หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 250 ศัตรูร่วมกัน
บทที่ 250
ศัตรูร่วมกัน
ด้วยความที่โมโหและตกใจอย่างมาก ร่างกายของ ฮูหยินอวี้ก็ได้อ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกระทั่งอากาศเริ่มเย็นลง นางจึงได้ป่วยเป็นไข้สูงขึ้นมาทันที
“คุณหนูเจ้าคะ ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าเกรงว่าฮูหยินใหญ่คงจะไม่รอดเป็นแน่เจ้าค่ะ”
สาวใช้คนสนิทของฮูหยินอวี้กล่าวด้วยสีหน้าที่ซีดและเศร้าใจ ขณะที่นางกำลังเปลี่ยนผ้าชุบน้ำบนหัวของฮูหยินอวี้
หลินรั่วจิ่งก็ได้คิ้วขมวดและมองดูอย่างกระวนกระวายมาก “ในเวลานี้คงมีเพียงต้องไปหาหมอหลวงในพระราชวังมารักษาให้เท่านั้น”
แต่ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่หมอหลวงเป็นหมอที่ประจำอยู่ในพระราชวังหลวงซึ่งจะรักษาให้กับคนในพระราชวังเท่านั้น ลำพังคนระดับนางจะไปเชิญให้พวกเขาออกมาจากพระราชวังง่ายๆได้อย่างไร?
แต่ถ้าท่านพอเป็นคนเดินเรื่องให้ก็พอจะเป็นไปได้อยู่ แต่ว่า….หลินรั่วจิ่งก็ได้กัดริมฝีปากของนาง จากสภาพในปัจจุบันที่ท่านพ่อของนางหลีกเลี่ยงท่านแม่ของนางอยู่ตลอดในเวลานี้นั้น เกรงว่า….คงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ
“เฉี่ยนไป๋ เจ้าคอยดูแลท่านแม่ให้ดี เดี๋ยวข้าจะออกไปตามหมอมาให้”
จากนั้นหลินรั่วจิ่งก็ได้เดินออกจากเรือนฮูหยินอวี้แล้วมุ่งหน้าไปที่เรือนใหญ่ซึ่งมีฮ่องเต้หลีพักอยู่ ถ้าเป็นเขาจะต้องมีคนที่มีวิชาแพทย์ที่เป็นเลิศอยู่ข้างกายเขาแน่ๆ และนางก็จะได้ใช้โอกาสนี้ในการสานความสัมพันธ์กับเขาด้วย
เมื่อนางมาถึงเรือนใหญ่ นางก็ไม่ได้พบเพียงแค่ฮ่องเต้หลี แต่ยังพบหลินหัวเยว่กับหลินเสวี่ยเหยียนด้วย
เมื่อหลินรั่วจิ่งมาถึง นางก็พลันรู้สึกได้ถึงดวงตาที่ลุกไหม้ของพี่สาวทั้งสองคนของนางได้ทันที ซึ่งทำให้นางนั้นรู้สึกดูแคลนพวกนางขึ้นมา คนโง่สองคนนี้คิดจริงๆเหรอว่าจะสามารถคว้าหัวใจของคนคนหนึ่งได้ด้วยวิธีการตามเกาะแกะเช่นนี้น่ะ?
แล้วหลินรั่วจิ่งก็ได้ทำการคารวะฮ่องเต้หลี่อย่างสุภาพ แล้วหลินรั่วก็ได้กัดริมฝีปากของนางแกล้งทำเป็นอ่อนแออย่างมาก “ถ้าหม่อมฉันอยากจะทูลขอบางอย่างจากฝ่าบาทแล้ว ไม่ทราบว่าฝ่าบาทยินดีหรือไม่เพคะ?”
