หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 263 ร่ายรำเหมือนหงส์บิน
บทที่ 263 ร่ายรำเหมือนหงส์บิน
เมื่อฮ่องเต้เจียงตอบตกลงแล้ว ก็ไม่มีทางเลือกอื่นให้บุตรีของบ้านมหาเสนาบดีได้ปฏิเสธอีก ทว่าสำหรับหลินหัวเยว่ที่จะต้องออกเรือนเร็ว ๆ นี้แล้วนั้น คงจะเป็นเรื่องไม่งามนักหากให้นางมาทำการแสดงในเวลานี้
ดังนั้นมหาเสนาบดีหลินจึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยต่อฮ่องเต้เจียง “ขอองค์ฮ่องเต้โปรดประทานอภัย เนื่องจากบุตรสาวคนโตของกระหม่อมกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานแล้ว กระหม่อมจึงไม่อาจให้นางออกมาแสดงได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้เจียงเองก็พอจะได้ยินเรื่องของหลินหัวเยว่มาบ้าง ซึ่งก็มีแต่เรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก จึงได้ตกลงเห็นด้วย
ทว่าในใจของหลินหัวเยว่ยามนี้กลับโกรธเคืองยิ่งนัก เมื่อสักครู่ นางเพิ่งจะจินตนาการถึงตอนที่นางกำลังร่ายรำให้ทุกคนต้องอิจฉาอยู่ แต่ในเวลานี้นางได้สูญเสียโอกาสนั้นไปเสียแล้ว
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังจะรอดูอะไรสนุก ๆ อยู่นั้น จิ่งชุนก็เดินมาหา จากนั้นก็เอนตัวเข้าหาหูของหลินซีเหยียนแล้วรายงาน “คุณหนูเจ้าคะ เมื่อสักครู่ข้าเห็นสาวใช้คนสนิทของฮูหยินอวี้แอบเข้ามาในวังหลวงพร้อมคนอีกสองคนเจ้าค่ะ”
“ช่างเป็นคนที่กล้าหาญอะไรเช่นนี้” นางกะไว้แล้วว่าฮูหยินอวี้จะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างอีกเป็นแน่ นางจึงได้ส่งสายตาไปหาชิงอวี่ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด
เมื่อรับทราบคำสั่งแล้ว ชิงอวี่ก็หายตัวไปทันที
“คุณหนูเจ้าคะ จิ่งชุนรู้สึกไม่ค่อยดีเลยเจ้าค่ะ” เมื่อจิ่งชุนเห็นคุณหนูไม่ตอบอะไรกลับมาจึงได้พูดต่อ “ทำไมพวกเราไม่หาข้ออ้างแล้วออกจากงานกันก่อนล่ะเจ้าคะ?”
“นั่นสินะ ข้าเองก็อยากออกไปจากที่นี่แล้วเหมือนกัน”
ข้อเสนอของจิ่งชุนนั้นตรงกับความคิดของหลินซีเหยียนพอดี ด้วยเพราะนางเองก็ไม่อยากทำการแสดงต่อหน้าคนอื่นในงานเลี้ยง
ในขณะที่สองนายบ่าวกำลังจะก้าวขาจากไปอยู่นั้นเอง ก็มีคนมาขวางพวกนางไว้
“นั่นคุณหนูสามของบ้านมหาเสนาบดีไม่ใช่หรือ? อีกเดี๋ยวก็จะถึงคราวแสดงของเจ้าแล้ว เจ้าจะรีบไปไหน?” คนที่มานั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหวังหรุ่ยซิน เพื่อนสนิทของหลินหัวเยว่ ซึ่งในอดีตพวกนางชอบสุมหัวรังแกหลินซีเหยียนอยู่ตลอด
หลินซีเหยียนพลันหยุดแล้วมองอีกฝ่ายอย่างดูแลคน “ได้โปรดหลีกทางด้วย อย่ามาขวางทางเดินคนอื่น”
เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ตนพูดถูกเมินเฉย หวังหรุ่ยซินจึงโมโหขึ้นมา “ข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ เจ้าไม่ได้ยินหรืออย่างไร?”
หลินซีเหยียนพลันคิ้วขมวด ก่อนจะหันไปทางจิ่งชุนด้วยใบหน้าที่แสดงความสงสัย ปากเอ่ยถามคนบ่าวว่า “จิ่งชุน เจ้าได้ยินเสียงหมาเห่าแถวนี้บ้างหรือไม่?”
