หมอยาเสน่ห์หา - ตอนที่ 33 มองเห็นความผิดปกติ
ตอนที่ 33 มองเห็นความผิดปกติ
ไทเฮาและฮองเฮาเองก็เสด็จมาอารามชูหยางกับนาง ด้วยเช่นกัน เมื่อมาถึงอารามหลวงหยงเฟยที่คอยเฝ้าดู อาการขององค์ชายอานเหยียนไม่ห่างก็พบนางกำนัล หลวงที่ค่อยๆประคองชูเซี่ยเข้ามา นางไม่ได้เอ่ยถาม อาการชูเชี่ยก็รีบเอ่ยขึ้น “หยิงหลง เจ้ามาก็ดีแล้วรีบมา ดูอาการอาเหยียนเร็วเข้า เมื่อครู่เขาอาเจียนนมออกมา จนหมดเลอะไปทั้งตัว นางกำลังเพิ่งจะเปลี่ยนชุดให้เขา เรียบร้อยดี จากนั้นก็ร้องไห้งอแงไม่ยอมหยุดกว่าจะหลับ ได้สักครั้งช่างยากเย็นเหลือเกิน”
ยามนี้หยงเฟยมองว่าชูเซียเป็นผู้มีพระคุณของอานเหยี ยนไปแล้ว เนื่องด้วยหมอหลวงเองก็พยายามทุกวิถีทาง เพื่อจะรักษาอาการของอาเหยืนนแต่ก็ไม่สำเร็จ ยามนี้นาง จึงฝากความหวังไว้ทั้งหมดไว้แก่ตัวของชูเซี่ย ได้แต่หวัง ว่านางจะช่วยรักษาอานเหยียนให้หายได้
ชูเซี่ยมองสำรวจสีหน้าขององค์ชายน้อยในใจนางก็เกิด ความหวาดหวั่นขึ้นมา ผิวกายมีสีเหลืองจนน่ากลัว นางลอง เปิดเปลือกตาดูก็ดวงตาของเด็กน้อยก็พบว่ายามนี้ตาขาวก็ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทั้งหมดเช่นกัน
“อาการตัวเหลืองเช่นนี้มีโอกาสเป็นโรคเม็ดเลือดแดง แตกเฉียบพลันจริงๆ” นางเอ่ยพึมพำเสียงเบา
“หิมะละลายหรือ คือโรคแบบใดกัน มีทางรักษาหรือไม่” หยงเฟยครั้นเห็นสีหน้าหวาดกลัวของชูเซี่ยก็ตื่นตระหนก จนฟังเพี้ยนไป เอ่ยถามนางอย่างร้อยรน
ทันใดนั้นไทเฮาก็เสด็จมาถึง หยงเฟยเมื่อเห็นว่าไทเฮา และฮองเฮาต่างเสด็จมาถึงที่นี่ก็รีบร้อนเข้าไปถวายบังคม “ถวายบังคมไทเฮา!” จากนั้นก็เบือนหน้ามาทางฮองเฮา ค่อยๆย่อกายลงช้าๆ “ฮองเฮาช่างมีน้ำพระทัยต่อหม่อมฉัน เหลือเกิน!”
“ไม่ต้องมาพิธีหรอก อานเหยียนเป็นอย่างไรบ้างไทเฮา ตรัสถามถึงอาการของพระราชนัดดา
หยงเฟยน้ำตาคลอจวนเจียนจะหยดลงมา“ดื่มนมไป ไม่เท่าไหร่ก็อาเจียนออกมาจนหมด เมื่ออาเจียนเสร็จก็ ร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้จนหมดแรงถึงจะหลับลงได้เพคะ!”
ไทเฮาเองก็ได้ยินที่หยงเฟยเอ่ยถามถึงอาการของอานเห ยียนพระองค์เองก็ข้องใจสงสัยเช่นกัน “เมื่อครู่เจ้ากล่าวอะไรออกมาหรือ หิมะละลายใช่หรือไม่ ยามี้ เมืองหลวงเพิ่งจะย่างเข้าสู่สารทฤดูเท่านั้น!”
