หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 77 ไม่พอใจ
บทที่ 77
ไม่พอใจ
หลินซีเหยียนที่ถูกลืมนั้น ก็ทนไม่ไหวพูดเตือนสติพวกเขา “ท่านมหาเสนาบดี ท่านไม่มีอะไรจะพูดกับข้าหน่อย? ทั้งๆที่ข้าเป็นคนที่ช่วยคนรักและลูกของท่านแท้ๆ”
มหาเสนาบดีก็ได้มีสีหน้าดำมืดและกล่าวอย่างโมโห “ถึงแม้ว่าเจ้าจะขึ้นเสียง แต่เจ้าก็จะไม่ได้อะไรจากข้าไปหรอก?”
หลินซีเหยียนได้ยินก็พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา “ท่านมหาเสนาบดีคงจะสำคัญตัวเองผิดไปแล้ว ท่านมีอะไรที่ข้าไม่มีด้วยงั้นเหรอ?”
ก่อนที่มหาเสนาบดีจะได้กล่าวโต้เถียงอะไร หลินซีเหยียนก็ได้พูดต่อ “เงินทองงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าทรัพย์สินที่ท่านมีก็ได้มาจากขันหมากสิบลี้ของท่านแม่ข้าหรอกเหรอ, หรือจะอำนาจ แต่ท่านก็ยังมีอำนาจไม่สู้จวนตระกูลแม่ทัพเจิ้นกว๋ออยู่ดี, ยิ่งฐานะด้วยแล้ว ท่านก็ไม่อาจเทียบกับเจียงหวายเย่ที่เป็นเทพสงครามได้เลยแม้แต่น้อย”
เมื่อได้ยินที่หลินซีเหยียนพูดเช่นนี้แล้ว เป็นครั้งแรกที่มหาเสนาบดีหลินนั้นรู้สึกได้ว่าเบื้องหลังของลูกสาวของเขานั้นช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน และทำให้เขาตัดสินใจที่จะเอาชนะใจของหลินซีเหยียนอีกครั้ง
“พ่อขอโทษที่พ่อพูดอะไรเช่นนั้นไป แต่พ่อไม่ได้หมายความเช่นนั้น” มหาเสนาบดีหลินสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมา
ดูจากท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของมหาเสนาบดีหลินแล้ว หลินซีเหยียนนั้นแทบไม่ต้องคิดเลยว่าเขานั้นคิดจะทำอะไรอยู่ นางจึงได้หันหลังกลับไปโดยไม่พูดอะไร ถึงแม้นางจะพูดออกไปว่านางมีคนหนุนหลังมากมายแต่นางก็รู้ดีว่าอำนาจเหล่านั้นมันหมายความว่าอย่างไร
แต่แค่เอาชื่อของคนเหล่านี้มาใช้ข่มขู่คนพวกนี้ก็เพียงพอแล้ว แต่หากถึงเวลาคับขันขึ้นมาจริงๆหลินซีเหยียนก็ไม่คิดจะไปพึงคนเหล่านั้น อย่างไรเสียตนย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตน
หลังจากที่ดูละครตลกจบก็พบว่ามันดึกมากแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้กลับไปยังที่ห้องและพบจิ่งชุนที่กำลังจัดแจงห้องนอนอยู่
“คุณหนูต้องการน้ำหรือไม่เจ้าคะ?” จิ่งชุนที่เห็น หลินซีเหยียนดูเหนื่อยๆ ก็ได้ถามขึ้นมา
หลินซีเหยียนส่ายหัวแล้วจากนั้นความเพลียก็ได้เข้ามาในหัวของนาง หลินซีเหยียนนั้นเกือบที่จะร่วงลงไปกระแทกที่พื้น แต่ก็ถูกคว้าโดยใครบางคนก่อน หลินซีเหยียนนั้นก็รู้สึกได้ว่าคนที่มารับนางนั้นไม่ใช่จิ่งชุน แต่เป็นเจียงหวายเย่ที่นางหนีเขามาในวันนี้
ด้วยความเพลียหลินซีเหยียนจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป แล้วจากนั้นนางก็ได้ยินเสียงของเจียงหวายเย่ที่ฟังดูเรียบเย็นเช่นเคยดังอยู่เหนือหัวของนาง “เจ้าช่วยออกไปก่อน”
จิ่งชุนที่กำลังตกตะลึงนั้น ก็ได้ฟื้นสติขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงของเจียงหวายเย่ จากนั้นนางก็ได้รีบเดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ นางก็ได้ปิดประตูและตบหน้าของตัวเอง แล้วพูดพึมพำเบาๆ “ชายคนเมื่อสักครู่คือองค์ชายงั้นเหรอ? องค์ชายสามารถเดินได้แล้วเหรอ? ยอดไปเลยทีนี้คุณหนูก็มีคนให้พึ่งพาได้แล้ว”
จิ่งชุนก็ได้เดินกลับไปที่ห้องของนางด้วยสีหน้าที่ยินดี
หลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่ที่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังในห้องนั้น ก็ได้ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เสี่ยวเหยียนเอ่อยังคงโกรธเปิ่นหวางอยู่งั้นเหรอ?” เจียงหวายเย่ก็ได้อุ้มหลินซีเหยียนแล้วจากนั้นก็วางนางอย่างนุ่มนวลบนเตียง
หลินซีเหยียนไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในเวลานี้ตาของนางกลับมาบอดสนิทอีกครั้งแล้ว
เจียงหวายเย่ที่รู้สึกได้ว่าดวงตาของนางนั้นผิดปกติ แล้วสีหน้าของเขาก็ได้มืดหม่นลงทันที “เสี่ยวเหยียนเอ๋อหาวิธีถอนพิษได้หรือยัง?”
