หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 228 ออกไปจากที่นี่
บทที่ 228
ออกไปจากที่นี่
คุณชายในเมืองหลวงเหล่านี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก หลินซีเหยียน แต่พวกเขายังไม่รู้จักหลินรั่วจิ่งที่เพิ่งกลับมาจากการเล่าเรียน
และผู้ที่มาคุยกับหลินเสวี่ยเหยียนก็คือไฉ่อันเชิง บุตรชายเพียงคนเดียวของนายท่านไฉ่หัวหน้าผู้ตรวจการ ไฉ่อันเชิงนั้นเกิดมาพร้อมกับริมฝีปากแดงและฟันขาว และเป็นที่นิยมอย่างมาก
หลินเสวี่ยเหยียนเองก็ชื่นชมเขามากเช่นกัน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พบกันเสียที จนนางนั้นยอมแพ้!
ไม่นึกฝันว่าในวันนี้ คนที่อยู่ในดวงใจของนางนั้นได้เข้ามาพูดคุยกับนางด้วยตัวเองเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เขานั้นกลับมาถามหาคนอื่น…..
มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่ายากลำบากขนาดไหนกับการฝืนยิ้มเช่นนี้บนใบหน้าของนาง แต่อย่างไรเสียก็ยังถือว่าโชคดีที่ได้พูดคุยกันเช่นนี้ หลินเสวี่ยเหยียนจึงได้ตอบอย่างนุ่มนวล “ทั้งสองคนที่ท่านถามถึงคือพี่สามหลินซีเหยียน และอีกคนคือน้องหกหลินรั่วจิ่งค่ะ”
ไฉ่อันเชิงก็ได้เผยก็ได้ยิ้มอย่างเจิดจ้าเมื่อเขาได้ยินที่นางกล่าว “ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของพวกท่านมานานแล้ว สมดังคำเล่าลือจริงๆ ช่างโชคดีที่ได้พบ”
“ฮ่าๆอันเชิง เจ้านี่ช่างวาจาไพเราะเสียจริงๆ ถึงแม้ว่าทั้งสองคนนี้จะชื่อเสียงโด่งดังมาก แต่ก็เทียบกันไม่ได้เลย!” แล้วคุณชายท่านหนึ่งก็ได้ตบไหล่ของไฉ่อันเชิง สีหน้าเต็มไปด้วยความเลวทราม
เขานั้นไม่ได้มองไปที่หลินรั่วจิ่ง แต่จับจ้องไปที่ หลินซีเหยียนแล้วกล่าวไร้ยางอาย “ไม่แปลกใจเลยเพราะหน้าตาดีแบบนี้ยังไงล่ะ ถึงได้มีลูกก่อนที่จะเป็นผู้ใหญ่”
หลินซีเหยียนก็ได้กะพริบตาปริบๆ เป็นเรื่องที่รู้กันดีอยู่แล้วเรื่องที่นางนั้นท้องก่อนแต่งงาน นางจึงได้ไม่คิดที่จะโต้แย้งอะไร
แล้วผู้คนก็ได้มองมาที่นางที่กำลังเงียบด้วยสายตาที่ไม่ดี “ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ข้าล่ะรู้สึกเสียใจกับคนที่รู้สึกหัวใจคล้อยตามตอนที่พบนางจริงๆ”
“จริงด้วย เป็นคนที่ต่ำตมแท้ๆแต่กลับไม่รู้สึกสำเหนียกตัวเองบ้างเลย กลับไปเสียอย่ามาทำให้หอเสียงสัมผัสสมบูรณ์ต้องมามัวหมองนะ”
คำพูดประสงค์ร้ายได้เข้ามาเต็มรูหูของหลินซีเหยียน นางนั้นรู้สึกดีใจที่นางนั้นไม่ได้พาเทียนเอ๋อมาด้วย
จู่ๆก็มีเสียงที่นุ่มนวลและใสดังขึ้นมาทำให้หลินซีเหยียนตกใจไปชั่วขณะ ทำไมเทียนเอ๋อถึงได้อยู่ที่นี่ได้? เทียนเอ๋อนั้นยังเล็กนัก นางจะต้องพาเขาออกไปจากที่นี่โดยเร็ว
ในขณะที่หลินซีเหยียนนั้นมองหาไม่ได้ถึงครึ่งนาที เทียนเอ๋อก็ได้วิ่งมาเกราะแขนของหลินซีเหยียน แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่ผู้คนรอบๆนางอย่างดุดัน “อย่ามารังแกท่านแม่ของข้านะ”
“หึ พูดถึงไม่ทันไร แม้แต่เจ้าลูกไม่มีพ่อก็มาที่นี่ด้วย”
ทันทีที่ชายคนนั้นพูดจบ เขาก็ได้รู้สึกตัวเขานั้นไม่รู้ว่าสึกถึงลิ้นที่อยู่ในปากตัวเองเลย
เขามองไปที่หลินซีเหยียนแล้วก็พบว่าหลินซีเหยียนนั้นกำลังถือเข็มเงินที่ส่องแสงที่น่ากลัวออกมาอยู่ แล้วดวงตาของเขาก็ได้จับจ้องไปที่สายตาที่หนาวเย็นของนาง ราวกับยักษ์สาวที่อยู่ในนรก
ความกลัวนี้ราวกับโลกกำลังล่มสลาย ทำให้เขานั้นถึงกับฉี่แตกจนโดยไม่ต้องตรวจดูเลย
ในขณะที่ผู้คนมองไปที่ชายคนนั้นอย่างดูถูก หลินซีเหยียนก็ได้เปิดปากของนาง และจับมือของเทียนเอ๋อแล้วมองไปรอบๆ “ถ้าเจ้าไม่สามารถพูดอะไรดีๆออกมาได้ ข้าก็จะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกเลย”
ไฉ่อันเฉิงนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับคุณชายที่ฉี่แตก เขาจึงได้ประคองคุณชายคนนั้นไว้ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น “ลูกพี่ลูกน้องของข้าได้พูดไม่ดีออกไป ข้าต้องขอโทษแทนเขาและขอให้แม่นางได้โปรดมอบยาถอนพิษให้ด้วย”
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องด้วยสีหน้าที่หนาวเย็นแล้วกล่าว “ไม่มียาถอนพิษหรอก”
“หลินซีเหยียน เจ้าทำเกินไปแล้วนะ!”
