หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 103 ความวุ่นวาย
บทที่ 103 ความวุ่นวาย
Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นหยอกล้อกับเด็กๆ อยู่บนรถม้า สักพักหนึ่งเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังออกมาจากด้านในรถม้าเป็นระยะ แม้ว่าเสียงฆ้องกลองจะดังสนั่นฟ้า แต่ก็ไม่อาจหลบเร้นคนหูดีอย่างอิ่งสือซันได้ จวนคุณชายร้างมานาน หลายปีมานี้ไม่ค่อยเห็นคุณชายเอ่ยคุยหรือหัวเราะเหมือนคนทั่วไป บางทีหากได้อยู่กับแม่ลูกทั้งสี่ นับจากนี้เขาคงมีชีวิตอย่างปกติสุขแล้วกระมัง เงื่อนไขแรกคือการแก้พิษ แน่นอนเขาไม่กังวลเรื่องนี้ อย่างไรเสียยาแก้พิษก็อยู่ในรถ
เด็กน้อยทั้งสามตื่นเช้าเกินไป หลังจากเล่นกันสักพักก็หลับไปในอ้อมแขนของอวี๋หวั่น ชุดแต่งงานของอวี๋หวั่นค่อนข้างหนัก ทำให้อุ้มเด็กๆ ไม่สะดวก อีกทั้งยังร้อน โชคดีที่เธอไม่ได้แต่งงานในช่วงคิมหันตฤดู ไม่เช่นนั้น เธอเกรงว่าเธอคงต้องตายในรถม้าตั้งแต่ยังไม่ผ่านตำบลเหลียนฮวาด้วยซ้ำ
อวี๋หวั่นวางเด็กน้อยทั้งสามลงบนเก้าอี้ยาวด้านข้าง จากนั้นก็ดึงผ้านวมห่มให้พวกเขา เนื่องจากการมารับตัวเจ้าสาวเป็นฤกษ์งามยามดี ไม่อาจช้าหรือเร็วกว่านั้นได้ เวลามีเหลือเฟือ รถม้าจึงเคลื่อนไปช้ากว่าปกติ หลังจากอยู่บนรถม้าที่แกว่งไกวไปมา จึงกล่อมให้อวี๋หวั่นรู้สึกง่วงเคลิ้ม
อวี๋หวั่นไม่อาจฝืนตัวเองมากเกินไป จึงหยิบหมอนมารองหัวพิงผนังรถม้า ขณะที่สะลึมสะลือเธอก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจที่คุ้นเคยจากภายนอกรถ คลับคล้ายคลับคลาว่าพวกเขากำลังผ่านตำบลเหลียนฮวา ไม่นานหลังจากผ่านตำบลเหลียนฮวา เปลือกตาของเธอก็เริ่มเคลื่อนปิดลง
อิ่งสือซันต้องตื่นตัวอยู่เสมอ ก่อนออกมา คุณชายเตือนให้เขาเห็นแก่ส่วนรวม อย่าสร้างปัญหาหากพบสิ่งที่ไม่ควรใส่ใจ และหากประสบกับปัญหาที่ยากลำบากให้พยายามหลีกเลี่ยงอย่างชาญฉลาด อย่าพลาดฤกษ์งามยามดีให้เป็นขี้ปากคน คุณชายไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างไร ทว่าไม่อยากให้แม่นางอวี๋ต้องแปดเปื้อน
เรื่องคุณชายของเมืองเยี่ยนแต่งภรรยาสร้างความฮือฮาให้กับเมืองหลวงทีเดียว ยังไม่มีผู้กล้าไม่กลัวตายหน้าไหนเล่นตุกติก กลัวก็แต่จะมีคนเล่นสกปรก หลังจากเดินทางไปได้ครึ่งชั่วยาม ในอีกไม่กี่หลี่ข้างหน้าก็จะเข้าสู่ประตูเมืองทิศใต้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฆ้องกลองดังมาจากด้านหน้า อิ่งสือซันส่งสายตาให้องครักษ์ข้างๆ “ไปดูซิ”
“ขอรับ!”
องครักษ์ควบม้าไปดู และกลับมาอย่างรวดเร็ว “มีคนรับตัวเจ้าสาว เช่นเดียวกับเรา”
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วแลกเปลี่ยนสายตา นี่คงบังเอิญเกินไปกระมัง มารับตัวเจ้าสาวในวันเดียวกันก็พอแล้ว แต่ยังมารับตัวเจ้าสาวบนถนนสายเดียวกันอีก? นี่ไม่ใช่เทศกาลปีใหม่ ทว่าต่างรีบร้อนมาแต่งงานพร้อมกัน?