“เชิญคุณหนูหกว่ามาได้เลย ถ้าหากว่าข้าช่วยได้ข้าก็ยินดีจะช่วยเหลืออย่างแน่นอน”
ฮ่องเต้หลีกำลังลำบากใจกับบุตรสาวสองคนของมหาเสนาบดีหลินมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขาคิดว่าพวกนางเป็นพี่น้องของหมอหลินแล้วล่ะก็ เขาคงจะจับทั้งสองคนนี้โยนไปเป็นอาหารหมาป่าไปนานแล้ว
ดวงตาของหลินรั่วจิ่งก็ได้แดงอย่างตื่นเต้นขึ้นมา แล้วจากนั้นก็กล่าว “ท่านแม่ของหม่อมฉันกำลังป่วยเพราะลมหนาว และก็ไม่มีหนทางที่จะจ้างหมอราคาแพงมาได้ด้วย บางทีหมอที่ร่วมเดินทางมากับท่านอาจจะรักษาท่านแม่ของหม่อมฉันได้ หม่อมฉันจึงได้อยากจะขอร้องฝ่าบาทได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ไม่ใช่ว่าความสามารถด้านการแพทย์ของหมอหลินเองก็เป็นเลิศไม่ใช่เหรอ? ทำไมเจ้าถึงไม่ไปขอให้หมอหลินช่วยล่ะ?”
หลินรั่วจิ่งกับหมอหลินนั้นเป็นพี่น้องกัน อีกทั้งวิชาแพทย์ของหมอหลินเองแม้แต่มหานักบวชเองก็ยังยอมรับ แล้วทำไมหลินรั่วจิ่งนั้นถึงได้ไม่ไปหาใกล้ๆตัวแต่ไปหาไกลๆตัวด้วยเล่า? หรือว่านางคิดจะใช้เป็นข้ออ้างมาหาตัวเขาเพื่อหาโอกาสตีสนิทกับเขาอย่างนั้นเหรอ?
หลินรั่วจิ่งก็ได้กัดริมฝีปากของนางแล้วทำสีหน้าราวกับไม่อยากจะพูดออกมา จนท้ายที่สุดนางก็ได้พูดขึ้นมา “เพื่อท่านแม่ของหม่อมฉันแล้ว รั่วจิ่งจะเล่าความลับบางอย่างให้ฝ่าบาททราบ!”
หลินรั่วจิ่งก็ได้เล่าว่า หลินซีเหยียนนั้นเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก แล้วจากนั้นมานางก็ได้เป็นปรปักษ์กับฮูหยินใหญ่อย่างมาก ซึ่งแม้แต่หลินหัวเยว่กับหลินเสวี่ยเหยียนต่างก็พากันผงกหัวอย่างเร่งรีบ
“เกรงว่าฝ่าบาทคงจะยังไม่ทราบ แต่น้องสามนั้นเป็นคนหัวดื้อและไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น”
เมื่อพวกเขามีโอกาส ก็ได้เริ่มพากันทำลายชื่อเสียงของหลินซีเหยียนต่อหน้าหลีเจี้ยนเฉิน “ใช่แล้ว ฮูหยินอวี้นั้นได้อธิบายไปหลายต่อหลายหนแล้ว แต่พี่สามนั้นกลับคิดว่าท่านแม่ของนางนั้นถูกฆ่าตายโดยฮูหยินอวี้”
หลินรั่วจิ่งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้มีแววตามืดดำในดวงตาของนางทันที แล้วจากนั้นนางก็ได้พูดกระตุ้นฮ่องเต้หลี “หลังจากที่ฝ่าบาทได้ยินเรื่องนี้แล้ว ข้าจึงอยากจะขอร้องท่านช่วยส่งคนของท่านมาดูอาการของท่านแม่ตอนนี้ได้หรือไม่?”