เมื่อเห็นความสามารถของหลินซีเหยียนที่เผยออกมาแล้วนั้น ก็ได้ทำให้พวกเขารู้สึกกลัว แต่ทว่ามีคนมากมายที่อยู่ที่นี่ที่มีความรู้สึกเกลียดชังเช่นเดียวกับเขา ทำให้พวกเขาเริ่มที่จะมีความกล้าขึ้นมา
เจียงหวายเย่ที่ไม่รู้ว่าหยิบก้อนหินขึ้นมาเมื่อไรนั้น หลังจากที่ได้ยินประโยคนั้นขึ้นมา เขาก็ได้ปล่อยสายตาที่แหลมคมออกมาแล้วขว้างก้อนหินออกไปทันที
แล้วชายคนที่กองอยู่ที่พื้นนั้นก็ได้ร้องขึ้นมาทันที แล้วขาของเขาที่ผิดรูปไปนั้นก็ได้แสดงให้เห็นว่าเป็นผลงานที่ชั่วร้ายของเจียงหวายเย่
“พวกเจ้าทั้งสองคน กลางวันแสกๆเช่นนี้กลับทำร้ายผู้คนได้อย่างไร?” ไฉ่อันเชิงนั้นไม่อาจทำมองไม่เห็นได้อีกต่อไป เขาได้พาลูกพี่ลูกน้องของเขาไปส่งให้กับเด็กรับใช้แล้วจากนั้นก็มองไปที่หลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่ด้วยสายตาที่ตำหนิในดวงตาของเขา
“ข้าทำร้ายคนก็จริง แต่ข้าก็แค่สั่งสอนเขาแทนพ่อแม่ของเขาเฉยๆ” เจียงหวายเย่ก็ได้มองด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกมากและน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจัง
“เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์งั้นเหรอ?” ไฉ่อันเชิงโกรธจนตาเป็นสีแดง หญิงสาวมากมายที่ชื่นชมเขานั้นต่างก็รู้สึกเจ็บปวด เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนั้น
หลินหนานเฟิงก็ได้หยุดรถม้าและเดินมายังที่นี่ทันทีที่เขาเห็นเหตุการณ์นี้ เขาได้เดินมาหาหลินซีเหยียนอย่างช้าๆ และบังสายตามุ่งร้ายทั้งหมดที่จ้องมายังนาง
“แล้วเจ้าเป็นใครอีก?” ไฉ่อันเฉิงก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห ถึงแม้ลูกพี่ลูกน้องของเขานั้นจะไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่เพราะเขานั้นเสียพ่อแม่ไปก่อนวัยอันควรเขาจึงได้เป็นที่รักของทุกคน แล้วจะปล่อยให้เขาถูกรังแกง่ายๆเช่นนี้ได้อย่างไร
แม้ว่าจะมีคนอยู่มากมายก็ตามที
หลินหนานเฟิงนั้นรีบออกมาปกป้องหลินซีเหยียน แต่ทว่านางนั้นสามารถที่จะจัดการเรื่องนี้เองได้ นางจึงได้ดึงชายเสื้อของหลินหนานเฟิงแล้วกระซิบ “พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร”
เดิมทีเจียงหวายเย่นั้นคิดจะมาออกหน้าทำตัวห้าวหาญปกป้องสาวงาม แต่ทว่าหลินหนานเฟิงกลับมาทำหน้าที่แทนเขาเสียนี่ ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะไม่ต้องการการปกป้องของ หลินหนานเฟิงก็เถอะ แต่เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดในใจอยู่ดี
หลินซีเหยียนมองไปที่ฝูงชน โดยที่ไม่มีความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังแผ่บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวนางยังแสดงถึงความแข็งแกร่งของนางอีกต่างหาก “ข้าไม่คิดว่าตัวข้านั้นผิดอะไรที่ข้าท้องก่อนแต่งงาน แล้วปล่อยให้พวกเจ้าใช้ข้ออ้างนี้รังแกเทียนเอ๋อ”
“ในเวลาเช่นนี้ เจ้ายังจะบอกว่าตัวเองทำถูกอยู่งั้นรึ?”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ? คิดว่าข้าจะปล่อยให้ถูกรังแกแล้วอยู่ในสภาพเหมือนตายทั้งเป็นรึยังไง?” ริมฝีปากของหลินซีเหยียนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ถากถาง นางรู้ดีว่าคำพูดของนางนั้นถือว่าฉีกกรอบมากเพียงใดในสายตาของคนเหล่านี้ แต่แล้วยังไงล่ะ มีอะไรที่นางจะต้องกลัวด้วย?
