หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 247 หัวใจที่ไม่ยอมแพ้
บทที่ 247
หัวใจที่ไม่ยอมแพ้
“ขอถามหน่อยเถอะว่าฝ่าบาทสนใจอะไรในตัวของหม่อมฉันกัน?”
หลินซีเหยียนก็เริ่มหงุดหงิดกับคนที่ทำท่าสำออยที่อยู่ตรงหน้านาง แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หลีเจี้ยนเฉินนั้นเทียบไม่ได้กับเจียงหวายเย่เลยแม้แต่น้อย
ในสายตาของนางนั้นฮ่องเต้หลีนั้นเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น
หลีเจี้ยนเฉินก็เลิกเสแสร้ง จริงๆแล้วเขาเองก็ไม่ชอบที่จะแสร้งทำเป็นขี้อายและน่าเอ็นดูเช่นนี้ แต่มหานักบวชได้บอกไว้ว่านี่เป็นหนทางเดียวของเขา
พอเขามองไปที่ดวงตาของหลินซีเหยียนก็เข้าใจได้ทันทีแผนของมหานักบวชนั้นล้มเหลวเสียแล้ว ท่านหมอหลินนั้นไม่คนที่ชอบความสวยงาม
แล้วบรรยากาศในห้องนั้นก็ได้หนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดหลีเจี้ยนเฉินก็ได้พูดออกมา “ท่านหมอหลิน ข้านั้นตกหลุมรักท่านตั้งแต่แรกพบ”
เมื่อได้ยินที่กล่าว ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ปรากฏแววตาขบขันขึ้นมา “รักแรกพบงั้นเหรอ? มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นแหละ”
“ไม่ใช่นะ” หลีเจี้ยนเฉินมองดูอย่างจริงจังมาก หลินซีเหยียนที่เคยชินแต่กับท่าทีที่เหลวไหลของเขาแล้ว ก็รู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา
หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็ได้ยินหลีเจี้ยนเฉินกล่าวต่อ “สำหรับบางคนอาจจะต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะรักกันได้ แต่กับบางคนแล้วขอเพียงแค่หนเดียวก็สามารถร่วมชีวิตกันได้แล้ว”
หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น “ขอโทษด้วยละกันที่หม่อมฉันอยู่ในจำพวกแรก ฝ่าบาทพลาดตั้งแต่แรกแล้วล่ะ!”
สำหรับการพูดตัดบทเช่นนี้ หลีเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร เขาลุกขึ้นยืนแล้วจากนั้นก็มีความอับอายปรากฏในน้ำเสียงของเขา “การกระทำในครั้งนี้เป็นความผิดของข้าเอง แล้วข้าจะมาที่นี่อีกหนเพื่อชดใช้ให้ท่านหมอหลินทีหลัง”
“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ข้าก็ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้” แล้วหลินซีเหยียนก็ได้สะบัด เป็นเชิงบอกให้ หลีเจี้ยนเฉินออกไปด้วย
หลีเจี้ยนเฉินนั้นยังไม่ออกไป และมองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่ลุกโชน “ไม่ทราบว่าหลังจากนี้ท่านหมอหลินยังจะพอเป็นมิตรสหายของข้าได้อยู่หรือไม่”
เมื่อได้ยินที่ถามเช่นนี้ หลินซีเหยียนก็รู้สึกประหลาดใจแต่นางก็ได้ผงกหัวตอบ อย่างไรเสียหลังจากนี้ฮ่องเต้หลีกับฮองเฮาก็จะต้องกลับไปที่รัฐหลี ต่อให้นางตอบตกลงกับอีกฝ่ายไปก็ไม่น่าจะเป็นอะไร
หลังจากที่หลินซีเหยียนตอบตกลงมา หลีเจี้ยนเฉินก็ได้ออกจากห้องของหลินซีเหยียนไปอย่างมีความสุข
หลินซีเหยียนก็ได้ปิดประตูอย่างโล่งอก แล้วจากนั้นก็ได้ตรวจดูภายในห้อง ด้วยความกลัวว่าจะมีใครโผล่มาตอนที่นางกำลังจะนอนอีก
แต่ทว่านอกจากฮ่องเต้หลีแล้วยังจะมีใครอีกที่กล้าทำเช่นนั้น? หลังจากที่ตรวจดูเรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้หาวและหลับลงบนเตียงในเวลาต่อมา
โดยที่ผู้คนไม่รู้เรื่องอะไรภายใต้การปกคลุมของความมืดในยามค่ำคืน ก็ได้มีข่าวใหญ่ถูกเผยแพร่ออกมาไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็วมาก
“เทพสงครามองค์ชายรัตติกาลนั้นได้รับเมตตาจากสวรรค์ ได้รับยาวิเศษรักษาขาของเขาจนหายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินมาอีกว่ารูปโฉมของเขาเองก็ยังฟื้นคืนมาอีกด้วย”
“เป็นเรื่องจริงเหรอ? เจ้าไปได้ยินมาจากใครกัน?”