“ไม่ใช่หิมะละลายเจ้าค่ะ หม่อมฉันกล่าวถึงโรคตัวเหลือง นี่ล่ะเพคะ โรคตัวเหลืองมีอยู่สองชนิด ชนิดแรกคือเด็กแรก เกิดทั่วไปมักจะมีอาการตัวเหลืองแต่กำเนิดกันเกือบทุก คนอยู่แล้วเพคะ แต่ก็จะสามารถหายได้เองหลังจากเวลา ผ่านไปเพียงกี่วัน แต่หากว่าอาการยังไม่หายทั้งยังรุนแรง ขึ้นหม่อมฉันเกรงว่านี่จะเป็นอาการของโรคตัวเหลือง โรค ตัวเหลืองในทารกแรกเกิดมักจะเกิดจากการผิดปกติใน ตับและเลือด เราจึงเรียกกันว่าภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เฉียบพลันเพคะ” ชูเซี่ยพยายามบอกเล่ารายละเอียดให้ทุก คนเข้าใจได้ง่ายที่สุดและพยายามหลีกเลี่ยงศัพท์ทางวิทย ศาสตร์ในโลกเดิมของนางอย่างเต็มที่
“ที่เจ้ากล่าวมาทั้งหมดข้าไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เจ้าพูด มาเถิด ต้องทำเช่นใดบ้างจึงจะสามารถรักษาเขาให้หาย ได้ ข้าเห็นเขากลายเป็นเช่นนี้ปวดใจยิ่งนัก!” ไทเฮาร้อน พระทัยยิ่งนัก หลายวันมานี้เหล่าหมอหลวงต่างไม่สามารถ รักษาและบอกพระองค์ได้ว่าแท้จริงแล้วองค์ชายน้อยเป็น โรคร้ายอะไรกันแน่ ทว่าชูเซี่ยเพียงแค่มองดูครู่เดียวก็มอง ออกทันที แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นสายตาเป็นกังวลของ
นางแล้ว พระองค์ก็อดหวาดกลัวไม่ได้
ซูเซี่ยนางไม่ได้ตอบคำถามของไทเฮา ในหัวของนาง กำลังใช้ความคิดอย่างหนัก หากเป็นยุคของนางแล้วล่ะ ก็วิธีรักษาใช้เพียงแค่การฉายแสงก็สามารถหายได้ ทว่า ในยุคนี้สิ่งที่นางนึกออกก็คงเป็นเพียงวิธีการใช้แสง ธรรมชาติเท่านั้นกระมัง การฉายแสงรักษาโรคตัวเหลือง ในเด็กทารกมักจะใช้แสงสีฟ้า ทว่าในแสงแดดธรรมชาติ นั้น มีทั้ง แดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า ม่วง ดังนั้นแม้จะไม่ได้ มีประสิทธิภาพเท่าการฉายแสงสีฟ้าโดยตรงแต่ก็นับว่า ทดแทนกันได้
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นกราบทูล “นำอานเหยียนออกไปข้าง นอก พวกเราต้องให้เขาตากแดด!”
หยงเฟยได้ยินเช่นนั้นก็ไม่เห็นด้วย “ให้ตากแดดหรือ ข้าง นอกลมแรงมาก ร่างกายเขายามนี้อ่อนแอมากจะให้ออก ไปต้องลมภายนอกได้อย่างไรกัน”
“หยงเฟยเพคะ หากไม่ให้โดนแสงแดดแล้ว ข้าเกรงว่า อานเหยียนอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้!” ชูเซี่ยเห็นว่านี่เป็น
เพียงวิธีเดียว
ครั้นหยงเฟยเห็นชูเซียยืนกรานเช่นนั้น ก็จนคำพูดหันหน้า ไปยังไทเฮาหวังให้ช่วยเอ่ยอะไรออกมาห้ามสักคำ “หยิ่ง หลงที่หยงเฟยกล่าวมาก็มีเหตุผล ภายนอกยามนี้ลมแรง ยิ่งนัก อานเหยียนร่างกายอ่อนแอทั้งยังป่วยไข้อยู่ การ โดนลมย่อมไม่ดีต่อร่างกายของเขา”
ฮองเฮารั้งแขนของนางไว้ “เด็กน้อย ไฉนเจ้าถึงดื้อรั้นนัก เล่า อานเหยียนเป็นถึงพระราชนัดดาอันดับหนึ่งขององค์ ฮ่องเต้ เจ้ามิอาจคิดทำสิ่งใดที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของ เขาได้!” ฮองเฮาตรัสข้างหูนางเสียงเบา ไม่มีผู้อื่นได้ยิน อีกนอกจากนาง นางทราบดีว่าการกระทำเช่นนี้เสี่ยงเพียง ใด หากองค์ชายอานเหยียนเป็นอะไรขึ้นมานางก็คงไม่อาจ รักษาชีวิตน้อยๆของตนเองไว้ได้ แต่ทว่านี่เป็นการพูดถึง ความเป็นความตายของเด็กน้อยคนหนึ่ง นางไม่มีทางเลือก อีกแล้ว
“อาการของพระราชนัดดาเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ได้โปรด ฟังข้าเถิด เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวพันถึงชีวิตขององค์ ชายน้อยเลยนะเพคะ” ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองสบสายตากับห ยงเฟยอย่างแน่วแน่
หยงเฟยจ้องตอบหญิงสาวตรงหน้า ริมฝีปากของนางอ้า ออกต้องการจะกล่าวอะไรออกมาทว่าท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ย อะไรออกมาจึงหันมาขอความเป็นธรรมต่อองค์ไทเฮา “ขอให้ไทเฮาตัดสินพระทัยด้วยเพคะ!”