“อย่างเจ้ามันน่าจะถูกขังอยู่ในสุ่มหมูยิ่งนักสำหรับผู้หญิงที่ไร้ยางอายอย่างเจ้า”
ไม่รู้ว่าเป็นผู้หญิงจากตระกูลไหนที่กล่าวประโยคนี้ออกมาด้วยความรังเกียจ ราวกับว่าหลินซีเหยียนเป็นความชั่วร้ายที่สมควรตาย
หลินซีเหยียนก็ได้ใช้ดวงตาของนางจ้องไปที่ที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้วกล่าว “พวกเราต่างก็เป็นผู้หญิงด้วยกัน และพวกเราก็จะเป็นต้องปกป้องสามีของพวกเราด้วยชีวิตของเรา แต่พอพวกเราถูกคนอื่นแตะต้อง พวกเราก็จะไม่บริสุทธิ์และสมควรตายอย่างนั้นเหรอ?”
ในขณะที่หลินซีเหยียนพูดอยู่นั้น หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “พวกเจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่ากฎพวกนี้มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย? ทำไมพวกคุณชายเหล่านั้นถึงไปสำส่อนกับพวกหญิงไม่เลือกหน้า และมีภรรยามีเมียน้อยมากมาย โดยที่ไม่มีใครครหาหรือต่อว่าอะไรได้”
ครั้นตั้งแต่โบราณกาลมา ครอบครัวของพวกนางได้สั่งสอนว่าความสามารถไม่สำคัญ สำคัญแค่มีศีลธรรมก็พอ หากว่าพวกนางสามารถรับใช้และครองใจของสามีได้นั้น ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าทุกสิ่งแล้ว
พวกนางจึงต้องถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ้าน ไม่สามารถออกไปไหนและคบชายไม่เลือกหน้าได้
และหลังจากที่แต่งงานไป ก็จะต้องมาคอยระวังกลัวว่าจะถูกทำร้าย จะถูกทิ้ง และถูกเยาะเย้ยโดยคนทั้งโลกอีก
แต่จริงๆแล้วในใจของพวกนางนั้นก็รู้สึกไม่ยอมรับเช่นกัน แต่ถึงไม่ยอมรับแล้วพวกนางจะทำอะไรได้? พวกนางไม่อยากที่จะเป็นเหมือนคนแปลกแยก และไม่กล้าพอที่จะออกมาต่อต้านด้วย
หลินซีเหยียนก็ได้มองดูท่าทีของพวกเขาอย่างเย็นชา และในใจของนางก็เต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจอย่างมาก “ข้าไม่คิดว่าข้านั้นทำอะไรผิด และข้าก็ไม่คิดว่าข้าสมควรที่จะตายด้วย”
“ผู้หญิงอย่างเจ้า สมควรที่จะถูกสายตาของผู้คนเกลียดชังและตายไปอย่างโดดเดี่ยวนั่นแหละ!” ไฉ่อันเชิงนั้นไม่รู้สึกคล้อยตามไปกับคำพูดของหลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ผู้หญิงอย่างเจ้าน่ะเกิดมาเพื่อพึ่งพาคนอย่างพวกเราและถูกปกครองโดยพวกเราเท่านั้น”
“นางจะไม่ตายคนเดียวหรอก” ในเวลานี้เจียงหวายเย่ก็ได้เดินออกมายืนข้างหน้า แล้วยื่นมือดึงเอาหลินซีเหยียนมาไว้ในอ้อมแขนของเขา
หลินเสวี่ยเหยียนที่เห็นเช่นนั้น ก็ได้แสร้งทำเป็นประหลาดใจมากแล้วจากนั้นก็ได้กล่าวเสียงดังพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยิน “ที่แท้พวกเจ้าสองคนคงจะอยู่ด้วยกันมานานแล้วล่ะสิ ไม่แปลกใจเลยที่พวกเจ้าจะมีท่าทีที่สนิทสนมกันเช่นนั้น”