หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 109.1 นางเป็นภรรยาข้า (1)
บทที่ 109 นางเป็นภรรยาข้า (1)
Ink Stone_Romance
แตกต่างจากตำหนักเสียนฝูที่เหลืองอร่ามแวววาว รุ่งโรจน์ดั่งอาทิตย์กลางฟ้า ตำหนักเฟิ่งชีเย็นยะเยือกราวกับแสงยามพลบค่ำ ต้นอู๋ถงผลัดใบบดบังแสงแดดอยู่กลางลานกว้างชวนให้นึกถึงทิวทัศน์ในช่วงแรกได้ แต่น่าเสียดายที่ทิวทัศน์อยู่ห่างไกลนัก เหลือเพียงใบอู๋ถงที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นเท่านั้น
แอ๊ด…
ประตูวังที่ชำรุดทรุดโทรมมานานถูกขันทีดันเปิดออก เกิดเสียงดังสนั่นจนหลีเอ๋อร์ที่อยู่ข้างหลังอวี๋หวั่นตกใจ ยกมือขึ้นป้องปิดหู
อวี๋หวั่นเหลือบมองนางเบาๆ
เมื่อรู้ตัวว่าทำสิ่งที่ไม่ควร หลีเอ๋อร์ก็รีบลดมือลงและก้มหน้าก้มตาเดินต่อ
อวี๋หวั่นไม่เคยไปตำหนักเย็น แต่หากเทียบกับตำหนักเสียนฝูแล้ว ตำหนักเฟิ่งชีก็แทบไม่ต่างจากตำหนักเย็นมากนัก
ขันทีเฒ่าผมหงอกขาวเดินมาด้านหน้าและคำนับอวี๋หวั่น “กระหม่อมมาเชิญฮูหยินเยี่ยน”
“มิต้องมากพิธีหรอก” อวี๋หวั่นยกมือเปล่าขึ้น พลางส่งสายตาให้หลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์หยิบถุงเล็กๆ จากแขนเสื้อยัดใส่มือของขันทีเฒ่า
“รบกวนพาข้าไปพบฮองเฮาด้วย” อวี๋หวั่นกล่าว
ขันทีเฒ่ารับเงินไว้ และเดินหลังง่อนแง่น นำอวี๋หวั่นไปที่ห้องโถงใหญ่ของตำหนักเฟิ่งชี
ในห้องโถงใหญ่ที่ว่างเปล่า อวี๋หวั่นมองเห็นฮองเฮานั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์หงส์
ฮองเฮาสวมชุดนำโชคสีเหลืองสดใสตัวใหญ่ พร้อมกับมวยผมหนาที่สวมประดับด้วยมงกุฎหงส์ ปิ่นปักผมหงส์เก้าหาง และแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างละเอียดอ่อน นางอายุมากกว่าสวี่เสียนเฟยไม่กี่ปี แต่ดูราวกับคนละวัยกัน ในด้านหนึ่งนางรักษากลิ่นอายความเป็นฮองเฮาแห่งวังหลังไว้ได้ ทว่าอีกด้านหนึ่ง…นางก็ดูแก่มากแล้วจริงๆ ไม่ว่าจะใช้เครื่องประทินโฉมหนาเพียงใดก็ไม่อาจซ่อนริ้วรอยที่หางตาของนางได้
แต่นางยังคงพยายามยืดหลังที่งุ้มงอลงไปตามอายุให้เยียดตรง ราวกับกำลังรักษาความสง่าผ่าเผยสุดท้ายของฮองเฮาเอาไว้
แน่นอนว่า อวี๋หวั่นไม่กล้ามองฮองเฮาตลอดเวลา ก่อนเข้าวัง ลุงวั่นสอนให้เธอคำนับ เมื่อนางเดินมาถึงบันไดขั้นล่าง อวี๋หวั่นก็ยอบกายลงคำนับโดยไม่ช้อนสายตามอง
“เงยหน้าขึ้น” ฮองเฮาเอ่ย
อวี๋หวั่นเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง
“มองข้า” ฮองเฮาเอ่ยอีกครั้ง
หลี่เอ๋อร์ที่คุกเข่าลงพร้อมกับเธอหวาดกลัวจนตกตะลึง ถึงนางจะนิ่งกว่าน้องเถาเอ๋อร์ ทว่าเมื่อนางได้พบกับมารดาของแผ่นดินจริงๆ มิล้มลงกับพื้นตอนนี้ก็นับว่าจิตใจแข็งแกร่งมากแล้ว
อวี๋หวั่นสบตากับฮองเฮาอย่างสุขุมเยือกเย็น
ดวงตาของฮองเฮามีแววของความดุร้ายที่มาพร้อมอำนาจเหนือกว่า นางคลี่ยิ้มอย่างแผ่วเบา “ช่างเป็นดรุณีที่งดงามเสียจริง มิน่าถึงได้เข้าตาเด็กคนนั้นได้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นสตรีในชนบท บิดาของเจ้าแย่งความดีความชอบทางทหารของเหยียนโหวไปใช่หรือไม่?”