ไทเฮาดำริอยู่ชั่วครู่ ก็ตรัสรับสั่งเฉินมามา “ไปตามหมอ หลวงมา!” เฉินมามาย่อกายรับคำสั่งก็จะเดินออกจากห้อง ไป
เพียงไม่นานใต้เท้าเยี่ยนพ่านและหมอหลวงอีกสองท่าน ก็เดินเข้ามาภายในห้องทั้งสองเป็นหมอที่เชี่ยวชาญเรื่อง สตรีและเด็กโกยเฉพาะ สองวันมานี้เหล่าหมอในสำนัก หมอหลวงนี้ต่างก็มิได้พักผ่อนเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมด ทุ่มเทแรงกายเพื่อหาสาเหตุและวิธีรักษาองค์ชายน้อย อย่างสุดความสามารถ นับตั้งแต่ที่ฮ่องเต้รับสั่งคุมขังท่าน หมอซังกวนพวกเขาต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ กล้าเกียจคร้านแอบพักเพราะยามนี้ชีวิตพวกเขาทั้งหมด ต่างก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายทั้งนั้น ท่านหมอซ่งกวนแม้จะไม่ ถูกตัดสินโทษประหารทว่าจะมีอากาศได้ออกมาเห็นเดือน เห็นตะวันอีกหรือไม่ก็สุดจะรู้
ในวันนี้ที่องค์ไทเฮามีเสด็จรับสั่งให้พวกเขาเข้าเฝ้าทำให้ หมอหลวงทั้งสองรู้สึกตื่นตระหนกจนใบหน้าซีดขาวไป หมดทั้งยังเอ่ยสั่งเสียต่อครอบครัวเรียบร้อยเพื่อที่พวกเขา จะได้ทำใจและรับรู้เหตุผลว่าหากวันนี้พวกเขามีอันเป็นไป มาจากสาเหตุอันใดและไม่ต้องกังวลไป
ซูเชี่ยมิได้รับรู้เรื่องนี้มาก่อนเมื่อนางเห็นหมอหลวงผู้ดูแล องค์ชายน้อยมาถึงก็ต้องใจจะเอ่ยถามถึงอาการว่าในสอง วันที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง เพียงแต่ว่าตัวของหมอหลวง เองก็มีได้รู้เรื่องมากนัก ในความเป็นจริงหากเป็นเพียงเด็ก สามัญชนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคตัวเหลืองก็มักจะไร้ทางรอด ทว่าที่อาการองค์ชายน้อยยังประคองอยู่ได้ก็เป็นเพราะ มีมือของเหล่าหมอหลวงที่มีพยายามกันอย่างสุดความ anansa
ซูเชียไม่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมจากพวกเขาแม้แต่น้อย แม้ พวกเขาจะเป็นหมอที่เชี่ยวชาญด้านนี้แต่เมื่อไม่ทราบจริงๆ นั่นก็มิใช่เป็นความผิดพวกเขา
เหล่าหมอหลวง งรู้ดีว่าอาการตัวเหลืองขององค์ชาย น้อยไม่อาจหายได้ทั้งยิ่งมายิ่งเลวร้ายลงทุกที และอาจ ถึงแก่ชีวิตในที่สุด แต่ก็มีมีผู้ใดกล้าเอ่ยออกไป ทว่าในยาม นี้เมื่อชูเซี่ยเอ่ยลามพวกเขาก็ได้แต่บอกตามตรงว่ามิอาจ รักษาให้หายได้แต่ไม่กล้าเอ่ยถึงจุดจบอันเลวร้ายที่อาจจะ เกิดขึ้นได้
ไทเฮาตรัสถามใต้เท้าเยี่ยนพ่าน “ขามนี้พระชายานาง กล่าวมาต้องการนำองค์ชายน้อยออกไปตากแดด พวกเจ้า ก็เห็นควรว่าอย่างไร อากาศในช่วงสารทฤดูเย็นนัก หากุ้มอ อกไปเจออากาศหนาวเย็นเช่นนั้นจะไม่อันตรายต่อร่างกายขององค์ชายหรือ”
เยี่ยนพ่านลองไตร่ตรองในสิ่งที่ชูเซี่ยเสนอมา “ลม ภายนอกแรงนัก ทั้งองค์ชายน้อยยังป่วยหนัก หากอุ้มออก ไปข้างนอกต้องลมเกรงว่าจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงไปอีก ไม่ควรอย่างยิ่ง!”