อิ่งสือซันยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้นักดนตรีหยุดบรรเลง
นักดนตรีเข้าใจความหมาย วางเครื่องดนตรีในมือลง เมื่อเสียงฝั่งนี้เงียบลง เสียงจากอีกฝั่งก็ชัดเจนขึ้น
อิ่งสือซันสั่งองครักษ์อีกครั้ง “ไปบอกพวกเขาว่าคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนแต่งงาน ให้พวกเขาหลีกทางไป”
“ขอรับ!”
องครักษ์ขี่ม้าของเขาอีกครั้ง
อิ่งลิ่วขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าเป็นกลอุบายหรือไม่?”
อิ่งสือซันกล่าวอย่างเฉยเมย “บอกยาก แต่ทุกอย่างต้องระวังไว้”
อิ่งลิ่วพยักหน้า พลางกำด้ามดาบที่เอวของเขา
องครักษ์ไปไม่นาน และกลับมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “พวกเขาไม่ยอมหลีก พวกเขาบอกว่าใกล้จะถึงฤกษ์ดีแล้ว หากหลีกทางอีกก็จะพลาดฤกษ์ดี ขอคุณชายโปรดให้อภัย”
อิ่งลิ่วประชดประชัน “หา ขอให้เชื้อพระวงศ์อภัยให้? เขาหน้าใหญ่เพียงใดกัน?”
“ใช่รึไม่? ข้าก็บอกไปเช่นนี้!” องครักษ์เอ่ย “ให้ข้าน้อยไปตักเตือนอีกครั้งหรือไม่?”
อิ่งสือซันจับบังเหียนม้าแน่น มองไปยังทิศของขบวนด้วยสายตาเยียบเย็น “มิจำเป็น นี่ไม่ใช่การรับตัวเจ้าสาว เจ้าเตือนไปก็ไม่มีประโยชน์ใด”
อิ่งสือซันสั่งให้องครักษ์ล้อมรถม้าของอวี๋หวั่นไว้อย่างแน่นหนา ส่วนตัวเขาควบม้านำอยู่ด้านหน้า อิ่งลิ่วเฝ้าอยู่ด้านหลังรถม้า ไม่นานขบวนรับตัวเจ้าสาวขบวนนั้นก็เดินมาพร้อมกับเสียงฆ้องกลองดังสนั่น ขณะที่ทั้งสองขบวนเดินผ่านกัน จู่ๆ นักดนตรีของฝั่งตรงข้างก็ร้องออกมา “เจ้าเหยียบข้าทำไม!”
นักดนตรีของจวนคุณชายที่ถูกใส่ความมีสีหน้ามึนงง “ข้าไปเหยียบเจ้าตอนไหน?”
“ก็เจ้าเหยียบไปแล้ว! ยังไม่ยอมรับอีก! เจ้าดูสิรองเท้าข้าถูกเจ้าเหยียบจนเป็นรอยหมดแล้ว!”
“เหตุใดเจ้าจึงไร้เหตุผลเช่นนี้? ข้าห่างกับเจ้าถึงเพียงนั้น จะเหยียบถึงรึ!”
ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน ไม่รู้ว่าผู้ใดผลักผู้ใดก่อน ผู้คนทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ฉากเบื้องหน้าตกอยู่ในความโกลาหล อิ่งสือซันเฝ้าดูด้วยสายตาเย็นเยียบ หน้าที่หลักของเขาคือปกป้องรถม้า ตราบใดที่พวกเขาไม่เข้าใกล้รถม้า เขาก็ไม่ต้องเปิดฉากฆ่าฟัน
คนฝั่งตรงข้ามย่อมไม่อาจสู้กับทหารองครักษ์ของจวนคุณชายได้ และจากไปด้วยความโกรธในที่สุด อิ่งลิ่วควบม้าขึ้นมา อิ่งสือซันส่งสัญญาณให้ขบวนเดินหน้าต่อไป
อิ่งลิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ตื่นเต้นจริงๆ ข้าเกือบคิดว่าจะมาปล้นเกี้ยวเจ้าสาวเสียแล้ว”
แม้จะล่าช้าไปสักหน่อย แต่ก็ยังไม่เป็นไร พวกเขาเร่งความเร็วก็ยังสามารถไปทันฤกษ์ ทว่าไม่ทราบเหตุใด ในใจของอิ่งสือซันจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาถามอิ่งลิ่ว “เมื่อครู่เจ้าเฝ้ามองรถม้า แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ใช่หรือไม่?”
อิ่งลิ่วพยักหน้า และถามทหารองครักษ์ที่อยู่ล้อมรอบทั้งสองฝั่ง “เจ้าเห็นผู้ใดเข้าใกล้หรือไม่?”
องครักษ์ส่ายศีรษะ
อิ่งสือซันเฝ้าอยู่ด้านหน้า อันที่จริงเขาไม่เห็นว่าผู้ใดมีโอกาสเข้าใกล้รถม้า แต่เขาก็ยังคงขี่ม้าไปเปิดม่านดู เมื่อเห็นเจ้าสาวนั่งอยู่ พร้อมกับบุตรทั้งสามที่นอนหลับสนิท เขาก็ลดม่านลง
ทว่าวินาทีต่อมา ดวงตาของเขาก็เกิดประกาย
ไม่ใช่!