อย่างไรฮองเฮาก็เป็นฮองเฮา แม้ว่านางจะไม่เป็นที่โปรดปราน แต่นางก็ทราบข่าวของเมืองหลวงดี
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งยโส “กราบทูลฮองเฮา หม่อมฉันมาจากหมู่บ้านเหลียนฮวา ท่านพ่อของหม่อมฉันคืออวี๋เซ่าชิง หัวหน้ากองพันทัพใหญ่ซีเป่ยเพคะ”
ไม่ยอมรับว่าแย่งความดีความชอบทางทหาร และก็มิได้ขัดแย้งกับฮองเฮา
ฮองเฮายิ้มอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาว่าสวี่เสียนเฟยเคยเรียกเจ้าเข้าวัง และอารมณ์เสียกับเจ้ารึ?”
นี่ไม่ใช่ข่าวที่จะ ‘ได้ยิน’ มาผ่านๆ ได้ ดูเหมือนผ่านมาหลายปี ฮองเฮาก็ยังมิยอมรับชะตากรรมของนาง และยังคงรักษาวิถีฮองเฮาเอาไว้
อวี๋หวั่นเอ่ยหนักให้เป็นเบา “พระสนมสวี่เสียนเฟยทรงต้องการลิ้มรสอาหารฝีมือของหม่อมฉันเพคะ”
สายตาของฮองเฮาตกกระทบบนใบหน้าของเธอ ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็คลี่ยิ้มอ่อนโยนออกมา “มาคุยกันเถิด เชิญนั่ง”
อวี๋หวั่นค้อมกาย “ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”
หลีเอ๋อร์พยุงอวี๋หวั่นขึ้น และเดินไปที่เก้าอี้ด้านข้าง อวี๋หวั่นนั่งลง ส่วนหลีเอ๋อร์ก็ยืนอยู่ด้านหลังตามกฎระเบียบ
นางข้าหลวงนำชาร้อนมาถวาย
อวี๋หวั่นรอให้ฮองเฮาจิบก่อนหนึ่งคำ จึงยกถ้วยน้ำชาขึ้น
ฮองเฮายิ้มพลางกล่าวว่า “ตำหนักเฟิ่งชีมิอาจดื่มชาใหม่ของปีได้ ทำให้ฮูหยินเยี่ยนลำบากใจเสียแล้ว”
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ฮองเฮากล่าวหนักไปแล้ว หม่อมฉันเติบโตมาในชนบท น้ำชาที่ดื่มล้วนต้มจากรากต้นเจ๋อเอ่อร์ มีกลิ่นเหม็นคาว บางคนจึงเรียกมันว่าผักคาวทอง ชาของตำหนักเฟิ่งชีดื่มง่ายกว่าผักคาวทองมากนักเพคะ”
มีชาววังขำคิกคักเบาๆ ฮูหยินของคุณชายผู้นี้ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนหรืออย่างไร และ เอาหญ้าป่าจากบ้านนอกมาเปรียบเทียบใบชาในตำหนักเฟิ่งชี? แม้ชาในตำหนักเฟิ่งชีจะไม่ดีเท่าในตำหนักเสียนฝู แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามัญชนจะดื่มได้
ทว่าถูกอวี๋หวั่นทำให้ขบขันโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ฮองเฮาก็ไม่มีคำเอ่ยทิ่มแทงอีกต่อไป
ฮองเฮาโบกมือ เป็นสัญญาณให้คนในวังถอยไป
หลีเอ๋อร์ไม่ขยับ
อวี๋หวั่นเอ่ยเบาๆ “เจ้าออกไปรอด้านนอก”
“เอ๋?” หลีเอ๋อร์ตะลึงไปชั่วขณะ พลันเห็นสายตาชาววังทั้งหมดที่จับจ้องมาที่นางราวกับมองคนโง่ ใบหน้าของนางแดงฉาน รีบร้อนเดินออกไป ขณะที่ก้าวเท้าออกจากตำหนักก็สะดุดธรณีประตูด้วยความวิตกกังวล ฮองเฮามิได้ใส่ใจ ส่วนนางห็ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด
ห้องโถงที่เดิมทีเงียบสงัด กลับยิ่งวิเวกวังเวงกว่าเก่า
ฮองเฮาตรัสว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอกอยู่แล้ว ดังนั้นข้าจะคุยกับฮูหยินเยี่ยนอย่างเปิดอก ฮูหยินเยี่ยนมาที่นี่เพื่อรับตราประทับทองคำ ตามหลักแล้วข้าก็ควรจะให้เจ้าโดยไม่หวงแหน ทว่าน่าเสียดายที่ข้ามิต้องการทำเช่นนั้น”
