หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 258 ใครทำร้ายเจ้า
บทที่ 258 ใครทำร้ายเจ้า
“ขอรับนายท่าน ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือขอรับ?” เด็กหนุ่มกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นสหายของเถ้าแก่เนี้ยและไม่ได้คิดทำร้ายเขา แต่ด้วยแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ใครจะไปอยู่เฉยได้ไหว
เจียงหวายเย่ถามทันที “เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านหมอหลินไปไหน?”
เมื่อได้ยินคำถามเด็กหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที ที่แท้ก็เพราะเขาผู้นี้หาเถ้าแก่หลินไม่พบนี่เอง เด็กหนุ่มจึงแย้มยิ้มตอบอย่างคนมีจิตใจรักบริการว่า “ท่านหมอหลินบอกว่าท่านจะไปที่ภูเขาตรงชานเมือง เพื่อไปหาสมุนไพรมารักษาฮ่องเต้ด้วยวิธีอาบยาขอรับ”
ภูเขาตรงชานเมือง!
ไม่พูดพร่ำทำเพลง เจียงหวายเย่ก็ผิวปากทันที ไม่นานเกินรอก็มีม้าสีดำตัวหนึ่งควบห้อมาทางที่เขาอยู่ ด้วยลำตัวที่สูงใหญ่ของมัน ก็ทำให้คนทั่ว ๆ ไปรู้ว่ามันเป็นม้าที่ยอดเยี่ยมมากเพียงใดเพียงแค่มองผ่าน ๆ
“อันอี้ไปรวบรวมคนกับม้ามา แล้วออกไปค้นหาที่ภูเขา”
“องค์ชาย ในเวลานี้ทั้งเมืองอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหากพวกเรารวบรวมกำลังพลในเวลานี้เข้า อาจจะตกเป็นเป้าสนใจของผู้ที่ไม่ประสงค์ดีได้นะพ่ะย่ะค่ะ” อันอี้เองก็กังวลเกี่ยวกับหลินซีเหยียนเช่นกัน แต่เขาเองก็กลัวว่าทุกสิ่งที่นายท่านอุตส่าห์พยายามสร้างขึ้นมาจะถูกทำลายไป
ถึงนี่จะเป็นการกล่าวเตือนองค์ชายเย่ แต่ดวงแต่ของคนองค์ชายเองก็กำลังเตือนอีกฝ่ายที่กำลังริอ่านเตือนเขาเช่นกัน
“ทำตามที่เปิ่นหวางสั่ง”
ถ้าองค์ชายจะไม่สนใจว่าสิ่งที่ตนเองได้พยายามทำมาจะสูญเปล่า อันอี้จึงไม่มีความคิดเห็นเป็นอื่นอีก ทำเพียงปล่อยพลุสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่นานนัก ก็มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ด้านนอกของวัดร้างแห่งหนึ่งตรงชานเมือง
“หาเสี่ยวเหยียนเอ๋อให้พบ ค้นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ในเวลานี้เจียงหวายเย่ได้ใจเย็นลงมาบ้างแล้ว เขามองดูผู้ใต้บังคับบัญชาของตนทยอยแยกย้ายกันไป
ซึ่งในเวลานั้น ร่างของหลินซีเหยียนได้จมไปอยู่ใต้กองใบไม้แห้งแล้ว…
หน่วยอันที่แยกย้ายกันไปพากันค้นหาทุกซอกทุกมุมในป่าอย่างละเอียด กระนั้นก็ยังไม่พบหลินซีเหยียน ทว่า พวกเขาได้พบเข้ากับถ้ำแห่งหนึ่ง
หน่วยอันที่พบไม่ได้เข้าไปในทันที แต่วางกำลังส่วนหนึ่งเฝ้าถ้ำเอาไว้ แล้วส่งคนออกไปรายงานให้ทางองค์ชายทราบ
และทันทีที่เจียงหวายเย่ทราบเรื่อง ก็กระโดดลงจากหลังม้า แล้วพากำลังคนที่เหลือไปที่ถ้ำแห่งนั้นทันที กระนั้นก็ยังไม่พบหลินซีเหยียนแต่อย่างใด จะพบก็แต่เพียงยุทโธปกรณ์มากมายและชายสองคนเพียงเท่านั้น
เจียงหวายเย่เข้าใจเรื่องทั้งหมดทันที
“พวกเจ้าสองคนคือลูกน้องของหลี่จางสินะ ที่ชื่อชวีเจิ้งกับชวีเสีย” แม้จะถูกคนที่เพิ่งเอ่ยชื่อไปเมื่อครู่ชี้ดาบใส่ แต่พวกเขาก็หาได้ตกใจแต่อย่างใด
สีหน้าของชวีเจิ้งดูกระวนกระวายขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าชายผู้นี้รู้ชื่อแซ่ของพวกเขาได้อย่างไร แต่เขาไม่คิดว่าเจ้าหนุ่มนี่จะรู้จากปากลูกพี่แน่ ๆ ลูกพี่ไม่มีทางขายพวกเขา ดังนั้นชวีจึงรีบพูดออกไปทันทีว่า “พวกเราไม่รู้ว่าพวกท่านพูดถึงอะไร พวกเราก็แค่หลงทางมาและคิดจะแวะพักในถ้ำแห่งนี้เท่านั้น”
เจียงหวายเย่ไม่ได้สนใจตัวตนของชายสองคนตรงหน้าแม้แต่นิด เพราะเพียงแค่เขาสั่งให้ลูกน้องสอบปากคำคนพวกนี้ ก็จะรู้เรื่องแล้ว แต่ในเวลานี้เขามีคำถามอื่นที่อยากจะถามมากกว่า
“ถ้าพวกเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าอาจจะยอมปล่อยพวกเจ้าไปก็ได้” พร้อมกับคลี่ยิ้มเย็นยะเยือก
ชวีเจิ้งกับชวีเสียรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาทันที พวกเขาสัมผัสถึงความอันตรายจากคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
“ท่านจะปล่อยพวกเราไปจริง ๆ หรือ?”