เขามองไปที่เจ้าสาวที่นั่งตัวตรง พลันเอื้อมมือไปยังผ้าคลุมหน้าของเธอ
“นี่! เจ้าจะทำอะไร!” อิ่งลิ่วตะโกน
อิ่งสือซันเปิดผ้าคลุมหน้าออก นั่นเป็นใบหน้าที่ตกแต่งอย่างงดงาม แต่ไม่ได้เป็นใบหน้าของอวี๋หวั่น
หญิงสาวมองอิ่งสือซันด้วยความหวาดกลัว
“มีอะไรหรือ?” อิ่งลิ่วเดินเข้ามา
ดวงตาของอิ่งสือซันมืดมน “ฮูหยินของคุณชายหายไปแล้ว!”
…
พระอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า รถม้าเคลื่อนไปเรื่อยๆ บนทางเล็กๆ ที่คดเคี้ยว ทันใดนั้นล้อขวาก็สะดุดเข้ากับก้อนหินอย่างแรง ศีรษะของอวี๋หวั่นกระแทกกับประตูจนตื่นขึ้น
เมื่อเธอลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ทำคือใช้มือคลำหาเด็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เธอยกผ้าคลุมหน้าขึ้น จึงได้เห็นว่าเด็กๆ หายไปแล้ว เสียงฆ้องกลองก็เงียบไป แสงสว่างจากด้านนอกค่อยๆ มืดลง กลิ่นของภูเขาป่าไม้ลอยมาแตะปลายจมูก… นี่ก็ไม่ใช่ทางไปจวนคุณชาย ดังนั้นด้านนอกก็คงไม่ใช่องครักษ์และสารถีของจวนคุณชายเช่นกัน
หากเป็นเช่นนี้ เธอกำลังถูกลักพาตัวหรือ?
แล้วเด็กๆ ละ?
อวี๋หวั่นบีบนิ้วของเธอแน่น แต่ไม่ได้แสดงอาการผิดปกติ ไม่ส่งเสียงดังโวยวาย และนั่งอย่างสงบเงียบอยู่ในรถม้า กระทั่งรถม้าเคลื่อนออกจากป่า เข้าไปยังบ้านไร่เล็กๆ ที่ซ่อนอยู่
เมื่อสารถีหยุดรถม้า และกำลังเปิดม่านคลายจุดหลับใหลของอวี๋หวั่น ก็เห็นว่าอวี๋หวั่นตื่นแล้ว เธอนั่งอยู่ในรถด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง สารถีรถม้าตกใจมากจนถอยหลังไปสองสามก้าว และเกือบจะร้องออกมา
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “เด็กๆ อยู่ที่ใด?”
สารถีรถม้ายังไม่หายจากอาการตกใจ เขาผงะไปชั่วขณะ “เด็กๆ อะไร?”
ดูเหมือนว่าเธอจะถูกลักพาตัวมาคนเดียว อวี๋หวั่นจึงรู้สึกโล่งใจ
“เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ใด?” อวี๋หวั่นถามอีกครั้ง
สารถีรถม้ารู้สึกตกใจกับอวี๋หวั่น จนเอ่ยติดอ่าง “อยู่…อยู่ข้างใน”
อวี๋หวั่นลงจากรถม้า
เธอมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด รู้เพียงที่นี่ล้อมรอบด้วยภูเขา ภูมิประเทศห่างไกลความเจริญ เกรงว่าพวกอิ่งสือซันจะหาสถานที่นี้พบไม่ง่ายนัก เธอไปไม่ทันฤกษ์แต่งงานแล้ว เมื่องานแต่งงานไม่มีเจ้าสาว ไม่รู้ว่าความวุ่นวายในจวนคุณชายจะเป็นอย่างไร และเยี่ยนจิ่วเฉาจะกลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวงหรือไม่
เธอไม่ได้คำนึงถึงชื่อเสียงของตนเอง เธอไม่ได้สนใจสิ่งนั้นด้วยซ้ำ
เธอเดินเข้าไปในลานบ้าน
บ้านไร่หลังนี้ไม่โดดเด่น แต่ภายในกลับถูกดูแลอย่างสะอาดเรียบร้อย โต๊ะและเก้าอี้ล้วนทำจากไม้หวงหลี[1]ชั้นดี คานบ้านทำจากไม้จินสื่อหนาน[2] คนรับใช้ท่าทางสุภาพอ่อนโยนผู้หนึ่งออกมาต้อนรับพลางก้มคำนับเธอ “แม่นางเหนื่อยจากการเดินทางแล้ว โปรดเข้ามาพักผ่อน”
อวี๋หวั่นเย้ยหยัน “หากพวกเจ้าไม่ลักพาตัวข้ามา ข้าก็คงไม่ต้องเหนื่อยจากการเดินทางหรอกกระมัง?”