สมกับที่เป็นฮองเฮา แม้ไม่เป็นที่โปรดปราน ก็ยังคุกคามผู้อื่นได้อย่างมั่นอกมั่นใจเพียงนี้
“ฮองเฮาเคยใช้ตราประทับทองคำบีบบังคับผู้อื่นมาก่อนหรือไม่เพคะ?” อวี๋หวั่นเอ่ยเบาๆ ไร้ซึ่งสีหน้าตื่นตระหนกใดๆ
ปฏิกิริยาของเธอตกอยู่ในสายตาของฮองเฮา นางสะบัดแขนเสื้อกว้างสีทองปักลายหงส์พลางเอ่ยว่า “แน่นอนว่าไม่มี เจ้าเป็นคนแรก”
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เข้าใจได้ สตรีของราชวงศ์ที่เคยเห็นในอดีต ล้วนเป็นการแต่งงานที่ได้รับการยินยอมจากฮ่องเต้ การที่ฮองเฮาปฏิเสธที่จะมอบตราประทับทองคำ เท่ากับการมีปัญหากับฮ่องเต้ ทว่าการแต่งงานของเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉาขัดต่อความปรารถนาของฮ่องเต้ แม้เยี่ยนจิ่วเฉาไม่เอ่ยอะไร แต่เธอก็รู้อยู่แก่ใจ ฮ่องเต้ทรงหวงแหนเขามาก พระองค์คงคิดว่าเธอไม่คู่ควรกับเขา ดังนั้นหากฮองเฮายึดตราประทับทองคำของเธอไว้ ฮ่องเต้ย่อมรู้สึกพอพระทัย
“คงเข้าใจแล้วกระมัง?” ฮองเฮาเอ่ยถามด้วยสีหน้าสบายๆ
อวี๋หวั่นพยักหน้า “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ เพียงแต่ไม่ทราบว่าฮองเฮาต้องการทำอันใด? ยึดตราประทับทองคำของหม่อมฉันเพื่อเอาพระทัยฝ่าบาท หรือมีเงื่อนไขใดที่หม่อมฉันต้องทำเพื่อให้ได้รับตราประทับทองคำเพคะ”
ฮองเฮายิ้ม “เจ้าฉลาดมาก ไม่แปลกเลยที่เจ้าสามารถเอาชนะเหล่าสตรีมากมาย มาแต่งเข้าจวนคุณชายได้”
อวี๋หวั่นเอ่ยในใจ สตรีไม่ได้มากมาย มีเหยียนหรูอวี้เพียงคนเดียว
ฮองเฮามองห้องโถงที่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวพลางตรัสว่า “ข้ารออยู่ที่ตำหนักเฟิ่งชีมาสิบปีเพื่อให้ฝ่าบาทอภัยโทษให้ข้า แต่ยามนี้ข้ารอต่อไปไม่ไหวแล้ว”
ก่อนมาเข้าวัง ลุงวั่นเล่าเรื่องฮองเฮาให้เธอฟัง ฮองเฮาเป็นภรรยาจากการอภิเษกกับฮ่องเต้และเป็นมารดาของรัชทายาท หลังจากฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ นางย่อมถูกสถาปนาเป็นฮองเฮา แต่ช่วงเวลาดีๆ ก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป ฮ่องเต้มีสนมลี่เฟยก่อน ต่อมาก็สนมสวี่เฟย คล้ายกับข้างกายฮ่องเต้ไม่เคยขาดแคลนหญิงงาม เพื่อความมั่นคงในตำแหน่งฮองเฮา นางจึงวางแผนทำร้ายสวี่เสียนเฟย ทว่าหลิวกุ้ยเหรินซึ่งกำลังตั้งครรภ์กลับได้รับเคราะห์แทนโดยไม่ตั้งใจ หลิวกุ้ยเหรินจากไปพร้อมกับหนึ่งร่างสองวิญญาณ ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยอย่างมาก จึงสั่งลงโทษฮองเฮา ทว่าสุดท้ายก็เห็นแก่ภาพลักษณ์ที่ดีของราชวงศ์และความรักฉันสามีภรรยา ฮ่องเต้ไม่ได้ทอดทิ้งฮองเฮา เขาเพียงบอกให้ฮองเฮาอยู่รักษาตัวที่ตำหนักเฟิ่งชี ทว่าในความเป็นจริงแล้ว เขาต้องการกักขังนางไว้ที่นี่
เรื่องนี้มองอย่างไรก็คล้ายกับนางถูกสวี่เสียนเฟยซ้อนแผน ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่พวกเขาสงสัยไปก็ไร้ประโยชน์ ฮ่องเต้ทรงไว้ใจสวี่เสียนเฟยมาก
ฮองเฮาลูบหน้าท้องหย่อนคล้อยของนาง “นางนั่นมันฆ่าลูกข้า! คิดจะใช้สถานที่เลวร้ายแห่งนี้กักขังข้าไว้ตลอดไป ฝันไปเถอะ!”
