไม่อยากจะเข้าร่วมแต่ในเวลานี้ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว
นางจึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอย่างตื่นกลัว “ท่านมหาเสนาบดีเจ้าคะ วันนี้ที่นอกห้องของฮูหยินอิน ข้าน้อยพบปี้อวิ๋นที่มีท่าทีรีบร้อนอยู่ด้วยเจ้าค่ะ”
ปี้อวิ๋น? นั่นชื่อสาวใช้ส่วนตัวของฮูหยินอวี้นี่นา นางนั้นมักจะอยู่กับฮูหยินอวี้ตลอดเวลา แล้ววันนี้ทำไมนางถึงไม่โผล่มาเลย
มหาเสนาบดีหลินก็ได้คิ้วขมวดแล้วมองไปที่ฮูหยินอวี้โดยไร้ซึ่งความโกรธ “สาวใช้ของเจ้าไปไหนแล้ว ฮูหยินอวี้?”
“ท่านพี่ ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ปี้อวิ๋นมาหาข้าเมื่อเช้านี้เพื่อขอตัวลา นางบอกว่าพ่อของนางนั้นเสียชีวิตและขอได้ขอเงินไปทำศพด้วยเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่านางติดตามข้ามานานหลายปีแล้วจึงได้ยอมให้นางไปค่ะ” ฮูหยินอวี้มีสีหน้าสับสน ซึ่งหลังจากที่นึกออกแล้ว นางก็ได้บอกกับทุกคนไปอย่างตรงๆว่าปี้อวิ๋นไปที่ไหน
“หรือว่านางจะหนีความผิดกัน?” หลินซีเหยียนที่มองดูเรื่องนี้อย่างตื่นเต้นอยู่นั้น จู่ๆก็พูดบางอย่างออกมา
ประโยคนี้ได้ปลุกให้มหาเสนาบดีหลินเดือด มหาเสนาบดีหลินจึงได้รีบส่งคนออกไปยังบ้านเกิดของปี้อวิ๋นเพื่อไล่ล่าตัวนาง “พวกเจ้าจะต้องไปลากตัวนังนั่นกลับมาให้ได้ ข้าจะต้องเห็นนังนั่นไม่ว่าจะเป็นหรือตาย”
ฮูหยินอินที่เสียเลือดมากและร่างกายที่อ่อนแอหนักตั้งแต่เมื่อวานนี้ แล้ววันนี้นางยังก่อเรื่องใหญ่อีกจึงได้รู้สึกง่วงขึ้นมา หลินซีเหยียนที่เห็นเช่นนั้นก็ได้จากไป
แต่ก่อนที่นางจะออกไป นางก็ได้มองไปที่ฮูหยินอินเป็นการเตือน
กลับไปที่เรือนเชียนเหยียน หลินซีเหยียนนั้นพบแต่ เทียนเอ๋อแต่ไม่พบเจียงหวายเย่ นางจึงได้ถามจี๋เฟิงว่าชายคนนั้นไปที่ไหน จี๋เฟิงก็ได้ตอบแค่ว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”
อย่างไรเสียเจียงหวายเย่นั้นก็เป็นเจ้านายของเขา เขาจะรายงานให้นางฟังได้อย่างไรว่าเขาไปที่ไหน? แต่ในเวลานี้ เจียงหวายเย่นั้นได้สูญเสียความสามารถของเขาทั้งหมดไปแล้ว!
