หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 252 ถูกพิษ
บทที่ 252
ถูกพิษ
“ถ้าเปิ่นหวางบอกว่าก็แค่ความคิดชั่ววูบล่ะ?” หลังจากที่เจียงหวายเย่ตอบไปเช่นนั้น เขาก็เอนหลังพิงรถเข็นพลางจับหยกเลือดที่อยู่ในมือเล่น
เมื่อกลับไปถึงพระราชวังรัตติกาล เจียงหวายเย่นั่งรถเข็นไปที่ห้องทำงาน และด้านหลังของแผงกั้นในห้องทำงานมีคนที่หน้าตาและการแต่งกายเหมือนกับเขาโผล่ออกมา
“องค์ชาย” แล้วชายคนนั้นคุกเข่าลงกับพื้น แล้วพูดด้วยเสียงที่เหมือนกับเจียงหวายเย่
เจียงหวายเย่ผงกหัวอย่างพึงพอใจแล้วกล่าวขึ้น “ระหว่างที่เราไม่อยู่ก็ระวังตัวด้วย แล้วอย่าสร้างปัญหาล่ะ”
ชายคนนั้นผงกหัวรับคำ จากนั้นเจียงหวายเย่ก็เดินไปที่ตู้หนังสือแล้วขยับแจกันที่อยู่ข้างใน พลันนั้นเองตู้หนังสือก็ขยับออกปรากฏเป็นอุโมงค์อยู่ข้างหลังตู้หนังสือนั้น
เจียงหวายเย่จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปในอุโมงค์นั้น ซึ่งไม่มีใครคิดว่าทางออกของอุโมงค์นี้จะเป็นห้องลับในหอนางโลม
ในอุโมงค์นั้น มีแม่เล้าของหอนางโลมลงมาคุกเข่าต่อหน้าเจียงหวายเย่แล้วกล่าวอย่างให้ความเคารพ “คารวะองค์ชายเพคะ”
เจียงหวายเย่ผงกหัวแล้วกล่าว “ช่วงนี้เจ้าได้ข่าวอะไรมาบ้างหรือไม่?”
แม่เล้ารู้สึกหนาวเย็นขึ้นมา จากนั้นนางก็หยิบเอาบางอย่างออกมาจากในแขนเสื้อ แล้วส่งให้องค์ชายรัตติกาล “ในวันนี้มีราชทูตจากรัฐหลีคนหนึ่งถูกพบเสียชีวิตบนถนนของในเมืองหลวงเจ้าค่ะ ราชทูตคนนั้นครั้งหนึ่งเคยมาที่หอนางโลมของเราเพื่อใช้บริการจากทางเรา ในคืนนั้นท่านราชทูตดื่มมากเกินไปและพูดอะไรบางอย่างแปลก ๆ ออกมา หญิงคณิกาของทางเราจึงคิดว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นประโยชน์ นางจึงได้จดใส่ลงในกระดาษแล้วส่งมาให้กระหม่อมเพคะ”
เจียงหวายเย่ผงกหัว หลังจากที่เขาเห็นเนื้อความในกระดาษแผ่นนั้นแล้ว สีหน้าของเขาก็ดูจะยุ่งเหยิงขึ้น
ในแผ่นกระดาษนั้นถูกเขียนเอาไว้ว่า “พวกคนจากรัฐเจียงน่ะคิดไม่ซื่อกันจริงๆ พวกนั้นต้องการให้ข้าช่วยลักลอบพาเข้ามาร่วมกับรัฐหลีของเรา ช่างไม่ดูตัวเองเลยจริง ๆ”
จากในข้อความนี้แล้ว เรื่องนี้จะต้องไม่ใช่ฝีมือของคนจากรัฐอื่นแน่
“เจ้าทำหน้าที่รวบรวมข่าวสารต่อไป เรายังมีธุระอื่นต้องไปจัดการ” หลังจากที่เจียงหวายเย่กล่าวจบ เขาคิดที่จะไปหาหลินซีเหยียน
ในเวลานี้ที่จวนมหาเสนาบดีนั้นวุ่นวายมาก หลังจากที่หลินซีเหยียนได้รักษาฮูหยินอวี้เสร็จ ฮูหยินอวี้ฟื้นขึ้นมาแต่นางกลับตอบโต้กับความเมตตาของนางด้วยการชี้ไปที่หน้าของ หลินซีเหยียนแล้วเริ่มตะโกนด่าทอ
หลินซีเหยียนคิ้วขมวด ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นก็วางยาพิษฮูหยินอวี้จนนางกลายเป็นใบ้ไป!
