หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 223 พิธียอมรับจากบรรพชน
บทที่ 223
พิธียอมรับจากบรรพชน
ฮูหยินอวี้ที่เห็นลูกชายนั่งอยู่ที่พื้นเย็นๆ ก็รู้สึกหดหู่และรีบไปดึงหลินเฉิงอวี้ให้ลุกขึ้นมานั่ง
“เฉิงอวี้ ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
ฮูหยินอวี้นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าใจ แต่นางก็ไม่อาจห้ามไม่ให้หลินหนานเฟิงกลับเข้าตระกูลได้ หลังจากวันนี้ไปเกรงว่าเหล่าลูกๆจวนมหาเสนาบดีจำต้องจัดลำดับกันใหม่
โดยหลินหนานเฟิงเป็นบุตรคนโต, หลินหัวเยว่เป็นบุตรีคนที่สอง, หลินซีเหยียนบุตรีคนที่สาม, หลินเสวี่ยเหยียนบุตรีคนที่สี่, หลินเฉิงอวี้บุตรคนที่ห้า และหลินรั่วจิ่งบุตรีคนที่หก
และเพราะว่าเป็นพิธียอมรับจากบรรพชนและกลับเข้าสู่ตระกูลนั้นเป็นพิธีที่สำคัญมาก การเตรียมการจึงได้ยุ่งยากมาก
ในห้องโถงมีผู้อาวุโสของตระกูลมากมายที่ถูกเชิญมา พวกเขาได้มารวมตัวกันแล้วพากันพูดถึงในวันนั้น เพื่อมาหารือและเลือกฤกษ์ยามที่เหมาะสมที่จะเปิดห้องบรรพชน
แล้วการหารือนี้ก็เป็นไปตลอดทั้งบ่าย หลินหนานเฟิงนั้นยังคงมีสีหน้าที่สงบนิ่งในเรื่องนี้ กลับกันหลินเฉิงอวี้ที่มองดูอยู่นั้น ใบหน้าของเขานั้นเริ่มจะหมดความอดทนแล้ว
“ผู้อาวุโส ทำไมพวกท่านถึงจริงจังกันนัก? เขาเป็นแค่ลูกนอกสมรสเท่านั้น!”
หลินเฉิงอวี้นั้นเคยชินกับการเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของมหาเสนาบดีหลินทำให้เขาไม่เคยเกรงกลัวฟ้าดิน จึงเกรงว่าจะไม่มีใครที่สามารถเปลี่ยนนิสัยที่เต็มไปด้วยความอวดดีและข่มเหงผู้อื่นของเขาได้
แต่น่าเสียดายที่ในวันนี้แตกต่างไปจากในอดีตแล้ว ผู้สืบทอดตระกูลคนโตกลับมาแล้วอีกทั้งยังคาดหวังได้มาก ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลจึงมีความคิดเห็นชัดเจนว่าใครกันแน่ที่สำคัญกว่า
“คุณชายห้าคิดผิดแล้ว ถึงแม้คุณชายใหญ่จะเป็นลูกคนธรรมดา แต่เขาก็เป็นลูกชายคนโต เรื่องเช่นนี้จะไม่ใส่ใจไม่ได้!”
หนึ่งในผู้อาวุโสที่เป็นชายชราผมและหนวดสีขาวนั้น โต้แย้งกับคำพูดของหลินเฉิงอวี้
“ท่านลุงสี่หมายความว่าอย่างไร? จะบอกว่าลูกชายคนโตมันยิ่งใหญ่มากนักเหรอ?”
ตั้งแต่หลินหนานเฟิงกลับมานั้น หลินเฉิงอวี้ก็ได้กลัวมากว่าตัวเขาจะสูญเสียตำแหน่งของเขาไป จึงทำให้เขาเปราะบางกับเรื่องนี้มาก เขารู้สึกราวกับว่าชายชราผู้นี้กำลังดูถูกเขาอยู่
โดยไร้ซึ่งการถามหาเหตุผล เขาก็ได้ลุกขึ้นยืนทันที ยกกำปั้นขึ้นมาแล้วเดินไปหาลุงสี่ “ท่านลุงสี่ข้าจะบอกอะไรให้นะ ต่อให้เขากลับมาแต่ผู้สืบทอดตระกูลมหาเสนาบดีหลินก็ยังเป็นข้าอยู่ดี!”
ลุงสี่นั้นแม้จะถูกจับคอเสื้อเอาไว้ แต่เขาก็หาได้กลัวไม่ และสายตาที่ดูหมิ่นของเขาก็ได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
สายตาที่มีความหมายเช่นนี้ ได้เสียดแทงเข้าไปในหัวใจที่แข็งแกร่งแต่ก็เปราะบางของเขา
“ตาแก่เน่าเหม็น เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน? อย่าได้มาทำตัวไร้ยางอายและยั่วโมโหข้าแบบนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าให้ดู”
วาจารุนแรงที่ล่วงเกินเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเช่นนี้ ทำให้เหล่าผู้อาวุโสต้องพากันหันหัวไปหาหลินเฉิงอวี้ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจบนใบหน้าของพวกเขา “นี่คือท่าทีของเจ้าในการพูดกับผู้อาวุโสอย่างนั้นรึ?”