ในค่ำคืนนั้น ณ ร้านยามค่ำคืนแห่งหนึ่งซึ่งไม่เคยหลับใหลในยามค่ำคืน ก็ได้มีคนที่พูดคุยเกี่ยวกับข่าวนี้กันอย่างต่อเนื่อง และในบรรดาลูกค้าของผู้หญิงเหล่านี้ก็ล้วนเป็นขุนนางมากมายที่ทำงานรับใช้พระราชสำนัก หรือไม่ก็ที่ปรึกษาของขุนนางบางคน
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ ก็ได้พลันตื่นจากดินแดนนุ่มละมุนนี้ แล้วรีบสวมเสื้อผ้าด้วยความตื่นตระหนกแล้วรีบไปหาเพื่อนร่วมงานอีกคนเพื่อปรึกษาเรื่องนี้ทันที
ซึ่งจะเห็นได้ชัดถึงความสำคัญของข่าวนี้มาก อย่างไรเสียเพราะว่าขนาดขาของเจียงหวายเย่นั้นยังพิการอยู่ สถานการณ์ก็ยังลุ่มๆดอนๆอยู่แล้วและมีขุนนางหลายคนที่ตกอยู่ในปัญหา นี่ถ้าหากข่าวนี้เป็นจริงอีกพวกเขาได้จบไม่สวยอย่างแน่นอน
สมุหกลาโหมหลี่อันก็ได้ถูกปลุกโดยที่ปรึกษาของเขาขณะที่กำลังหลับใหลอยู่ หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้แล้วเขาก็ได้เดินไปรอบๆห้องอย่างตื่นตระหนก “แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?”
ที่ปรึกษาของเขาจึงได้เตือนหลี่อันแล้วกล่าว “อย่าเพิ่งรีบร้อนท่านสมุหกลาโหม ท่านไม่ใช่คนเดียวหรอกที่กลัวเรื่ององค์ชายรัตติกาลหายดีที่สุดน่ะ!”
“เจ้าหมายถึงฮ่องเต้สินะ?” หลี่อันก็ได้หยุดเดินแล้วสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความครุ่นคิด ในที่สุดเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมาและผงกหัว “จริงด้วย พรุ่งนี้ข้าจะต้องรีบไปที่พระราชวังแล้วแจ้งเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทราบ”
แต่ที่ปรึกษาของเขากลับส่ายหัว “ท่านไม่จำเป็นต้องไปบอกเรื่องนี้เองก็ได้ ให้ใครบางคนไปบอกแทนก็ได้”
หลี่อันก็ได้ถอนหายใจหลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ และสีหน้าของเขาก็ได้เปลี่ยนไป เขามองไปที่ที่ปรึกษาของเขาด้วยความชื่นชม แล้วจากนั้นก็ได้ตบไหล่ของอีกฝ่าย “ฉางซือถ้าเรื่องนี้ไปได้สวย ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”
ไม่นานนักด้วยความคาดหวังของเหล่าขุนนางที่ไม่หลับใหลเหล่านี้รุ่งสางก็ได้มาถึง ก็ได้มีคนนำข่าวนี้ไปรายงานให้ฮ่องเต้ทราบตั้งแต่เช้าตรู่ตามคำสั่งของสมุหกลาโหม
เมื่อฮ่องเต้ได้ฟังดวงตาของเขาก็ได้เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที แล้วจากนั้นก็ได้แผ่แรงกดดันที่มากล้นออกมา “ข่าวนี้ได้รับการยืนยันแล้วหรือยัง?”