ส่วนเจียงหวายเย่ที่ออกจากจวนมหาเสนาบดีไปนั้น ก็ได้กระโดดขึ้นขี่ม้าแล้วมุ่งหน้าไปยังกุ้ยโจว เพราะหลังจากที่ผ่านไปนาน ดอกบัวทองคำก็ได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เจียงหวายเย่จึงได้มาที่นี่เพื่อตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
“องค์ชายขอรับ ในเวลานี้ท่านไม่มีกำลังภายในแล้ว ได้โปรดปล่อยให้ข้าน้อยไปตรวจสอบก่อนเถอะขอรับ”
ดอกบัวทองคำนั้นเป็นสมุนไพรหายากที่ร้อยปีจะมีสักครั้ง ถ้าหากอยากจะได้มันมาก็จำเป็นต้องผ่านภยันตรายที่คาดไม่ถึง แต่สภาพขององค์ชายนั้นไม่อำนวยนัก เขาจึงจำเป็นที่จะต้องดูองค์ชายให้ดี
เจียงหวายเย่ก็ไม่ตอบคำถาม แต่กลับมองด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด
ระหว่างทางไปกุ้ยโจว เพราะอากาศที่ร้อนและมุ่งหน้าโดยไม่หยุดพัก พวกเขาจึงเหงื่อออกอย่างมาก มันเป็นระยะทางไกลแต่พวกเขาก็ไม่พบร้านน้ำชาที่ไหนระหว่างทางเลย
ในขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปตามทางเรื่อยๆอยู่นั้น ก็ได้มีร่มเงาปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา ร่มเงานี้ได้นำพาความเย็นมาให้ ซึ่งทำให้ร่างกายของพวกเขาผ่อนคลายจากการโดนแดดเผา
เพราะว่าพวกเขารู้สึกสบายขึ้นมา จึงได้ผ่อนคลายการป้องกันลงมา แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆก็มีคนในชุดดำมากมายโผล่มาล้อมพวกเขาเอาไว้ ทันทีที่พวกเขาโผล่มาก็ได้พากันขว้างอาวุธลับใส่เต็มท้องฟ้า
ภายใต้แสงแดดจ้า อาวุธลับเหล่านี้ได้เปล่งแสงสีเขียวที่น่ากลัวออกมา ทำให้ทุกคนต้องระวังตัวมากขึ้น เพราะอาวุธลับเหล่านี้มีพิษเคลือบอยู่ด้วย
แล้วหน่วยพันกลที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็ได้โผล่ออกมาตรงหน้าเพื่อปกป้องความปลอดภัยของท่านประมุขของพวกเขา จากความสามารถของพวกเขาแล้วเหล่าคนชุดดำเหล่านี้สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
แต่ในครั้งนี้ มันต่างออกไป เพราะคนชุดดำเหล่านี้ล้วนมีวรยุทธ์ที่สุดยอด
“พวกเจ้ารู้ไหมว่านายของพวกเราคือใคร?”
เชียนอี้นั้นได้ทำตามกฎของการต่อสู้ที่ต้องแจ้งนามออกไปก่อน ซึ่งถ้าอีกฝ่ายรู้แต่ยังเลือกที่จะสู้ต่อ ก็หมายความว่าอีกฝ่ายนั้นได้เตรียมการมาแล้ว
แต่คนเหล่านี้กลับไม่ตอบอะไร แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขากลับดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ และมีบางคนที่ยอมลงทุนสู้แบบถวายชีวิต
พวกเขานั้นเหมือนสัตว์ป่าที่กระหายหิว ถึงแม้พวกเขาจะฆ่าเหยื่อไม่ได้ก็พร้อมที่จะลากเหยื่อไปตายพร้อมกับพวกเขาได้
โดยอาศัยช่องว่างในการป้องกันของหน่วยพันกล แล้วทำการขว้างมีด 3 เล่มใส่เจียงหวายเย่ มีดทั้งสามเล่มนี้ดูโดดเด่นมาก เป็นงานฝีมือที่ดูงดงามมาก ราวกับมีดทั้งสามเล่มนั้นคือขนนกยังไงอย่างงั้น
ในอดีตการลอบโจมตีเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับ เจียงหวายเย่ แต่ในเวลานี้เจียงหวายเย่นั้นได้สูญเสียกำลังภายในไปแล้ว
มองดูขนนกที่พุ่งเข้ามา ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้ปรากฏแสงขึ้นมาแล้วจากนั้นก็ได้หลบออกข้าง การหลบของเขานั้นดูเชื่องช้ามาก แล้วจากนั้นก็ได้จ้องไปที่ผู้หญิงที่ใช้มีดขนนกนั้นแล้วกล่าว “ไม่นึกเลยว่าเพื่อที่จะฆ่าประมุขหอคนนี้ ถึงกับต้องจ้างอวี่ชาจากหอนักฆ่ามาเลยเหรอเนี่ย เราประมุขหอควรจะดีใจที่ถูกประเมินค่าเอาไว้สูงขนาดนี้ดีไหมนะ?”