เมื่อเรื่องนี้รู้ถึงหูของฮ่องเต้หลี ฮ่องเต้หลีตรงไปต่อว่ามหาเสนาบดีหลินต่อหน้าทุกคน “ในฐานะหัวหน้าของตระกูล เจ้าควรจะสั่งสอนภรรยาของเจ้าให้ดีกว่านี้”
มหาเสนาบดีหลินถึงกับต้องปาดเหงื่อที่หน้าผากเลยทีเดียว ซึ่งเขาก็รับปากว่าจะอบรมฮูหยินอวี้ให้ดี แล้วเรื่องนี้เป็นอันจบลง
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังกลับไปที่เรือน เชียนเหยียน หลินรั่วจิ่งก็มาหา “ข้ามาเพราะขอให้ท่านพี่ช่วยมอบยาถอนพิษให้ข้าด้วย”
“ยาตัวนั้นไม่มียาถอนพิษหรอก ขอแค่ฮูหยินอวี้อยู่เงียบ ๆ สักหนึ่งวันหนึ่งคืน นางก็จะสามารถเปิดปากและพูดออกมาได้เอง”
หลินซีเหยียนกล่าวออกไปโดยไม่ปิดบังอะไร หรือฉวยโอกาสใดๆทั้งสิ้น
หลินรั่วจิ่งจึงกล่าวขอบคุณแล้วจากไป แต่สีหน้าของนางกลับปกคลุมไปด้วยความมืดมน ดวงตาของนางดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง ไม่มีใครรู้ได้ว่านางนั้นกำลังวางแผนอะไรอยู่
ในค่ำคืนนั้น จงซู่เฟิงมาหาหลินซีเหยียนแล้วบอกว่าเขามีเรื่องอยากที่จะคุยด้วย หลินซีเหยียนตอบตกลง แล้วทั้งสองคนตัดสินใจที่จะไปพบกันที่ร้านรสชาติที่แท้จริงในวันพรุ่งนี้
หลินซีเหยียนคิดว่า ถ้าพาเทียนเอ๋อไปด้วย เทียนเอ๋อจะต้องดีใจแน่ ๆ
หลังจากนั้นจงซู่เฟิงพบกับหลีเจี้ยนเฉินระหว่างทางกลับไปยังเรือนของเขา หลีเจี้ยนเฉินมองไปที่จงซู่เฟิงด้วยสีหน้าที่ยุ่งยากใจแล้วกล่าว “ต่อจากนี้เจ้าควรจะอยู่ให้ห่าง ๆ จากท่านหมอหลินเสีย”
จงซู่เฟิงเผยรอยยิ้มที่มุมปากของตน และกล่าวอย่างอบอุ่นเช่นเคย “ฮ่องเต้หลีกล่าวเช่นนี้หมายความเช่นไร? แม่นางซีเหยียนนั้นเป็นคนดีมาก ซู่เฟิงนั้นไม่คิดที่จะถอยง่าย ๆ แน่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าต้องการให้ข้าพูดจริง ๆ หรือว่าข้าหมายความเช่นไร?” หลีเจี้ยนเฉินจ้องไปที่จงซู่เฟิงอย่างโมโหแล้วกล่าว “เจ้าน่ะมันไม่คู่ควรกับนางยังไงล่ะ”
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฝ่าบาทจะเป็นคนตัดสินใจนะพ่ะย่ะค่ะ” จงซู่เฟิงยิ้มออกมา แล้วทิ้งท้ายประโยคนี้แล้วจากไป
คล้อยหลังยามคนจากไป แววตาของหลีเจี้ยนเฉินก็ดูจะขุ่นมัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ ๆ เขาพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ “ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าคิดจะหลอกใช้นางละก็ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
แล้วก็มีสายลมเย็นพาดผ่านมาพัดเอาคำพูดของเขาหายไปในอากาศ
แล้วสุดท้ายหลีเจี้ยนเฉินที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมเย็น หลังจากที่คิดอยู่พักใหญ่ๆ เขาคิดที่จะไปเตือนท่านหมอหลิน ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เป็นกังวลไปตลอดแน่
ในขณะที่เขามาถึงเรือนเชียนเหยียน หลีเจี้ยนเฉินพบกับคนที่เขาไม่อยากพบมากที่สุดเข้านั่นคือ เจียงหวายเย่!
“ไม่ทราบว่าทำไมองค์ชายเย่ถึงได้มาที่นี่ ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องไปสืบสวนคดีอยู่หรอกหรือ?” หลีเจี้ยนเฉินนั้นแม้จะรู้สึกประหลาดใจ แต่เขากลับรู้สึกรังเกียจมากกว่า เจียงหวายเย่นั้นช่างเป็นคนที่ตายยากดีจริงๆ
แล้วริมฝีปากของเจียงหวายเย่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นชอบที่จะพบกับเรามากที่สุด เปิ่นหวางจึงย่อมที่จะมาเพื่อทำให้เสี่ยวเหยียนเอ๋อดีใจอยู่แล้ว”
คำพูดของเจียงหวายเย่ซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขา บอกว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อชอบเจียงหวาย….แต่ไม่ได้ชอบเขา!