หลีเจี้ยนเฉินที่รู้สึกลำบากใจก็ได้กล่าว “คุณหนูหก ไม่ใช่ว่าข้าปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเจ้า แต่เพราะหมอที่ติดตามข้ามาด้วยนั้นมีเพียงท่านมหานักบวชคนเดียวเท่านั้น และในเวลานี้ท่านมหานักบวชนั้นก็อยู่ที่วังหลวง”
“แล้วข้าจะทำเช่นไรดี?” หลินรั่วจิ่งก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วใบหน้าของนางก็ได้ซีดขึ้นมา ใครก็ตามที่เห็นนางเช่นนี้ต่างก็รู้สึกอยากจะปกป้อง ทำให้ไม่อาจที่จะทนเห็นสาวงามเช่นนี้เสียใจได้และอยากที่จะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือนาง
แต่ความงามเช่นนี้ไม่อาจที่จะใช้ล่อลวงฮ่องเต้หลีได้ แล้วฮ่องเต้หลีก็ได้พูดในใจ: “หน้าตาไม่ได้ดีเท่าข้า แต่คิดที่จะขายความน่ารักน่าสงสารกับข้าอย่างนั้นเหรอ บางทีข้าควรที่จะเอากระจกให้นางดู?”
หลีเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “มา ข้าจะไปหาหมอหลินด้วยกันกับเจ้า”
เมื่อหลินหัวเยว่กับหลินเสวี่ยเหยียนนั้นเห็นว่าฮ่องเต้นั้นคิดที่จะไปหานังนั่นแล้ว พวกนางก็ได้รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามไปทันที
ณ เรือนชียนเหยียน หลินซีเหยียนนั้นกำลังศึกษาเคล็ดวิชาแมลงวิปลาสอยู่ นางจึงได้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากข้างนอก
“เอะอะอะไรกันนะ?”
นางจึงได้วางหนังสือในมือของนางลง แล้วหลินซีเหยียนก็ได้เดินออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าที่เย็นชา แล้วจากนั้นนางก็พบผู้คนอยู่ในสวน นางจึงได้ยิ้มขึ้นมาอย่างเยือกเย็น “สงสัยวันนี้พระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก? พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่?”
หลินซีเหยียนได้พูดอย่างเย็นชามาก อย่างแรกคือนางไม่ได้เชิญพวกเขาเข้ามา และอย่างที่สองคือนางไม่คิดจะต้อนรับใครด้วย
เมื่อเห็นท่าทีของหมอหลินแล้ว หลีเจี้ยนเฉินก็รู้สึกได้ถึงความรังเกียจของนางที่มีต่อลูกคนอื่นๆของมหาเสนาบดีหลิน ทำให้เขาไม่อาจที่จะพูดอะไรออกมาได้ชั่วขณะ
กลับกันหลินรั่วจิ่งก็ได้ทำตาแดงแล้วเริ่มเช็ดน้ำตาของนาง “พี่สาม ท่านแม่ของข้าเป็นไข้ตัวร้อนจัด ข้าพาหมอมามากมายแล้วแต่ก็ไม่เป็นผล และน้องก็ทราบดีว่าท่านพี่นั้นมีวิชารักษาเป็นเลิศข้าจึงได้มาขอให้ท่านพอจะช่วยรักษาท่านแม่ของข้าได้หรือไม่?”
“ฮูหยินอวี้ป่วยหนักอย่างนั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างประชดประชัน “น้องหกต่อให้ข้าอยากจะช่วยเจ้าก็ตามที แต่ข้าเดาว่าท่านแม่ของเจ้าคงไม่เห็นด้วยแน่นอน!”