หญิงสาวที่คลุมด้วยชุดดำทั้งตัวนั้น ชุดดำของนางนั้นรัดแน่นเสียจนขับเน้นรูปลักษณ์ของนางให้เห็นชัดเจน ในเวลานี้นางได้บุกเข้าโจมตีเจียงหวายเย่อย่างต่อเนื่อง
นางก็ได้ยิ้มและกล่าว “ข้าเองก็ไม่นึกเหมือนกับว่าประมุขหอพันกลนั้นจะเป็นแค่คนธรรมดาๆที่ไร้กำลังภายในเช่นนี้”
ทันทีที่พูดออกไปเช่นนี้ ผู้คนรอบตัวเขาก็ได้พากันแข็งทื่อทันที ในขณะที่เหล่าคนชุดดำต่างก็ยินดีอย่างมาก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถทำงานในครั้งนี้เสร็จได้ง่ายๆเสียแล้ว
บางคนที่มองเรื่องนี้ก็ได้ต่างก็พากันไปถอยออกไป ส่วนเจียงหวายเย่ก็ยังนิ่งสงบและไม่ร้อนรนใดๆ ต่อให้ฟ้าจะถล่มลงมาก็ตาม
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ฝ่ายตรงข้าม แล้วริมฝีปากของเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมาภายใต้หน้ากากสีดำที่ดูดุดันนั้น “อวี่ชา คิดว่าวันนี้เจ้าจะสามารถหยุดเราประมุขหอได้จริงๆเหรอ?”
อวี่ชาก็ได้ปิดปากของนางแล้วหัวเราะ เสียงหัวเราะที่ใสของนางนั้นไพเราะราวกับเสียงของกระดิ่ง “ท่านประมุขหอช่างอารมณ์ขันเสียจริง แต่ข้าได้รับเงินมาแล้ว ก็ต้องจัดการเก็บผู้อื่นให้ได้!”
ทันทีที่พูดออกมา อวี่ชาก็ได้ใช้มือทั้งสองข้างของนางข้างมีขนนกออกมาสองเล่มอย่างรวดเร็ว
เชียนอี้ที่เห็นเข้าก็ได้คิดที่จะกลับไปหาเจียงหวายเย่ แต่เขากลับถูกขวางเอาไว้ทำให้ไม่สามารถถอยกลับไปได้
ในชั่วขณะวิกฤตินั้นเอง กระบี่ยมโลกที่ติดอยู่ที่เอวของเจียงหวายเย่ก็ได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างชัดเจน แล้วจากนั้นก็เหมือนกับมีจิตวิญญาณ เจียงหวายเย่ก็ได้ทำการชักกระบี่ออกมาปัดมีดคมๆของอวี่ชาออกไป
แล้วก็ปรากฏซึ่งความตกใจจากในดวงตาของอวี่ชา แล้วกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ว่ากันว่ากระบี่ยมโลกและกระบี่สวรรค์นั้นเป็นกระบี่คู่ แล้วทั้งคู่ต่างก็มีจิตวิญญาณในตัวและจะเลือกนายของมันเอง ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเรื่องจริง”
หลังจากที่ตกใจเสร็จ ที่เหลือต่างก็รู้สึกโลภขึ้นมา ราวกับว่าต่างก็อยากที่จะได้มันมาใช้เอง
แต่ทว่านางนั้นไม่อาจที่จะทำตามที่นางคิดไว้ได้ เพราะว่าวิญญาณที่อยู่ในกระบี่ยมโลกนั้นคือเจ้าหน่อเขียวที่ หลินซีเหยียนเลี้ยงดูมา หลังจากที่ทำการหลอมรวมมาเป็นเวลานาน ในที่สุดมันก็หลอมรวมเข้ากับกระบี่ยมโลกอย่างสมบูรณ์ แล้วทำให้มีพลังวิญญาณมหาศาล
เจ้าหน่อเขียวนั้นก็รู้ดีว่าคนที่อยู่กับเขานั้นคือคนรักของเจ้านายของเขา เขาจึงจะต้องปกป้องคนคนนี้ไม่ให้ถูกแย่งชิงไปโดยผู้หญิงน่ารังเกียจเด็ดขาด