“ข้าคิดว่าข้าได้ยินนะเจ้าคะ” ในตอนแรกจิ่งชุนนั้นไม่เข้าใจว่านายหญิงของนางหมายถึงอะไร จะไปมีสุนัขอยู่ในวังหลวงได้อย่างไร แต่พอนางเห็นคนตรงหน้าแล้ว นางก็เข้าใจได้ในทันที
สาวใช้ของหวังหรุ่ยซินพลันก้าวออกมาและกล่าวอย่างโมโห “เจ้ากล้ามาพูดว่าคุณหนูของข้าอย่างนั้นรึ!?คุณหนูของข้าเป็นถึงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านผู้ช่วยเจ้ากรมพิธีการเลยนะ”
“แล้วลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนนี่มันยิ่งใหญ่มากนักหรือไง?” หลินซีเหยียนเหยียดยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอามือไปลูบหัวจิ่งชุน “แล้วเจ้าไม่เห็นรึยังไง? นางเองก็เป็นบ่าวหัวแก้วหัวแหวนของข้าเลยนะ และในตอนนี้เจ้ากำลังขวางทางของข้ากับบ่าวหัวแก้วหัวแหวนของข้าอยู่ ยังไม่รีบหลีกทางไปอีก”
“เจ้า….มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” หวังหรุ่ยซินก็โกรธจัดกับท่าทีเสียดสีของอีกฝ่าย นางพลันกางแขนออกแล้วส่งสายตายั่วโมโหไปให้หลินซีเหยียน “ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้แล้วคอยดูว่าเจ้าจะทำอะไรได้!”
หลินซีเหยียนเมื่อนึกถึงอะไรสนุก ๆ ขึ้นมาได้ สายตาก็พลันมองไปบนหัวอีกฝ่าย ก่อนจะแสร้งทำสีหน้าเป็นหวาดกลัว “มีแมลงสีเขียวตัวใหญ่อยู่บนผมของเจ้าด้วยแหนะ ช่างน่ารังเกียจอะไรเช่นนี้!”
อย่างไรเสียหวังหรุ่ยซินเองก็เป็นหญิงสาวเหมือนกัน หลังจากที่นางได้ยินคำว่า “แมลง” แล้ว นางก็กระโดดโหยงด้วยความกลัว จากนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วเอามือลูบไปทั่วศีรษะเป็นพัลวัน
เฉี่ยวเอ๋อสาวใช้ของนางเองก็ตกใจจึงรีบเข้ามาดูให้ แต่ก็พบว่าไม่มีแมลงสักตัวเดียวอยู่บนหัวของนางเลย เฉี่ยวเอ๋อจึงจับมือนายของตนพร้อมกล่าวเตือน “คุณหนูเจ้าคะ นางกำลังโกหกท่านเจ้าค่ะ ไม่มีแมลงอยู่บนศีรษะของท่านเลย”
หวังหรุ่ยซินหยุดมือทันที แต่กว่านางจะรู้ตัว ผมเผ้าที่เคยม้วนเป็นทรงสวยงามของนางก็ยุ่งเหยิงไปหมดเสียแล้ว ในยามนี้ดูราวกับมีรังนกอยู่บนศีรษะของนางอย่างไรอย่างนั้น
หน้าอกของหวังหรุ่ยซินกระเพื่อมแรงด้วยความแค้น “เจ้ากล้าหลอกข้าอย่างนั้นหรือ!”
เสียงตวาดอันเกรี้ยวกราดของนางได้ดึงความสนใจของคนรอบข้างให้หันมามอง เมื่อเหล่าคุณหนูคุณชายได้เห็นสภาพอันน่าอับอายของหวังหรุ่ยซินแล้ว ก็พากันหัวเราะเยาะอย่างไม่อาจห้าม หลินซีเหยียนเองก็เช่นกัน
หวังหรุ่ยซินไม่อาจทนอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไป “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” พูดจบก็วิ่งหนีไปพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ
หลินซีเหยียนไม่คิดใส่ใจคำพูดเด็กน้อยเช่นนั้นอยู่แล้ว ซึ่งหลังจากที่นางพยายามปิดปากตัวเองให้หยุดหัวเราะได้สำเร็จ นางก็ตั้งท่าเตรียมจะเผ่นจากงานต่อทันที ทว่าเสียงแหลมของกาวกงกงก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ฝ่าบาทได้เรียกคุณหนูสามให้ไปพบ ได้โปรดตามข้ามาด้วย!”