คนรับใช้หน้าเสีย ไม่กล้าตอบบทสนทนา จึงเอ่ยนำทาง “แม่นาง เชิญเข้ามาเถิด”
อวี๋หวั่นหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้าน กลางบ้านมีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาหันหลังให้ประตู อวี๋หวั่นจึงมองไม่เห็นหน้าตาของเขา แต่ก็เดาออกได้อย่างง่ายดาย…จากองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายเขา
อวี๋หวั่นปรายตามองจวินฉางอันผู้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ และเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “หลังจากแยกกันที่เรือ ก็ไม่พบกันเสียนานนะเพคะ องค์ชายรอง”
เยี่ยนไหวจิ่งได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของเธอตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าหลังจากได้ยินเสียงเธอจึงค่อยๆ ยืนขึ้นและหันไปมองเธอ
“เจ้ามาแล้วรึ” เยี่ยนไหวจิ่งกล่าว
“ถูกท่านจับมาแล้วเพคะ” อวี๋หวั่นแก้คำเอ่ยของเขา
เยี่ยนไหวจิ่งส่งสายตาให้จวินฉางอัน จวินฉางอันก็พยักหน้า ถอยออกไปและปิดประตูให้ทั้งสองคน
ภายในห้องมีตะเกียงน้ำมันที่จุดไว้ แสงสว่างวูบไหวยามต้องสายลมที่พัดเข้ามาจากช่องหน้าต่าง
“เจ้าเดาได้ว่าเป็นข้าหรือ?” เยี่ยนไหวจิ่งถาม เขาไม่เห็นร่องรอยความตกใจบนใบหน้าของเธอ
อวี๋หวั่นส่ายหน้า “มิใช่เดาได้เพคะ แต่ก็ไม่แปลกใจ”
แม้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะมีศัตรูมากมาย แต่ก็มีไม่กี่คนที่สามารถเข้ามาวุ่นวายในวันแต่งงานได้ เยี่ยนไหวจิ่งเป็นหนึ่งในนั้น แต่อวี๋หวั่นก็ไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำเช่นนี้จริงๆ เขาไม่คิดว่าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะมีผลเสียกับตัวเองหรือ? เขาคิดว่าตัวเองอยู่ใกล้กับตำแหน่งรัชทายาทแค่เอื้อมหรือ? หรือว่า…เธอมีความสำคัญมากพอที่จะเปรียบได้กับบัลลังก์ของเขา?
นี่มันแปลกเกินไปไม่ใช่หรือ? พวกเขาแค่พบกันเพียงไม่กี่ครั้งเอง?
“ดูเหมือนว่าเรื่องบนเรือหลวง คงไม่ได้ให้ความทรงจำกับองค์ชายรองมากนัก” อวี๋หวั่นกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
ไหนเลยเยี่ยนไหวจิ่งจะจำเรื่องบนเรือหลวงไม่ได้? เรือหลวงถูกทำลายในมือของเขา เพื่อไล่ล่าสตรีเพียงคนเดียว เยี่ยนจิ่วเฉาส่งกองทัพเรือมาก็มากพอแล้ว แต่อวี๋หวั่นยังเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดบุตรของเขาอีก ทว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยนไหวจิ่ง? ด้านหนึ่งก็เจรจาเรื่องอภิเษกสมรสกับบุตรีจวนอัครมหาเสนาบดี อีกด้านหนึ่งก็แย่งชิงผู้หญิงกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับเขาจริงๆ ก็คงจะกำจัดเขาไปแล้ว
เยี่ยนไหวจิ่งรู้ว่าตนเองทำให้พระบิดาโกรธอยู่ กลับต้องทำเรื่องยั่วโมโหพระบิดาในช่วงเวลาสำคัญนี้ แต่เขาก็ไม่อาจทนดูอวี๋หวั่นแต่งงานกับเยี่ยนจิ่วเฉาไปต่อหน้าต่อตาได้ เขาเสี่ยงที่จะสูญเสียบัลลังก์เพื่อแย่งชิงตัวอวี๋หวั่นมา
คราวนี้เขาจะไม่ปล่อยให้เยี่ยนจิ่วเฉาแย่งเธอกลับไปอีก
…………………………………………
[1] ไม้หวงหลี คือ ไม้พยุงที่ทรงคุณค่าในสมัยโบราณ
[2] ไม้จินสื่อหนาน คือ ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่งที่เนื้อไม้มีลวดลายเหมือนดิ้นทอง นิยมนำมาทำโลงศพหรือเฟอร์นิเจอร์