ชวีเจิ้งผู้เป็นพี่ของชวีเสียถามชายน่ากลัวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง พลางคิดในใจ ว่านี่อาจจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายในชีวิตของพวกตนสองพี่น้องแล้วก็ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด!
เจียงหวายเย่พลันหรี่ตาลง ก่อนจะกล่าวขึ้น “พวกเจ้าเห็นหญิงสาวที่แบกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นเขามาหาสมุนไพรที่นี่บ้างหรือไม่?”
สองพี่น้องแซ่ชวีพลันเบิกตากว้างทันที
หญิงสาว? หรือว่าจะเป็นผู้หญิงคนนั้น!
สายตาของชวีเจิ้งพลันล่อกแล่กไปมา แต่ในไม่ช้า เขาก็สงบลง “ขออภัยด้วยขอรับ พวกเราสองพี่น้องไม่เห็นผู้หญิงสักคนเลย”
“พวกเจ้าคิดหลอกข้ากันซึ่ง ๆ อย่างนี้เลยหรือ?” มีหรือว่าเจียงหวายเย่จะไม่ทันจับสังเกตท่าทีดูมีพิรุธของสองคนนี้ และนั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจเหลือเกินว่า สองพี่น้องตรงหน้าต้องเคยเห็นเสี่ยวเหยียนเอ๋อเป็นแน่!
ซึ่งนั่นก็ทำให้เจียงหวายเย่ไม่เข้าใจว่าทำไมสองคนนี้ถึงปิดบังไม่ยอมตอบความจริง
หรือว่าเจ้าพวกนี้ทำอะไรลงไปกับเสี่ยวเหยียนเอ๋อ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว สายตาของเจียงหวายเย่ก็ยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศคุกคามกดดันพลันแผ่ออกมาจากตัวเขาทันที
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ชวีเสียก็กัดฟัน ตวาดเสียงสั่นเทาใส่อีกฝ่ายทันที “พวกเราเป็นคนของฮ่องเต้นะ เจ้าจะฆ่าพวกเราไม่ได้!”
“แต่ข้าว่าข้าฆ่าได้”
ด้วยคำพูดอันเลือดเย็นชวนน่าขนลุกนี้ สองพี่น้องแซ่ชวีจึงมั่นใจว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะทำอย่างที่พูดเป็นแน่
“พวกข้าไม่ทราบจริง ๆ ขอรับ!” คนพี่รีบละล่ำละลักพูดออกไปทันที
“นี่พวกเจ้ายังพยายามคิดจะหลอกข้าอีกหรือ?” ปรากฏแววคมปลาบขึ้นในสายตาอันเย็นยะเยือกของคนพูด ฉับพลันนั้นเอง เจียงหวายเย่ก็ผลักฝ่ามือออก สองพี่น้องแซ่ชวีตัวกระเด็นไปกระแทกผนังทันที
“ข…ข้ายอมบอกแล้วขอรับ!” แซ่ชวีผู้น้องกระอักเลือดออกมาคำโตขณะที่พยายามพูด “อย่าฆ่าข้าเลย ข้าจะบอกท่านเดี๋ยวนี้แหละ”
ชวีผู้พี่ถลึงตาทันที “ห้ามพูดนะ!” ด้วยเขารู้ว่าผู้หญิงคนที่ชายผู้นี้ตามหาอยู่คงจะสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อดูจากท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว ดังนั้น หากชายผู้นี้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นได้ตายไปแล้ว พวกเขาจะต้องไม่รอดแน่นอน
ฝ่ายเจียงหวายเย่เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องไม่คิดจะปริปากบอกสักทีจึงหันไปมองอันอี้ เมื่ออันอี้เห็นดังนั้นจึงผงกหัวเบา ๆ แล้วเดินมาข้าง ๆ ชวีเจิ้ง ไม่รอช้าก็หักแขนคนที่นอนทรุดติดผนังอยู่ทันที
“อ๊ากก!! ปล่อยข้าไปเถอะ”
กร๊อบ!