“ไม่เลย แต่มีสมุนไพรที่มีชื่อว่า“เชวี่ยผิง”อยู่หมู่สมุนไพรหายากที่ฮ่องเต้มอบให้ท่านด้วย ข้าต้องการมัน” หลินซีเหยียนกล่าวอย่างไม่กระวนกระวายอะไร
“ได้ เปิ่นหวางจะรีบบอกให้อันอี้นำสมุนไพรทั้งหมดมาให้เจ้า” หลังจากที่เจียงหวายเย่กล่าวจบ เขาก็ได้ยกมือขึ้นมาแล้วทำสัญญาณมือท่ามกลางยามค่ำคืน
แล้วก็มีเสียงลมพัดผ่านท่ามกลางความมืดมิด แล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้นั่งลงข้างๆหลินซีเหยียน แล้วจากนั้นก็ได้พูดกับนาง “การกระทำของเหลียนเอ๋อเกิดจากความไม่เอาใจใส่ของเปิ่นหวาง เปิ่นหวางตัดสินใจที่จะหาคู่และจัดงานแต่งงานให้กับนาง”
“องค์ชายเย่เอาเรื่องนี้มาบอกกับข้าทำไม?” แน่นอนว่าหลินซีเหยียนนั้นไม่คิดที่จะยกโทษให้เจียงหวายเย่ง่ายๆ
เจียงหวายเย่เองก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว ดวงตาสีดำเข้มของเขาก็บ่งบอกว่าเขายังไม่ยอมแพ้ และพูดต่อ “เหลืออีกแค่เดือนเดียวพวกเราก็จะแต่งงานกันแล้วนะ เสี่ยวเหยียนเอ๋อจะไม่ยกโทษให้ว่าที่สามีของเจ้าหน่อยเหรอ?”
“การแต่งงานนั้นเป็นแค่การชี้นำจากฮ่องเต้เท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าข้าจะต้องทำตาม” หลินซีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
เจียงหงายเย่ก็ได้หรี่สายตาลง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อคิดที่จะละทิ้งการแต่งงานของเจ้ากับเปิ่นหวางจริงๆเหรอ?”
“องค์ชายใช้คำพูดที่จริงจังเกินไป ข้าไม่เรียกว่าละทิ้งหรอก ข้าเรียกปล่อยท่านให้เป็นอิสระมากกว่า” หลินซีเหยียนได้ยินเสียงที่ห่อเหี่ยวของเจียงหวายเย่แล้ว นางก็ได้มีรอยยิ้มที่มุมปากของนางขึ้นมา
เจียงหวายเย่ก็ได้จับมือของหลินซีเหยียน หลินซีเหยียนอยากที่สลัดให้หลุดแต่ก็ไม่หลุด จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงที่คับข้องใจของเจียงหวายเย่ดังเข้าในหูของนาง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เปิ่นหวางหาได้ต้องการอิสรภาพไม่”
หลินซีเหยียนรู้สึกสดชื่นเหมือนได้จิบน้ำ นางไม่อยากจะเชื่อว่านางจะได้ยินคำพูดเช่นนี้ดังออกมาจากปากของ เจียงหวายเย่ แต่เสียงและบรรยากาศที่คุ้นเคยนี้ทำให้นางรู้ว่าเขาคือเจียงหวายเย่ตัวจริง
ในคืนนั้น หลินซีเหยียนก็ได้ทานยาที่ชิงอวี่เตรียมมา แล้วในที่สุดนางก็กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง แล้วนางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างเย็นชา “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทำไมองค์ชายถึงยังไม่กลับไปอีก?”
