หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 109.2 นางเป็นภรรยาข้า (2)
บทที่ 109 นางเป็นภรรยาข้า (2)
Ink Stone_Romance
ฮ่องเต้ถูกเขาทำให้โกรธจัด ทว่าจำได้ว่ายังมีเรื่องสำคัญ จึงระงับโทสะแล้วตรัสกับเขาต่อ “ข้าเลือกไว้ให้เจ้าแล้ว บุตรีจวนผู้ตรวจการ เป็นสตรีที่งามพร้อมทั้งภายนอกและภายใน ฉลาดหลักแหลม มีความรู้ความสามารถ รูปร่างหน้าตาดี จิตใจบริสุทธิ์สูงส่ง มีชีวิตชีวาและน่าเอ็นดู ไม่มีผู้ใดเหมาะสมกับเจ้ามากไปกว่านี้อีกแล้ว”
ใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉาไร้ซึ่งความประหลาดใจ เขาเพียงแต่เลิกคิ้วและเอ่ยว่า “แต่งคนที่สูงส่งเช่นนี้มาเป็นอนุภรรยา คงลำบากแย่กระมัง?”
“ใครให้นางเป็นอนุภรรยา” ฮ่องเต้ตรัส “เจ้าจะขึ้นเป็นอ๋องในอนาคต นางจะเป็นพระชายาเยี่ยน ส่วนหญิงที่เจ้าแต่งงานด้วย ข้าจะมอบตำแหน่งเช่อเฟยให้นาง”
หญิงชาวบ้านกลายมาเป็นเช่อเฟยของเยี่ยนอ๋องได้ก็นับว่าปีนสูงแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย “หญิงคนนั้นก็คือคนที่ฝ่าบาททรงประทานฉายาแม่ครัวมือหนึ่งในใต้หล้าให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่เป็นคนละเรื่องกัน เจ้าแต่งภรรยา มิใช่เชิญแม่ครัว!”
“นางมิใช่แม่ครัว” เยี่ยนจิ่วเฉาสีหน้าบูดบึ้ง “นางเป็นภรรยาข้า”
ฮ่องเต้ตรัสอย่างเย็นชา “ข้าไม่เห็นด้วย! ได้ผ่านประตู มีสามหนังสือหกพิธีการใหญ่โต ก็นับว่าเป็นเกียรติแก่นางมากพอแล้ว เลิกคิดจะเป็นพระชายาเยี่ยนไปเสีย!”
เยี่ยนจิ่วเฉาโยนตราประทับสีทองของเยี่ยนอ๋องลงบนโต๊ะของฮ่องเต้จนเกิดเสียงดังลั่น “ตำแหน่งเยี่ยนอ๋องนี้ ผู้ใดอยากจะรับก็รับไป!”
ฮ่องเต้ตบโต๊ะและยืนขึ้น “เยี่ยนจิ่วเฉา!”
ฮ่องเต้โกรธจัด เด็กตัวเหม็นคนนี้ไม่ต้องการกระทั่งตำแหน่งเยี่ยนอ๋องเพียงเพราะสตรีผู้เดียว เขารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่? ที่เขาจะสละคือตำแหน่งอ๋องเช่นนั้นหรือ? นั่นคือทั้งจวนเยี่ยนอ๋อง ทั้งเมืองเยี่ยน!
“ฝ่าบาท! โปรดระงับโทสะ โปรดระงับโทสะพ่ะย่ะค่ะ…” เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ขันทีวังก็เดินฝ่าพายุความเสี่ยงที่จะถูกตัดศีรษะเข้าไป เขาเอ่ยกับเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างจริงใจเพื่อปลอบพระทัยฝ่าบาท “คุณชาย ฝ่าบาททรงทำเพราะหวังดีกับท่าน”
เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัดใส่อย่างเย็นชา พลางผลักรถเข็นออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
ฮ่องเต้โกรธมาก “เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ! นี่คือหลานชายที่แสนดีที่ข้าคุ้นเคย! กล้าสะบัดหน้าใส่ข้าต่อหน้าคนอื่น! ข้าคิดจริงๆ แล้วว่าคงต้องฆ่าเขาให้ตาย!”