เมื่อองค์ไทเฮาได้ยินที่เยี่ยนพ่านกล่าวมา ก็เงียบไปครู่ หนึ่ง พระองค์เป็นคนหัวโบราณ แต่ไหนแต่ไรมาผู้ป่วยไม่ สมควรต้องลม เรื่องนี้อย่าว่าแต่หมอเลยคนสามัญก็ย่อม รู้แต่ชูเซี่ยนางทุ่มเทแรงกายเพื่อช่วยชีวิตพระชายาและ พระราชนัดดาของพระองค์ ยามนั้นเหล่าหมอหลวงต่างก็ พร้อมใจกันสายหน้าและบอกกับพระองค์ว่าไม่อาจรักษา สองชีวิตแม่ลูกคู่นี้ไว้ได้แล้ว ทว่าในท้ายที่สุดชูเชี่ยกลับยื่น มือมาช่วยเหลือ อานเหยียนถึงได้รอดชีวิตมาได้ครั้งหนึ่ง เพียงแต่ยามนั้นอาจจะเป็นเพราะโชคช่วยก็เป็นได้ หากแต่ ยามนี้มิอาจเพิ่งโชคได้อีกแล้ว “หากเป็นเช่นนั้นย่อมต้อง เป็นหน้าที่พวกเจ้าที่ต้องรักษาองค์ชายน้อยอย่างสุดความ สามารถแล้ว อาเหยียนเป็นถึงพระราชนัดดาอันดับหนึ่ง ของฮ่องเต้ ข้าต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ หาไม่แล้วพวกเจ้า ทุกคนในสำนักหมอหลวงก็จงมอบหัวของพวกเจ้าให้ข้า เสีย!”
เมื่อองค์ไทเฮาตรัสออกมาเช่นนั้นใต้เท้าเยี่ยนพานและหมอหลวงอีกสองท่านก็ตื่นตระหนกจนใบหน้าซีด
เผือด
เมื่อหนทางข้างหน้าที่รอคอยพวกเขาคือความตาย หมอหลวงท่านหนึ่งจึงรีบก้าวมาข้างหน้าก่อนเอ่ยขึ้น “กระหม่อมเห็นว่าที่พระชายาหนิงอานกล่าวมามีความเป็น ไปได้พะย่ะค่ะ”
ไทเฮาเลิกพระขนงขึ้นทอดพระเนตรมาที่เขา “ไหนบอก ให้ข้าฟังหน่อยเถิดว่าความเป็นไปได้ของเจ้าหมายถึงอัน ใด!”