ตอนแรกเจียงหวายเย่นั้นไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปที่พระราชวังรัตติกาล แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจฝืนต่อการไล่แขกของหลินซีเหยียนอยู่ดี
หลังจากที่เจียงหวายเย่ออกมาจากห้องด้วยสีหน้าที่แห้งเหี่ยวแล้ว ก็ได้มีหัวน้อยๆโผล่ออกมา “ท่านอาจารย์ ทำไมท่านถึงไม่ให้เทียนเอ๋อเข้าไปล่ะขอรับ? เทียนเอ๋อก็คิดถึงท่านแม่เหมือนกันนะ!”
เจียงหวายเย่ก็ได้ลูบหัวของเทียนเอ๋อ “ท่านแม่ของเจ้ากำลังหลับอยู่ พวกเราอย่าไปรบกวนนางเลย”
เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างสงสัย “แล้วทำไมท่านอาจารย์ถึงได้เข้าไปได้ล่ะ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้เขกกะโหลกของเทียนเอ๋อ แล้วก็พูดด้วยเสียงเบาๆ “เจ้านี่ถามซอกแซกจริงๆเลย ว่าแต่เจ้าเรียนวิชาตัวเบามาแล้วหรือยัง?”
“ไม่ใช่ท่านอาจารย์เคยบอกว่าวิชาตัวเบาไม่เหมาะกับงานตอนกลางวัน ท่านจึงยังไม่ได้สอนข้าเลย” เทียนเอ๋อกล่าวอย่างเสียใจ
ในเวลานั้น แม้แต่ลูกของหลินซีเหยียนก็ยังทำ เจียงหวายเย่พูดอะไรไม่ออก สุดท้ายเขาจึงได้หิ้วเทียนเอ๋อแล้วเหาะกลับไป
ในยามรุ่งสาง เมื่อหลินซีเหยียนลืมตาขึ้นมานางก็พบพิราบส่งสารเสี่ยวฮุยกระโดดเล่นไปมาอย่างสนุกสนานอยู่ข้างหน้านาง นางจึงได้กระแอมเบาๆ แล้วเสี่ยวฮุยก็ได้เอียงตัวมาหานาง
หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาจดหมายออกมาจากขาของนกแล้วจากนั้นก็อ่านข้อความที่เขียนส่งมาแล้วพบว่า เยี่ยจุนเจี๋ยบุตรคนโตของท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อได้ขอให้ท่านไปพบ
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วคิดว่าเยี่ยจุนเจี๋ยมีธุระอะไรกับนางกันแน่นะ?
สุดท้ายหลินซีเหยียนก็ได้กินอาหารเช้าแล้วปีนออกนอกกำแพงไป ในขณะที่เดินไปตามถนนนางก็รู้สึกได้ถึงสายลมเย็น หลินซีเหยียนจึงได้หยิบพัดขึ้นมาสะบัด
แต่ไม่คาดคิดว่านางจะเดินไปชนกับคนอื่นเข้าโดยบังเอิญ
“ขอโทษที เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หลินซีเหยียนก็ได้รีบหันไปมองผู้ที่ชนกับนางด้วยความกังวล แต่เมื่อใบหน้าที่น่าหลงใหลเหนือผู้ใดของซางกวนจิ่นแล้วก็ต้องตกใจ
หลินซีเหยียนที่พบว่าเขาไม่เป็นอะไรจึงได้รีบที่จะหนีไป แต่นางกลับถูกคว้าเอาไว้โดยซางกวนจิ่นเสียก่อน “เจ้านี่เป็นคนอย่างไรกัน เดินชนคนอื่นแล้วคิดที่จะเดินหนีไปเฉยๆอย่างนั้นเลยเหรอ?”
ซางกวนจิ่นกล่าวจบก็พบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นดูคุ้นหน้าคุ้นตามาก เขามองมาที่หลินซีเหยียนแล้วก็พลันตบหัวตัวเอง “มันเป็นเจ้านี่เอง คนที่ทำลายบันไดของข้าในตอนนั้น ข้ามองหาเจ้ามาตลอด แต่วันนี้ทั้งๆที่ข้าไม่ได้ตามหาแต่กลับพบเจ้าที่นี่ ข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไรดีนะ?”
แล้วซางกวนจิ่นก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วดึงมือของหลินซีเหยียนลากไป “ข้าว่าเราไปหาสถานที่เหมาะคุยเรื่องคราวที่แล้วกันดีกว่า”
แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ถลึงตาใส่อย่างช่วยไม่ได้ ในเวลานี้นางทำได้แค่เพียงตามซางกวนจิ่นไปยังร้านน้ำชาเล็กๆแห่งหนึ่ง