“ฝ่าบาท ไยตรัสเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีวังกล่าวในใจ ท่านเต็มใจที่จะฆ่า คงฆ่าไปไม่รู้กี่ครั้งตั้งนานแล้ว แม้ว่าท่านจะไม่ฆ่า เด็กคนนี้ก็อยู่ไม่รอดเกินสองปี
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้มิได้มีน้ำโห ขันทีวังจึงรีบเกลี้ยกล่อม “คุณชายเป็นคนดื้อรั้น เอ่ยเพราะๆ ดีๆ จึงจะยอมทำตาม แต่กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทมิต้องทรงกังวลไปหรอกพ่ะย่ะค่ะ คุณชายมิเคยมีสตรีอยู่ข้างกาย ย่อมหลงใหลในความสดใหม่ หลังจากผ่านช่วงนี้ไป เขาก็จะสนใจสตรีผู้นั้นน้อยลงเองพ่ะย่ะค่ะ ถึงตอนนั้นฝ่าบาทค่อยนำสตรีเหล่านั้นมาอยู่ต่อหน้าเขา มิจำเป็นต้องกระตุ้นเขา เขาก็จะเป็นผู้เลือกด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัส “ข้าเข้าใจดี แต่ข้าแค่ทนไม่ไหวอีกแล้ว หัวรั้นเช่นเดียวกับพ่อไม่มีผิด!”
การแต่งงานของเยี่ยนอ๋องกับซั่งกวนเยี่ยนก็ถูกคัดค้านเช่นกัน ไม่มีเหตุผลอื่นใด สถานะของซั่งกวนเยี่ยนสูงส่งเกินไป ฮ่องเต้องค์ก่อนมิต้องการให้ ‘ลูกชายชู้’ มีบุคคลเบื้องหลังที่มีอำนาจเช่นนี้ ฮ่องเต้องค์ก่อนเลือกการแต่งงานที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไปสำหรับเยี่ยนอ๋อง เยี่ยนอ๋องวัยหนุ่มจึงอาละวาดยกเลิกการแต่งงานจนเป็นที่โจษจันกันไปทั้งเมือง แต่ไม่ว่าอย่างไร ซั่งกวนเยี่ยนกับเยี่ยนอ๋องก็นับว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกัน ดังนั้นฮ่องเต้คนปัจจุบันจึงไม่คัดค้านการแต่งงานของทั้งสอง
“ข้าทำเพราะหวังดีกับเขา”
ขันทีวังถอนใจอีกครั้ง “ฮ่องเต้ทรงทำเพราะหวังดีกับคุณชาย คุณชายยังเด็กไม่รู้เรื่องอันใด หากฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้เขาแต่งงานกับสตรีผู้ต่ำต้อยในฐานะพระชายาเยี่ยน เยี่ยนอ๋องผู้ล่วงลับทราบเข้าคงยากที่จะตายตาหลับ”
แววตาของฮ่องเต้เนือยนิ่ง ไม่ตรัสสิ่งใดอีก
………..
หลังจากเยี่ยนจิ่วเฉาออกจากห้องทรงงานของฮ่องเต้ก็ตรงไปยังตำหนักเฟิ่งชี อวี๋หวั่นก็บังเอิญออกมาจากตำหนักเฟิ่งชีพอดี ทั้งคู่ชนกันอย่างแรง
เมื่อมองเห็นมือที่ว่างเปล่าของเธอ เยี่ยนจิ่วเฉาจึงถามว่า “มิได้รับตราประทองคำหรือ? ฮองเฮาต้องการสิ่งใดกัน?”
อวี๋หวั่นไม่แปลกใจที่เขาเดาได้ เขามีชีวิตอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะโชค
อวี๋หวั่นเอ่ยเบาๆ “นางต้องการให้เราช่วยนางออกจากตำหนักเฟิ่งชีเจ้าค่ะ”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างเรียบง่าย “มิใช่เรื่องยาก เจ้าไปบอกฮองเฮา ภายในสามวัน นางจะได้ตามที่นางต้องการ”
“อื้อ” อวี๋หวั่นหมุนตัวเตรียมจะไปยังตำหนักเฟิ่งชี เยี่ยนจิ่วเฉารีบคว้าข้อมือเธอไว้ “มิใช่เจ้า”
อวี๋หวั่นชะงัก และเห็นลุงวั่นเดินผ่านเธอไปอย่างขัดเขิน
อวี๋หวั่นมองมือที่จับอยู่บนข้อมือของเธอ นอกจากตอนที่เขาช่วยเหลือเธอ ดูเหมือนนี่จะเป็นครั้งแรกที่เยี่ยนจิ่วเฉาเริ่มสัมผัสเธอก่อน? แม้จะถูกคั่นด้วยแขนเสื้อก็ตาม แต่…
เยี่ยนจิ่วเฉาเห็นสายตาของอวี๋หวั่น จึงรีบปล่อยมือและเอ่ยอย่างเย็นชา “มัวทำอันใด? ผลักรถเข็นสิ!”