คำพูดนี้ทำเอาหลีเจี้ยนเฉินนั้นถึงกับหัวใจสลาย!
เมื่อเห็นตัวตนผู้สูงส่งสองคนนั้น มายืนตอบโต้กันเหมือนเด็กๆเช่นนี้ ทำเอาหลินซีเหยียนต้องหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เจียงหวายเย่กับหลีเจี้ยนเฉินหยุดแล้วหันมามอง หลินซีเหยียนอย่างจงใจ
“ท่านหมอหลิน มีใครเคยบอกกับท่านหรือไม่ว่า ท่านนั้นดูดีมากเวลาที่ยิ้มน่ะ” หลีเจี้ยนเฉินกลืนคำที่เขาจะพูดเมื่อสักครู่ไปแล้วพูดประโยคนี้แทนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไร้สาระ เสี่ยวเหยียนเอ๋อของเราน่ะดูดีตลอดเวลาอยู่แล้ว” คำพูดของเจียงหวายเย่นั้นเหมือนกับเป็นการตบหน้าเขา แต่เนื่องจากตัวตนของหลีเจี้ยนเฉินแล้วทำให้เขาต้องกัดฟันอยู่อย่างเงียบ ๆ
แล้วในที่สุดเรื่องนี้จบลง เมื่อหลินซีเหยียนบอกว่านางจะไปที่โรงหมอหุยชุน
เจียงหวายเย่รู้สึกเสียใจเพราะเขาไม่อาจที่จะไปกับ หลินซีเหยียนได้ เพราะเขายังมีธุระที่จะต้องไปตรวจสอบ ส่วน หลีเจี้ยนเฉินนั้นถึงจะมีเวลาว่างมาก แต่หลินซีเหยียนนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ให้เขาตามนางมา
เพื่อที่จะไม่ให้ท่านหมอหลินนั้นรังเกียจเขาไปมากกว่านี้ หลีเจี้ยนเฉินจึงได้มองส่งอยู่ที่หน้าประตูจวนมหาเสนาบดีแล้วมองดูหลินซีเหยียนจากไป
“แล้วเรื่องของการสืบสวนเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อหลินซีเหยียนไม่อยู่แล้ว แรงกดดันของทั้งคู่ถูกปล่อยออกมาทันที และเกิดประกายไฟขึ้นมาระหว่างทั้งสองคนนั้นอย่างชัดเจน
เจียงหวายเย่มองไปทางหลินซีเหยียนที่จากไป ก่อนจะหรี่ตาลง “ทูลฝ่าบาท ราชทูตของรัฐหลีเหมือนจะถูกสังหารด้วยปัญหาที่เขาก่อขึ้นมาเอง”
“องค์ชายเย่ก็รีบเข้าก็แล้วกัน อย่างไรเสียข้าเองก็ไม่อยากทำสงครามกับรัฐเจียงหรอกนะ”
เมื่อเขาได้พูดจบอย่างเย็นชา หลีเจี้ยนเฉินหันหลังแล้วจากไป ระหว่างทางเขาก็ยังครุ่นคิดอยู่ว่าจงซู่เฟิงนั้นคิดที่จะทำอะไรกันแน่?
แต่ไม่ว่าเขาจะคิดมากแค่ไหนก็คิดไม่ตกเสียที เขาจึงได้พูดเบา ๆ ในความมืดเพื่อสั่งให้คนของเขาคอยจับตาดูซู่เฟิงเอาไว้ มีเพียงวิธีนี้ที่จะทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
ในกลางดึกคืนนั้น ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังหลับสนิทอยู่นั้น หน้าต่างห้องของนางก็เปิดออก ปรากฏเป็นชายชุดดำคนหนึ่งกำลังกระโดดเข้ามาข้างในขณะที่กำลังเอามือกุมหน้าอกอยู่
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหาหลินซีเหยียนที่กำลังนอนอยู่ ในขณะที่มือของเขากำลังจะแตะตัวหลินซีเหยียนนั้นเอง อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วหยิบเอาเข็มเงินในมือตัวเองปักเข้าไปที่คอของเจียงหวายเย่
แต่ก่อนที่เข็มเงินที่มีพิษสีเขียวจะปักลงผิวของเขา เจียงหวายเย่กล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้ง “เหยียนเอ๋อ เปิ่นหวางเอง”
หลินซีเหยียนจึงได้หยุดมือ แล้วจากนั้นนางกลิ่นเลือดที่รุนแรงขึ้นมา “นี่ท่านบาดเจ็บเหรอ?”