“ในเวลานี้ท่านแม่ของข้าป่วยไม่ได้สติแล้ว ข้าจึงได้มาขอร้องท่านพี่”
หากเทียบกับหลินเสวี่ยเหยียนและหลินหัวเยว่แล้ว การบีบน้ำตาอย่างขมขื่นของนางนั้นกลับทำให้นางนั้นรู้สึกเหนือกว่าคนอื่นๆ และทำให้ฮ่องเต้หลีต้องมองไปที่นาง
แล้วฮ่องเต้หลีก็ได้เดินไปหาหลินซีเหยียน “หมอหลินถือว่าเห็นแก่หน้าข้า ได้โปรดช่วยนางด้วยเถอะ”
“ฝ่าบาทคงจะยังไม่ทราบเรื่องระหว่างหม่อมฉันกับ ฮูหยินอวี้สินะเพคะ หม่อมฉันขอเตือนให้ท่านอย่าเอาตัวมาเปื้อนกับน้ำขุ่นนี้จะดีกว่าเพคะ” หลินซีเหยียนที่ไม่ได้มองไปที่เขาก็ได้กล่าวอย่างเย็นชา
แล้วฮ่องเต้หนุ่มที่หล่อเหล่าและหยิ่งทะนงนั้นก็ได้ต้องเอาหัวโขกกำแพงอีกรอบเพราะพูดที่เย็นชาของหมอหลิน
“แล้วจะให้ข้าทำสิ่งใดได้บ้าง ท่านพี่ถึงจะยอมช่วยท่านแม่ของข้า?” หลินรั่วจิ่งก็ได้เช็ดน้ำตาของนาง แล้วมองไปที่ หลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่จริงจัง แล้วกล่าวอย่างหนักแน่นมาก
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วแล้วกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าฝีมือการเย็บปักถักร้อยของน้องหกนั้นดีมาก หากว่าเจ้ายอมตกลงที่จะปักลายนกร้อยตัวต้อนรับหงส์ไฟให้ข้าได้ ข้าก็จะยอมตกลง”
การปักนกร้อยตัวต้อนรับหงส์ไฟนั้นเป็นลวดลายที่ซับซ้อนมาก นอกเหนือไปจากตัวหงส์ไฟแล้ว การจะปักให้ได้รูปนกร้อยตัวนั้นจำต้องประณีตเป็นพิเศษ
การปักนกทุกตัวนั้นจะทำอย่างลวกๆไม่ได้ หากนางจะต้องปักรูปนี้แล้วก็เกรงว่าต้องใช้เวลาเกือบเดือนเลยทีเดียว
เกรงว่ามือของนางนั้นคงได้พังกันพอดี
“ท่านพี่สามเปลี่ยนลายได้หรือไม่? นกร้อยตัวกับหงส์ไฟนั้นจำต้องใช้เรี่ยวแรงอย่างมาก ถ้าหากรั่วจิงทำเพียงคนเดียวแล้วเกรงว่าคงทำไม่ได้แน่” ริมฝีปากแดงๆของหลินรั่วจิ่งก็ได้สั่นขึ้นมา งานปักของนางนั้นมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งแผ่นดินและเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่นางจะพึ่งพาได้ นางจะปล่อยให้สิ่งนี้ต้องถูกทำลายเพราะจะช่วยฮูหยินอวี้ไม่ได้
หลินซีเหยียนที่ได้ยินที่กล่าวก็ได้ทำสีหน้าลำบากใจขึ้นมา “ข้าเห็นลายทั้งหมดแล้ว แต่ลายนกร้อยตัวพบหงส์ไฟนั้นรู้สึกถูกใจข้ามากที่สุดแล้ว”
แล้วดวงตาของหลีเจี้ยนเฉินที่เต็มไปด้วยแรงกดดันนั้นก็ได้มองไปที่สองคนที่ยืนดูอยู่วงนอก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ประชดประชัน “หมอหลิน ถ้าหากลายนกพวกนั้นจะถูกปักให้เสร็จโดยให้ทั้งสามคนนี้ช่วยกันแล้ว ไม่ทราบว่าท่านจะคิดเห็นเช่นไร?”
“ฝ่าบาท!” หลินเสวี่ยเหยียนนั้นไม่นึกว่านางจะต้องมาตกอยู่ในปัญหานี้ด้วย ทั้งๆที่นางแค่จะมาดูอะไรสนุกๆเท่านั้น นางจึงได้รีบพูดออกไป “ข้าไม่เก่งเรื่องเย็บปักถักร้อยเท่าใดนัก เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องยากที่ข้าจะช่วยน้องหกได้”