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก พลางเดินไปที่รถเข็น และโน้มกายลงเอ่ยข้างหู “เยี่ยนจิ่วเฉา ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าข้าดีมากใช่หรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉาสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่คุ้นเคยอีกครั้ง ลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฟ้าครามตะวันส่อง…สำรวมหน่อย”
มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่ยากจะควบคุม อวี๋หวั่นมองใบหูของเขาที่อยู่ชิดกับเธอ พลางส่งเสียงอืมและยืดกายขึ้นอย่างสำรวม
ในที่สุดลมหายใจที่ร้อนระอุก็เคลื่อนออกไป ร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉาผ่อนคลายลง ทว่าวินาทีถัดมา อวี๋หวั่นก็โน้มกายลงอีกครั้งและกระซิบด้วยเสียงต่ำ “ท่านหน้าแดงหมดแล้ว ท่านพี่”
ไม่รู้เพราะลมหายใจของเธอ หรือคำที่เธอเรียกว่าท่านพี่ ลมหายใจของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกเปลี่ยนเป็นสีแดงไปถึงลำคอ
…
เดิมทีกะจะอยู่ทานอาหารเย็นที่วังหลวง ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉาทะเลาะกับฮ่องเต้ ทั้งคู่จึงกลับไปยังจวน
เด็กน้อยทั้งสามนั่งบนธรณีประตูของจวนคุณชายอย่างเชื่อฟัง จิ้งจอกหิมะตัวน้อยกับแมวป่าที่ถูกอวี๋หวั่นช่วยเหลือและพากลับมานอนอยู่บนพื้นหินด้านข้าง สามคนสองตัวช่างดูน่าสงสาร มองแล้วทั้งตลกและเศร้าในคราวเดียว
ทั้งคู่ลงจากรถม้าและพาเด็กทั้งสามกลับไปที่เรือนชิงเฟิง
ลุงวั่นเดาว่าพวกเขาคงไม่ทานมื้อเย็นที่วังหลวง จึงได้สั่งการพ่อครัวไว้ก่อนออกไป คุณชายมิอาจรับรู้รสชาติ ลุงวั่นจึงสั่งให้คนครัวทำตามรสนิยมของอวี๋หวั่นและคุณชายน้อย เป็นอาหารบ้านๆ ไม่กี่อย่าง มีเจียวไป๋ผัดสามเส้น เห็ดหอมกวางตุ้งฮ่องเต้ราดเครื่องปรุง เนื้อแพะตุ๋นน้ำแดง หัวไชเท้ายักษ์ต้มหมูสามชั้นย่าง แกงเต้าหู้ปลาจี้อวี๋ และยำยอดถั่วลันเตาอีกหนึ่งชาม
ช่วงนี้เด็กๆ ไม่ชอบกินข้าว อวี๋หวั่นจึงขอให้ห้องครัวทำหมี่เย็น ซึ่งมีแตงกวาหั่นซอยกับผักชี เนื้อแพะหั่นบางราดเครื่องปรุงไป๋หลู่ และผสมกับถั่วลิสง หมี่กึง[1] กับเครื่องปรุงสูตรลับ แล้วราดด้วยน้ำมันงาอีกหนึ่งช้อน เด็กๆ กินกันไม่หยุด
เยี่ยนจิ่วเฉาก็ขอหมี่เย็นด้วย อวี๋หวั่นเห็นเขาเทน้ำส้มสายชูหมักพิเศษลงไป
นี่… นี่มันเปรี้ยวมากเลยนะ?
“อืม…” เยี่ยนจิ่วเฉาทานอย่างพึงพอใจยิ่ง
อวี๋หวั่นนึกถึงท่าทางที่เขากินผลอิงเถาเปรี้ยวในตอนเช้า เธอเพิ่งนอนกับเขา แล้วเขาก็มากินเปรี้ยวเช่นนี้…
ผู้…ผู้ชายคงไม่ท้องกระมัง…
เมื่อถึงเวลาเข้านอนในตอนกลางคืน เยี่ยนจิ่วเฉาสังเกตเห็นว่าอวี๋หวั่นเอาแต่จ้องที่ท้องของเขา
“…”
เหล่าเด็กน้อยนอนหลับระเกะระกะอยู่บนเตียง อวี๋หวั่นจัดตัวลูกชายให้อยู่ระหว่างคนทั้งสอง และเริ่มพูดคุยเรื่องสำคัญกับเยี่ยนจิ่วเฉา “เยี่ยนจิ่วเฉา ท่านเคยได้ยินเรื่องราชวงศ์หนานจ้าวหรือไม่?”