หลินซีเหยียนเบะปากน้อย ๆ แต่เมื่อนางหันหลังกลับไปประจันหน้ากับกาวกงกง ใบหน้าของนางก็กลับมาเยือกเย็นนิ่งเรียบในพริบตา “รบกวนท่านกงกงช่วยนำทางด้วย”
จากนั้นนางก็ได้มาอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้เจียง โดยที่น้องสาวของนางอีกสองคนได้มาอยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้แล้ว
“หากพวกเจ้าต้องการสิ่งใดในการแสดงวันนี้ พวกเจ้าสามารถบอกกับนางกำนัลแล้วให้พวกนางจัดเตรียมมาให้พวกเจ้าได้เลย” ฮ่องเต้เจียงเอ่ยพร้อมกับกวาดสายตามองคุณหนูตระกูลหลินทุกคน ทว่าดวงตามังกรของเขายามที่ไปมองยังหลินรั่วจิ่งนั้น ก็ดูเหมือนจะมีความหมายอื่นแอบแฝงอยู่
“ส่วนลำดับของพวกเจ้าทั้งสามคนจะตัดสินด้วยการจับสลาก!” ฮ่องเต้เจียงกล่าวยังไม่ทันจบดี ก็ส่งสายตาไปทางกาวกงกง
กาวกงกงผงกหัวก่อนจะนำกล่องไม้ขนาดพอดีมือกล่องหนึ่งออกมา “ข้างในมีกระดาษอยู่สามแผ่น พวกท่านจับกันคนละแผ่นนะ”
หลินรั่วจิ่งได้ลำดับหนึ่ง หลินเสวี่ยเหยียนได้ลำดับที่สอง และหลินซีเหยียนได้ลำดับที่สามอย่างที่หวังเอาไว้
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ถูกพาไปคนละห้องเพื่อให้เตรียมการกันตามลำพัง
ณ ศาลาริมสระ ในขณะที่ทุกคนกำลังเบื่อหน่ายอยู่นั้น อยู่ ๆ ก็มีเสียงดนตรีเร้าใจบรรเลงขึ้นมา ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีสาวงามพร้อมผ้าปิดหน้าเดินออกมาอย่างแช่มช้อย หญิงสาวคนแรกเดินไปที่กลางเวทีอย่างช้า ๆ
การปรากฏตัวของหลินรั่วจิ่งได้รับเสียงปรบมือจากทุกคนทันที
สะโพกของหญิงสาวส่ายไปมาพลิ้วไหวราวงูไร้กระดูก เครื่องประดับบนอาภรณ์สะท้อนแสงไฟดูเลื่อมตา ร่างกายอันเย้ายวนเปลี่ยนท่วงท่าไปเรื่อย ๆ ตามทำนองดนตรี
ทุกคนล้วนจับจ้องไปที่นางเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่ฮ่องเต้เจียง จะเว้นก็แต่เจียงหวายเย่และฮ่องเต้หลี ที่บัดนี้กำลังมองหน้ากันเอง
หลินรั่วจิ่งกัดริมฝีปากอย่างไม่พอใจ นางร่ายรำให้ดูยั่วเย้ามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อเสียงบรรเลงดนตรีจบลง นางก็พบว่าตนเองไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่ตนตั้งไว้ได้
ฮ่องเต้หลีไม่ได้สนใจนาง
ส่วนฮูหยินอวี้ในทีแรกนั้นพึงพอใจกับการแสดงของลูกสาวตนมาก ทว่าในเวลานี้กลับเป็นห่วงเรื่องอื่นเสียมากกว่า
ส่วนหลินซีเหยียนที่ได้แต่นั่งรออยู่ในห้องโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวอะไรนั้น ก็พูดออกมาอย่างถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงดนตรีบรรเลงไป “ข้าเองก็อยากเห็นสิ่งที่เรียกว่าการเต้นยั่วยวนบ้างเหมือนกันนะ”
ทันทีที่หญิงสาวพูดจบ นางก็ได้กลิ่นบางอย่างซึ่งหอมหวานเป็นอย่างมากลอยมาเตะจมูก หลินซีเหยียนรู้ทันทีว่านี่เป็นกลิ่นของกำยาน แม้ว่าการตอบสนองของนางจะรวดเร็วมาก กระนั้นนางก็สูดดมเข้าไปบ้างนิดหน่อยแล้ว
“ใครน่ะ…” หลังจากที่พยายามประคองตัวเองอยู่สักพัก สุดท้ายหลินซีเหยียนก็หมดสติลงไปฟุบนอนกับโต๊ะ
“ไม่นึกเลยว่า นังลูกเจี๊ยบนี่จะระวังตัวแจขนาดนี้ โชคดีนะว่าเตรียมกำยานมาแรงพอน่ะ”
ในเวลานั้นเองก็มีชายสองคนโผล่ออกมาจากข้างหลังม่านกั้น อีกทั้งยังมีท่าทางเหมือนกับไม่เคยเห็นผู้หญิงมาแล้วมาเป็นสิบ ๆ ปี พวกมันเดินเข้าไปหาหลินซีเหยียนพร้อมกับพ่นคำพูดสกปรกออกมาอีกครั้ง
“โอ้ ไม่นึกเลยว่าผ่านไปห้าปี นังลูกเจี๊ยบนี่จะมีส่วนเว้าส่วนโค้งจนน่าจัดให้สักดอกแล้วด้วย”
ฟังจากคำพูดแล้ว ดูเหมือนพวกมันจะรู้จักกับหลินซีเหยียน แต่เมื่อดูจากสภาพเนื้อตัวดูคล้ายยาจกเช่นนี้ พวกมันก็ดูไม่น่าจะเป็นคนประเภทที่จะเป็นเพื่อนกับลูกสาวขุนนางอย่างหลินซีเหยียนได้เลย