“กราบเรียนฝ่าบาทในขณะที่หม่อมฉันได้เดินทางมายังพระราชวังในเช้านี้ หม่อมฉันก็พบผู้คนมากมายในเมืองหลวงกำลังเฉลิมฉลองกันอยู่ เรื่องนี้จึงน่าจะเป็นเรื่องจริงพ่ะย่ะค่ะ” ในเวลานี้หมอหลวงซูเจิงก็ได้ลุกขึ้นยืนและรายงานไปตามความเป็นจริง
เหล่าขุนนางที่อยู่เบื้องล่างก็ได้เริ่มพากันพูดคุย แล้วจากนั้นพวกเขาก็ได้พากันเงียบกริบ แล้วแอบมองไปที่สีหน้าของฮ่องเต้ด้วยความสงสัย และแอบหวังที่จะได้เห็นเจตนาของฮ่องเต้จากสีหน้าของเขา
แต่ทว่าในฐานะที่เป็นฮ่องเต้แล้ว เขาจะต้องเก็บซ่อนความคิดของเขาอย่างสุดความสามารถ จะปล่อยให้คนอื่นมองเห็นง่ายๆได้อย่างไร
ฮ่องเต้เจียงก็ได้หรี่ดวงตามังกรของเขาลงเล็กน้อย แล้วก็มองไปที่เหล่าขุนนางรอบๆ แล้วจากนั้นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างยินดี และหัวเราะด้วยเสียงที่ดังก้อง “องค์ชายรัตติกาลช่างเป็นคนที่โชคดีเสียจริงๆ ข้าก็ยินดีไปกับเขาด้วย”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนัก” เหล่าขุนนางนั้นต่างก็ไม่มั่นใจว่าฮ่องเต้นั้นหมายความว่าอย่างไร แต่พวกเขาก็ทำได้แค่ตอบเห็นด้วยตามไปเท่านั้น
จากนั้นฮ่องเต้เจียงก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกได้ แล้วจากนั้นเขาก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด “ในเมื่อองค์ชายรัตติกาลหายดีแล้ว ถ้าเช่นก็ส่งคนไปแจ้งเขาที ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ให้เขาเข้ามาที่พระราชสำนักเพื่อมาแบ่งเบาภาระไปจากข้าบ้าง”
ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้จะไม่หมายหัวองค์ชายรัตติกาลแล้ว แต่กลับให้อีกฝ่ายเข้ามาหารือเรื่องของการเมืองอีก? ในเวลานี้ช่างสมกับที่คนเก่าคนแก่เคยพูดไว้ ว่าหัวใจคนเรายากแท้หยั่งถึงนัก! แต่จริงๆแล้วฮ่องเต้เจียงนั้นรู้สึกแค่ว่าการให้เจียงหวายเย่มาออกหน้าแทนเขานั้นทำให้เขารู้สึกเบาใจมากกว่า
ในเวลานี้ที่จวนมหาเสนาบดี สีหน้าของหลีเจี้ยนเฉินไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย “เจียงหวายเย่นำหน้าข้าไปอีกก้าวอีกแล้ว ในเวลานี้หากข้าบอกไปว่าเขากำลังหลอกฮ่องเต้อยู่ก็คงไม่ช่วยอะไรแล้ว”
สีหน้าของมหานักบวชเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขานัก แต่ก็รู้สึกชื่นชมเจียงหวายเย่ขึ้นมาเช่นกัน “หมากตานี้ขององค์ชายรัตติกาลช่างรุนแรงเสียจริงๆ การเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้ลดความเสียเปรียบของเขาลงไปอย่างมาก”
“แต่ทว่าหลังจากนี้ถ้าเจียงหวายเย่นั้นยังคิดที่จะเตร็ดเตร่ไปมาอีก ก็เกรงว่าเขาคงจะต้องเจอกับปัญหาหน่อยล่ะ”
ถ้าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ถูกต้อง หลังจากเช้าวันนี้ไปคงจะมีสายลับมากมายกว่าเดิมถึงสองเท่าในพระราชวังรัตติกาลแน่ และด้วยเหตุนี้ก็จะทำให้เขายังมีโอกาสที่จะสานสัมพันธ์กับเสี่ยวเหยียนเอ๋อต่อได้
แล้วมหานักบวชก็ได้มองไปที่ฮ่องเต้ของเขาที่กำลังครุ่นคิดอย่างสงสาร เขานั้นรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าฮ่องเต้นั้นยังจำเป็นที่จะต้องพยายามอีกมากเพื่อที่จะแย่งคนรักมาจากองค์ชายรัตติกาลให้ได้
ส่วนหลินซีเหยียนที่ทราบเรื่องนี้จากเจียงหวายเย่อยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ได้มีอาการตอบสนองอะไรกับข่าวลือของจิ่งชุนที่อยู่ตรงหน้านางในวันนี้
“คุณหนูเจ้าคะ ท่านยังฟังจิ่งชุนอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ?” เมื่อจิ่งชุนเห็นคุณหนูของนางไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ก็ได้ส่ายหัวของนางอย่างช่วยไม่ได้ แล้วจากนั้นนางก็ได้จินตนาการว่าคงจะเป็นเรื่องดีหากว่าคุณหนูผู้ตายด้านของนางนั้นจะได้แต่งงานกับองค์ชายรัตติกาล
เพราะชายคนนั้นเป็นเหมือนดั่งเทพบุตร เขานั้นเป็นเลิศด้านวรยุทธ์แล้วยังงดงามราวกับดอกไม้อีก!
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่คนที่กำลังเพ้อพกเรื่องของดอกไม้ก็ได้พูดมาออกอย่างสนใจ “จิ่งชุนเจ้าเองก็เป็นหญิงสาวแล้วนะ เจ้ายังไม่คิดที่จะแต่งงานบ้างเหรอ?”
จิ่งชุนก็ได้หน้าแดงขึ้นมาเมื่อนางได้ยินเช่นนี้ แล้วจากนั้นก็ได้ทำเป็นโมโหหลินซีเหยียน “คุณหนูอย่ามาพูดอะไรไร้สาระเลยเจ้าค่ะ จิ่งชุนน่ะจะคอยติดตามรับใช้คุณหนูตลอดไปเจ้าค่ะ”