“เคยได้ยิน มีอันใดหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉานอนอยู่ด้านในสุด
อวี๋หวั่นเอ่ย “วันนี้ฮองเฮาบอกข้าว่า พิษในร่างกายท่านมีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หนานจ้าว ฮ่องเต้องค์ก่อนมิได้เข้าใจผิดว่าบิดาของท่านไม่ใช่เลือดเนื้อของเขาหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าบุรุษของฮองเฮาองค์ก่อนแท้จริงแล้วเป็นคนของราชวงศ์หนานจ้าว? ราชวงศ์หนานจ้าวเข้าใจผิดเช่นเดียวกับฮ่องเต้องค์ก่อน คิดว่าเป็นองค์ชายของพวกเขา ดังนั้นจึงมีคนมาจัดการกับเยี่ยนอ๋องและท่าน?”
แม้ว่าความจริงแล้วลูกชายชู้จะเป็นฝ่าบาท เมื่อมองเช่นนี้ ฮ่องเต้ต่างหากที่เป็นองค์ชายแห่งหนานจ้าว ส่วนเยี่ยนอ๋องก็เป็นเพียงแพะรับบาปของฝ่าบาทเท่านั้น
ความลับของราชวงศ์นี้ได้ยินมาจากปากของเซียวเจิ้นถิง เรื่องนี้ไม่ได้ปกปิดเยี่ยนจิ่วเฉาและก็ปกปิดไม่ได้ เยี่ยนจิ่วเฉาที่กึ่งหลับกึ่งตื่นในเวลานั้น ได้ยินเรื่องราวมามากมาย เธอไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้
“ไม่มีทางหรอก” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
“ไยจึงไม่มีทางเล่า?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
“หนานจ้าวไม่มีองค์ชาย” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
“หือ?” อวี๋หวั่นหันไปมองเขาอย่างงงงวย
เยี่ยนจิ่วเฉาจ้องมองขึ้นไปด้านบน ใบหน้าด้านข้างหล่อเหลาสะกดให้ผู้คนลืมหายใจ
เขากล่าวว่า “หมอผีเคยยืนยันว่า ประมุขแห่งหนานจ้าวจะไร้ซึ่งองค์ชาย ดังนั้นเขาจึงมีเพียงตี้จีสององค์เท่านั้น”
“ตี้จี?” อวี๋หวั่นงงงวย
“ก็คือองค์หญิง” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “ทว่าแม้เป็นตี้จีเฉกเช่นเดียวกัน แต่กลับมีชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง”
“อย่างไรรึ?” อวี๋หวั่นเริ่มสนใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาแทบไม่เคยเห็นเธอทำตัวราวกับเด็กน้อยขี้สงสัย จึงอดทนพูดกับเธออีกสองสามประโยค “คนหนึ่งเป็นดาวแห่งหายนะ อีกคนหนึ่งเป็นดาวประทานพร ตี้จีองค์โตซึ่งเป็นดาวหายนะถูกส่งตัวออกจากหนานจ้าวไปตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าน้องสาวของนางกลับได้รับความรักและความเอ็นดูทั้งหมดจากองค์ประมุข ได้ยินมาว่านางได้รับตำแหน่งประมุขหญิงเมื่อไม่นานมานี้”
“ตี้จีองค์โตถูกส่งไปที่ใดหรือ?” อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจประมุขหญิงผู้นั้น กลับอยากรู้อยากเห็นเรื่องตี้จีองค์โตยิ่งนัก
เยี่ยนจิ่วเฉาส่ายศีรษะ “ไม่อาจทราบ บางคนบอกว่าหนานไห่ บางคนก็บอกว่าเผ่าปีศาจ”
“นางยังไม่ได้กลับไปอีกหรือ?”
“ยัง”
…………………………………………
[1] หมี่กึง 面筋 เป็นสำเนียงแต้จิ๋ว ใช้เรียกแป้งหมี่ที่นำมาทำอาหารเจ