หลินเฉิงอวี้ที่ราวกับได้ยินอะไรสนุกๆ ก็ได้ยิ้มขึ้นมาที่มุมปากอย่างอวดดีและดื้อรั้น “ผู้อาวุโสงั้นเหรอ? พวกเจ้าคู่ควรงั้นเหรอ?”
แล้วทันใดนั้นเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลก็ได้มีสีหน้าคล้ำด้วยความโกรธทันที พวกเขานั้นต้องการที่จะให้มหาเสนาบดีหลินมาดุเขา แต่ทว่ามหาเสนาบดีหลินนั้นมีธุระด่วนและรีบออกไปก่อน พวกเขาจึงทำได้แค่กลืนน้ำลายแล้วรอให้มหาเสนาบดีหลินกลับมา
หลินซีเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆหลินหนานเฟิงนั้นก็ได้มองดูเหตุการณ์นี้อยู่อย่างเงียบๆ แล้วนางก็ได้พูดกับหลินเฉิงอวี้ด้วยเสียงเบาๆ “เฉิงอวี้ เจ้าพูดเช่นนั้นกับผู้อาวุโสของพวกเราได้อย่างไร? ทำไมเจ้าถึงได้ทำตัวไร้มารยาทเช่นนั้น?”
“ใช่แล้ว!” เมื่อเห็นว่ามีคนโมโหร่วมไปกับพวกเขา ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็ได้มีแสงปรากฏในดวงตาของพวกเขาชั่วขณะหนึ่ง “คุณหนูสามกล่าวถูกแล้ว”
หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วก้มหัวเล็กน้อยให้กับพวกเขา
ในสายตาของหลินเฉิงอวี้แล้ว การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการตบหน้าเขาชัดๆ ทำให้หลินเฉิงอวี้กลายเป็นหมาบ้าที่เที่ยวไล่กัดคนอื่นในทันที
เขาจึงได้ยกกาน้ำชาตรงหน้าเขาขึ้นมาอย่างแรง ทำให้ชาในกาสาดกระเซ็นไปทั่ว แล้วหลินเฉิงอวี้ก็ได้ขว้างกาไปยังหน้าของหลินซีเหยียนด้วยความอาฆาตเป็นร้อยเป็นพัน
ถ้าเกิดว่าโดนขึ้นมาก็เกรงว่าจะต้องเสียโฉมแน่นอน
สำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนแล้ว ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย!
แล้วทุกคนในห้องนั้นต่างก็หยุดนิ่งแล้วหันไปมองกาน้ำชานั้น หลินซีเหยียนนั้นนั่งอยู่ที่เก้าอี้มีพนักพิง อีกทั้งยังมีคนนั่งอยู่ข้างๆนางอีก จึงทำให้นางไม่สามารถถอยหรือหลบไปไหนได้!
ส่วนที่นั่งอยู่อีกฝั่งคือเหล่าพี่สาวน้องสาวที่เกี่ยวพันทางสายเลือดของหลินซีเหยียนที่หาได้มีความกังวลใดๆ และแอบมีสายตาคาดหวังในดวงตาของนาง
โดยเฉพาะหลินเสวี่ยเหยียนที่มีรอยยิ้มอยู่ปากของนางโดยไม่ปิดบังใดๆ
หากว่าหลินซีเหยียนนั้นเสียโฉมแล้ว องค์ชายจงก็จะเป็นของนาง หลินเสวี่ยเหยียนในเวลานี้จึงรู้สึกชื่นชมกับการกระทำของหลินเฉิงอวี้มาก
กาน้ำชาที่แตกจะบาดใบหน้าขาวๆและนุ่มนวลของ หลินซีเหยียน แต่ทว่ากำลังถูกกันโดยแขนเสื้อของใครบางคนเอาไว้ได้อย่างทันท่วงที
เมื่อสะบัดแขนเสื้อ เศษกาน้ำชาที่ติดอยู่ที่แขนเสื้อก็ได้ร่วงหล่นลงไปกองที่พื้น หลินหนานเฟิงที่มีใบหน้าสงบนิ่งก็ได้เริ่มโมโหขึ้นมา เขาได้เงยหน้ามาอย่างช้าๆแล้วจ้องไปที่หลินเฉิงอวี้
ขาของหลินเฉิงอวี้ก็ได้รู้สึกสั่นขึ้นมาทันทีที่เห็นเช่นนี้
“พี่ห้าอาจจะรู้สึกสับสนเพราะความโกรธถึงได้ทำเช่นนี้ลงไป ข้าขอให้พี่ใหญ่อย่าได้ถือสาเขาเลย”
มือทั้งสองข้างนางได้มากอดหลินเฉิงอวี้เอาไว้ก่อนที่เขาจะทำอะไรโง่ๆลงไปอีก ใบหน้าของหลินรั่วจิ่งนั้นอ่อนโยนมากแล้วเสียงของนางก็ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
น้องสาวที่สวยงามและเห็นอกเห็นใจคนอื่นเช่นนี้ หากนางขอแล้วพี่ใหญ่จะไม่ไว้หน้านางได้อย่างไร?