ลุงวั่นเล่าว่า ยามที่ฮองเฮาถูกตัดสินโทษ นางกำลังตั้งครรภ์มังกร เป็นองค์หญิงผู้หนึ่ง ทว่ากลับต้องแท้งกลางคัน
สวี่เสียนเฟยน่าเกลียดชังนั้นเป็นเรื่องแน่แท้ ทว่าฮองเฮาที่คิดทำร้ายนางก็ย่อมไม่บริสุทธิ์เช่นกัน ผู้ชนะเป็นเจ้าผู้แพ้เป็นโจร ก็เท่านั้นแล
“ฮองเฮาหมายให้พวกเราจัดการกับสวี่เสียนเฟยหรือเพคะ?” อวี๋หวั่นถาม
ฮองเฮาหัวเราะ “ข้ารู้ว่าเจ้ากับแม่ลูกเสียนเฟยไม่ถูกกันราวน้ำกับไฟ ทว่าหญิงเลวผู้นี้เป็นของข้า ข้าจะจัดการนางเอง พวกเจ้าแค่ทำให้ข้าออกไปจากตำหนักเฟิ่งชีได้ก็พอแล้ว”
เอ่ยน่ะมันง่าย
ฮองเฮาคลี่ยิ้มบางๆ “ข้ารู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เจ้าคิดสิ ข้าจะมอบตราประทับทองคำให้กับเจ้า และทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคืองพระทัย มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับข้าเช่นกัน ในเมื่อไม่ง่ายดายกันทั้งสองฝ่าย มิสู้เจรจาการค้าเป็นธรรมดีกว่าหรือ”
อวี๋หวั่นไม่มีคำเอ่ยใด
ฮองเฮามองยังอวี๋หวั่นและกล่าวว่า “เอาละ ข้าจะบอกเจ้าอีกอย่างเกี่ยวกับเยี่ยนจิ่วเฉา”
………………………
เมื่อมาถึงห้องทรงงาน
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนรถเข็น มองเห็นฮ่องเต้มีสีหน้าคาดไม่ถึง
ฮ่องเต้มองว่าเขากุเรื่องโกหกเช่นเดียวกับขันทีวัง มิได้คิดว่าเขาจะเดินไม่ได้จริงๆ ฮ่องเต้คร้านจะเปิดโปงเขา พลางตรัสอย่างห้วนๆ “เจ้ามาพอดี ข้ามีเรื่องจะเอ่ยกับเจ้าอยู่”
“กระหม่อมก็มีเรื่องจะเอ่ยกับฝ่าบาทเช่นกัน” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
มีเรื่องก็เรียกเสด็จลุง ไม่มีเรื่องก็เรียกฝ่าบาท หลายปีมานี้ฮ่องเต้เคยชินเสียแล้ว
ฮ่องเต้จ้องมองเขา พลางตรัสว่า “เจ้ายังมีสิ่งใดจะเอ่ยอีก? เจ้าจะแต่งงานกับสาวชาวบ้าน ข้าก็พยายามหลับหูหลับตาให้เจ้าแต่ง ยังมีสิ่งใดที่เจ้าไม่พอใจอีก?”
“พอใจอย่างที่สุด” เยี่ยนจิ่วเฉายั่วโมโห
……………………………………………………….