แพทย์ผู้นั้นเอ่ยทูล ทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และโลกต่าง พึ่งพากันและกัน เช่นเดียวกับหยินหยางในร่างกายของ คนองค์ชายน้อยยังเด็กนักอีกทั้งยังประชวร ธาตุหยินใน ร่างกายจึงมีมาก แต่ก็สามารถขับออกได้โดยการใช้หยิน เข้าช่วยเพื่อถ่วงสมดุลของร่างกาย คำพูดที่พระชายาหนิ งอันกล่าวมาทั้งหมดนั้นมิใช่จะไม่มีความเป็นไปได้สักที เดียวพะย่ะค่ะ”
ไทเฮาเชื่อในสิ่งที่หมอหลวงกราบทูลมามาก พระพักตร์ ค่อยๆฉายแววดีพระทัยขึ้นมา “เช่นนั้นแล้ว ที่เจ้ากล่าวมามี หลักฐานยืนยันหรือไม่”
“แม้ว่าจะไม่มีแนวคิดเช่นนี้บันทึกอยู่ในตำราเล่มใดเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ หม่อมฉันไม่กล้าปิดบัง ความจริงยามนี้อาการขององค์ชายน้อยเป็นอันตรายถึง ชีวิต เรามีแต่ต้องลองเสี่ยงดูเท่านั้น หากยังปล่อยให้เป็น เช่นนี้ต่อไป ท้ายที่สุดอาจเกิดเรื่องเลวร้ายตามมาได้ แม้ว่าในใจของหมอหลวงจะมีความคลางแคลงใจอยู่บ้าง ต่อวิธีคิดเช่นนี้ ทว่าเขาก็เชื่อในตัวชูเซี่ย เขาเชื่อว่าหากนาง ไม่มั่นใจแต่แรกก็คงไม่เอ่ยออกมาเช่นนั้น ในเมื่อความตาย รออยู่ข้างหน้า เสี่ยงดูก็ไม่เสียหาย หากแม้ท้ายที่สุดแล้ว องค์ชายน้อยสิ้นพระชนม์ อย่างไรเสียพวกเราก็ได้ทุ่มเท อย่างสุดความสามารถแล้วไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้นั่นก็คงเป็น บัญชาจากสวรรค์กระมัง
หมอหลวงท่านนี้มีนามว่าหลงเฟยปีนี้อายุยี่สิบห้า เขา ตามบิดาเข้าวังตั้งแต่อายุเพียงยี่สิบสอง เดิมบิดาของเขา เคยดำรงตำแหน่งหัวหน้าหมอหลวงมาก่อน นับแต่เล็กจน โตเขาศึกษาเล่าเรียนวิชาการแพทย์มาโดยตลอด วิชาการ แพทย์ของเขาดีเยี่ยมมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงสามารถ เข้ามาเป็นหมอหลวงในวังแห่งนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยโดยทำ หน้าที่ของตนอย่างดีมาเสมอ ทว่าในวันนี้เพื่อความอยู่รอด ของตนแล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกนอกจากต้องทำ เช่นนี้
เมื่อองค์ไทเฮาชั่งน้ำหนักของข้อดีและข้อเสีย พระองค์ ก็ตัดสินพระทัยได้ในที่สุด “ดี ข้าเชื่อเจ้า หยิงหลง เจ้าสั่ง การให้แม่นมหลวงเตรียมการให้พร้อม สิ่งใดที่ต้องทำหรือ สมควรทำ เจ้าก็บอกให้พวกเขาจัดการก็แล้วกัน”
ชูเซี่ยถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะหันกายไปหาแม่นม หลวง “เจ้านำห่อผ้ามาห่อร่างขององค์ชายไว้จากนั้นย้าย เก้าอี้ตัวหนึ่งออกไปไว้ตรงลานด้านนอก ให้เขาตากแดด ประมาณครึ่งชั่วยาม ทำเช่นนี้ทุกวัน ทั้งเช้าและเย็น ใน ระหว่างนี้ข้าจะปรึกษาหารือกับเหล่าหมอหลวงว่าควรใช้วิธี การใดต่อไป!”
แม่นมหลวงรับคำ นางเอื้อมมาไปอุ้มองค์ชายน้อยไว้ก่อน จะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง “โอ้ถ่ายเบาเสียแล้ว หม่อมฉันขอ เปลี่ยนผ้าอ้อมให้องค์ชายก่อนนะเพคะพระชายา”
ท่าทางของนางลงมือจัดการได้อย่างคล่องแคล่ว นางนำ ผ้าอ้อมที่สะอาดมาวางเตรียมไว้ข้างกายก่อนจะค่อยๆถอด ผ้าอ้อมผืนเก่าออก “โอ้ ถ่ายหนักออกมาเสียนี่ หลายวันมา นี้ที่องค์ชายน้อยถ่ายออกมาล้วนเป็นสีขาวๆเช่นนี้เพคะ!”