หลังจากที่ความเงียบผ่านไปเป็นระยะเวลาสั้นๆ ทุกคนก็คิดว่าเรื่องนี้คงจะจบแล้ว แต่หลินหนานเฟิงกลับจ้องไปที่น้องสาวของเขาด้วยดวงตาที่เย็นชาแล้วพูดขึ้นมา “ข้าจะไม่ให้อภัยเขา เขาทำรุนแรงแบบนี้จะต้องถูกลงโทษ!”
หลินรั่วจิ่งก็ได้คิ้วขมวด แล้วมีแววตาที่มืดดำปรากฏในดวงตาของนาง นางนั้นแอบสงสัยว่าหลินซีเหยียนคงได้มอบผลประโยชน์อะไรบางอย่างให้หลินหนานเฟิงเป็นแน่ ถึงทำให้อีกฝ่ายต้องออกมาปกป้องนางเช่นนี้
โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลแล้ว หลินรั่วจิ่งนั้นไม่อาจที่จะมองดูพี่ชายของนางถูกทำร้ายได้
“พี่ใหญ่ท่านเพิ่งกลับเข้ามาในบ้านมหาเสนาบดี แล้วน้องของท่านก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร ขอให้ท่านพี่ช่วยปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปด้วย!” หลินรั่วจิ่งก็ได้กล่าวโดยแฝงด้วยคำขู่ “ไม่อย่างนั้นหากเกิดเป็นเรื่องวุ่นวายขึ้นมาแล้วมันจะทำลายชื่อเสียงของท่านพี่ได้นะเจ้าคะ”
“ข้าไม่สน” คำพูดของหลินหนานเฟิงนั้นยังคงสั้นแต่ได้ใจความ
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่คนที่อยู่ตรงหน้าของนาง แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมา ซึ่งต่างไปจากรอยยิ้มดูถูกเมื่อก่อนหน้านี้แต่เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากหัวใจของนาง
เป็นรอยยิ้มที่งดงามและน่าหลงใหล แต่น่าเสียดายที่ถูกบังโดยหลินหนานเฟิงจึงได้ไม่มีใครเห็น
ในเวลานี้หลินรั่วจิ่งกำลังคิดหาทางออก นางจึงได้ปล่อยหลินเฉิงอวี้แล้วเดินไปหาหลินซีเหยียน “พี่สาม ท่านพี่ช่วยพูดอะไรหน่อยเถอะ!”
“หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มแล้วแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง “จะให้ข้าพูดอะไรเหรอ?”
“ข้ารู้ว่าพี่สามนั้นเป็นคนที่จริงใจใจดีอยู่เสมอ ข้าไม่คิดว่าท่านพี่จะถือโทษโกรธพี่ห้าหรอกใช่ไหม?” หลินรั่วจิ่งก็ได้สรรเสริญเยินยอหลินซีเหยียนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง
“น้องหกกล่าวชมเกินจริงไปแล้ว ทั่วทั้งบ้านมหาเสนาบดีมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าข้าเป็นคนที่ไม่อาจปล่อยให้เม็ดทรายในดวงตาได้ และย่อมมีการเอาคืนตามมาเสมอ”
“พี่ใหญ่กับพี่สาม จะต้องให้พี่ห้าทำเช่นไรพวกท่านถึงจะยกโทษให้เขาเหรอ?”
เมื่อได้ยินที่พูดหลินซีเหยียนก็ได้มองดูอย่างครุ่นคิด “เมื่อสักครู่หลินเฉิงอวี้นั้นคิดที่จะทำให้ข้าเสียโฉม ถ้าเช่นนั้นข้าจะลงโทษให้เขาคุกเข่าแล้วขอโทษข้าก็พอ”
แต่ก่อนที่หลินรั่วจิ่งจะได้พูดอะไร หลินเฉิงอวี้ก็ได้ระเบิดออกมาก่อน “นังตัวดี คิดที่จะให้ข้าคุกเข่าขอโทษเจ้าอย่างนั้นเหรอ? ไม่มีทาง”