แขนอีกข้างเองก็ถูกหักเช่นกัน
เสียงกรีดร้องเสียดแทงแก้วหูทุกคนไม่หยุดไม่หย่อน เมื่ออันอี้มองไปที่ฝ่ายเจ้านายของตนก็พบว่ามีสีหน้ายุ่งยากไม่ชอบใจเท่าไรนัก อันอี้จึงจัดการสกัดจุดชวีเจิ้ง ทำให้ฝ่ายนั้นไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาได้ แม้ว่าจะเจ็บแทบขาดใจเท่าไรก็ตาม
ชวีผู้พี่ในยามนี้จึงทำได้เพียงพะงาบปากเท่านั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ฝ่ายเจียงหวายเย่จึงหันไปมองทางชวีผู้น้องแทน “จะพูดหรือไม่?”
เพียงเท่านั้น เรี่ยวแรงทั้งหมดของชวีเสียก็หายไปจากร่างกายทันที ปากอ้าพูดไปตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด “แม่นางคนนั้นถูกพิษของแม่นางหวังเข้าไป ในเวลานี้นางคงจะตายแล้ว”
“พวกเจ้าว่าอะไรนะ?”
ในชั่วพริบตานั้นเอง เจียงหวายเย่ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าชวีเสีย มือคนพลันบีบคออีกฝ่ายจนขาดเลือดหน้าเขียว ใบหน้าของเจียงหวายเย่ยามนี้ดูน่ากลัวไม่ต่างอะไรไปกับราชายมบาลแม้แต่น้อย
“นางถูกพิษอย่างนั้นหรือ?”
ชวีเสียที่กำลังถูกบีบคออยู่พยักหน้าอย่างยากลำบาก
และเพียงพริบตาต่อมาเขาก็ถูกหักคอตายทันที
ชวีผู้พี่เมื่อได้เห็นน้องชายของตนตายก็รู้สึกท้อแท้แล้วหลับตาลง รอเพียงให้อีกฝ่ายฆ่าเขา ทว่ากลับมีเพียงกระแสเสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างหูเท่านั้น “อยากตายอย่างนั้นหรือ? สำหรับเจ้ามันยังน้อยเกินไป ข้าจะให้เจ้าตายช้า ๆ ”
พูดจบเจียงหวายเย่ก็ผละไปกล่าวกับอันอี้ด้วยเสียงแหบแห้ง “บอกทุกคนไปว่าต่อให้ต้องย้ายภูเขาลูกนี้ ก็ต้องหาหลินซีเหยียนให้พบ!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เวลาได้ล่วงเลยไปเรื่อย ๆ และในที่สุดยามค่ำคืนก็ได้มาถึง การค้นหาเป็นไปอย่างจำกัดยิ่งขึ้น ด้วยสภาพแวดล้อมที่มืดสนิทและต้องอาศัยเพียงแสงไฟจากคบเพลิงในการค้นหาเท่านั้น
เจียงหวายเย่ที่นั่งรออยู่ในถ้ำอันมืดสนิทนั้นกำลังฟุ้งซ่านและว้าวุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่สามารถลบภาพของหลินเหยียนซีที่ตายเพราะพิษออกไปจากจินตนาการได้เลย ชายหนุ่มจึงต้องชกไปที่ผนังถ้ำจนเลือดซิบเป็นครั้งคราวเพื่อหยุดความคิดพวกนั้นลง
ทันใดนั้นเอง กระบี่ยมโลกก็สั่น มันส่งเสียงกึก ๆ กระทบกับฝักอีกครั้ง
เจียงหวายเย่พลันนึกถึงสิ่งที่หลินซีเหยียนพูดขึ้นมาได้ “มีวิญญาณอยู่ในกระบี่เล่มนี้ และพวกมันสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของอีกฝ่ายได้”
ชายหนุ่มจึงได้ชักกระบี่ยมโลกออกมา แล้วหยดเลือดในมือไปบนคมกระบี่ ทันใดนั้น มันก็ส่องแสงสีแดงเลือดออกมา
ด้วยการชี้นำของกระบี่ยมโลกนี้เอง เจียงหวายเย่ก็มุ่งหน้าเข้าไปในป่า แล้วพบกับกองใบไม้แห้งกองหนึ่งพูนสูงประมาณเข่าอยู่ที่พื้น ดูราวกับเป็นเตียงใบไม้ขนาดย่อม
“เสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่ตรงนี้อย่างนั้นหรือ?” ชายหนุ่มหันไปถามกระบี่ยมโลกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
กระบี่ลอยไปยังใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ที่ปลิดใบครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นมันก็จิ้มปลายแหลมลงไปที่พื้นซึ่งพูนสูงกว่าที่อื่นเบา ๆ
เจียงหวายเย่รีบถลาไปยังกองใบไม้ต่างเตียงตรงนั้น แล้วคุกเข่าลงมือรื้อใบไม้แห้งทั้งหลายออกมาทันที