ชูเซี่ยเหลือบมองก่อนจะคว้ามือของแม่นมไว้ “หลายวัน มานี้อานเหยียนถ่ายออกมาเป็นสีนี้เสมอเลยใช่หรือไม่ ไม่ใช่สีเขียวหรือ เจ้าให้เขาดื่มอะไรบ้างกันแน่”
เด็กทารกเพิ่งคลอดมักจะมีการถ่ายออกมาเป็นสีเขียว นั่น เป็นการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายของเด็ก
ทันใดนั้นแม่นมหลวงก็รู้สึกหวาดกลัว นางคุกเข่าลงกับ พื้นอย่างตื่นตระหนก “พระชายาอภัยให้หม่อมฉันด้วย เพคะ หลายวันมานี้องค์ชายน้อยไม่ได้ดื่มอะไรลงไปเลย นอกจากนมจากหม่อมฉัน แต่ต่อให้รับนมไปแล้วก็อาเจียน ออกมาจนหมด”
ชูเซียร้อง อ้อ ” ออกมาเพียงคำเดียวก่อนจะช่วยนางลุก ขึ้น “เจ้าจะคุกเข่าทำไมกัน ข้าแค่ถามคำถามเจ้าเท่านั้น เจ้า แค่ตอบออกมาตามตรงก็พอแล้ว”
สีหน้าของแม่นมสงบลงก่อน “หลายวันมานี้องค์ชายน้อย นอกจากนมและน้ำเปล่าอีกไม่กี่คำก็ไม่ได้ดื่มหรือกินอะไร อีกเพคะ”
นางหัวกลับไปมองเหล่าหมอหลวง “พวกเจ้าทราบเรื่อง พวกนี้หรือไม่”
เหล่ามองหลวงมองหน้ากันเล็กลัก ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าของ ไทเฮาก็ยิ่งหวาดกลัวไปหมด “หม่อมฉันสมควรตาย!”
“ข้ามีเรื่องอยากปรึกษากับพวกท่านเสียหน่อย ขอพูดตาม ตรงเลยได้หรือไม่” ชูเซี่ยเอ่ย
แต่หยงเฟยกลับถลาเข้ามาจับข้อมือของชูเซี่ยไว้ “เพราะ เขาไม่ได้ถ่ายออกมาเป็นสีเขียวหรือ ถึงได้ล้มป่วยเช่นนี้”
ชูเซี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หามิได้เพคะ นั่นเป็นเพราะ ร่างกายขององค์ชายมีปัญหาอยู่ก่อนแล้วจึงกลายเป็นเช่น นั้น หม่อมฉันต้องขอทดสอบอะไรบางอย่างเสียก่อน!” นาง ค่อยๆสำรวจบริเวณท้องน้อยขององค์ชายก่อนจะลองกด ลงเบาๆบริเวณนั้น เพียงกดลองเบาๆแค่สองครั้งองค์ชาย น้อยก็หน้าเปลี่ยนสีตกใจตื่นส่งเสียงร้องไห้จ้าขึ้นมา
ชูเซี่ยขมวดคิ้วก่อนจะลงมือเปลี่ยนผ้าอ้อมผืนใหม่ให้องค์ ชายด้วยตัวของนางเอง มีอของนางยังลองกดท้องน้อย ขององค์ชายอีกครั้ง เด็กน้อยก็ยิ่งส่งเสียงร้องไห้ดังมาก ขึ้นอย่างเจ็บปวด หยงเฟยเมื่อเห็นหลานรักของตนส่งเสียง ร้องไห้เช่นนี้ก็ปวดใจนักอยากจะเข้าไปห้ามแต่ทำไม่ได้จึงได้แต่กัดฟันยืนอยู่ที่เดิมของตน
ซูเซี่ยยอมผละมือออกจากองค์ชายน้อยในที่สุด นางหัน กลับมาทูลต่อไทเฮา “ท่านย่าเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องต้องหา รือกับเหล่าหมอหลวง!”
องค์ไทเฮาก็รับคำ “พวกเจ้าไปคุยกันที่ห้องโถงเถิด หยิง หลง ชีวิตของอานเหยียนอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว เจ้าต้อง ช่วยชีวิตเขาให้ได้เพื่อข้าเข้าใจหรือไม่!”
ฮองเฮามองชูเซี่ยด้วยแววตาเอ็นดูระคนสงสาร “หยิง หลง เจ้าจะไหวแน่หรือ บาดแผลบนร่างกายเจ้าสาหัสไม่ใช่ น้อยนะ”
ชูเซี่ยเห็นของฮ่องเฮาสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น หญิงสาวก็นึกถึงแม่ของนางขึ้นมา ทั้งสองช่างมีความ ละม้ายคล้ายกันเหลือเกิน ทำให้น้ำตาของนางเอ่อคลอขึ้น มา นางเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย “ท่านแม่มิต้อง เป็นห่วงไปหรอกเพคะ หม่อมฉันสบายดี!”