หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 112 ตี้จีแห่งหนานจ้าว
เมื่อครู่ ป้าสะใภัใหญ่เพิ่งบอกว่าไม่ให้กัวอวิ๋นเหนียงมาเอาผลประโยชน์ แต่สุดท้าย นางกลับกำลังเอาผลประโยชน์จากเขยใหม่เสียเอง นางจะเห็นด้วยได้อย่างไร?
อวี๋หวั่นกล่าว “นี่ก็เรียกว่าเอาผลประโยชน์หรือ? เช่นนั้นพวกเรากินข้าวที่บ้านใหญ่ทุกวัน ไม่เรียกว่าเอาผลประโยชน์มาครึ่งปีแล้วหรือ?”
“มันไม่เหมือนกัน!” ป้าสะใภัใหญ่ไม่พอใจ
“ป้าสะใภัใหญ่ ท่านให้พี่รองไปเถิด” อวี๋หวั่นรบเร้า
ป้าสะใภัใหญ่รู้สึกละอายยิ่งนัก แต่นางก็เข้าใจว่านางต่างจากกัวอวิ๋นเหนียง แม้ว่าบ้านใหญ่กับบ้านสามจะไม่ได้อยู่ในบ้านเดียวกันแล้ว แต่ก็ดูราวกับไม่ได้แยกจากกัน นางเห็นอาหวั่นเป็นลูกสาวแท้ๆ ของนาง อาหวั่นก็ย่อมเห็นอวี๋ซงเป็นพี่ชายแท้ๆ แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขยใหม่ เขาไม่ได้รังเกียจญาติพี่น้องที่ยากจนเช่นพวกนาง และทำเพื่อพวกนางด้วยความจริงใจ
“พี่สะใภ้ ท่านให้เสี่ยวซงไปเถิด” นางเจียงเอ่ย
นางเจียงเป็นคนที่ ‘ไม่ออกความคิดเห็น’ มากที่สุดในครอบครัวสกุลอวี๋ ที่ผ่านมาสมาชิกคนอื่นตัดสินใจมาโดยตลอด นางมีหน้าที่เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้นก็พอแล้ว ครานี้ แม้แต่นางก็ยังเอ่ยปาก ป้าสะใภ้ใหญ่ไม่อาจทำเอียงอาย ยินยอมทั้งด้วยความยินดีและวิตกกังวล
นางรู้สึกยินดีที่ในครอบครัวของนางมีคนเรียนหนังสือ แต่สิ่งที่กังวล คือนางกลัวว่าเจ้าเด็กคนนี้จะตั้งใจได้ไม่เกินสามวัน ก็กลับมาหมดความสนใจอีก
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของอนาคต หากตอนนี้เริ่มต้นได้ดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง อวี๋หวั่นชื่นชมพี่รองมาก และรู้สึกขอบคุณเยี่ยนจิ่วเฉามากเช่นกัน เธอถามเยี่ยนจิ่วเฉาว่าเขาดูออกได้อย่างไร เยี่ยนจิ่วเฉาฮึดฮัดและตอบว่า “ไม่บอกหรอก!”
อวี๋หวั่นทั้งโกรธทั้งขำ และพาป้าสะใภ้ใหญ่ไปเก็บข้าวของพี่รองที่บ้านหลังเก่า
“อาหวั่น เจ้าบอกที ว่าข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่?” ป้าสะใภัใหญ่กลับมาถึงบ้านหลังเก่า ก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นความจริง ครอบครัวของพวกเขามีแต่ชาวไร่ชาวนา โดยเฉพาะเสี่ยวซงที่ถูกตีมาตั้งแต่เด็กจนโต ได้กินไม้เรียวมากกว่ากินข้าวเสียอีก ป้าสะใภ้ใหญ่จินตนาการภาพที่เขาเรียนหนังสืออย่างตั้งใจไม่ออกจริงๆ
อวี๋หวั่นคิดแล้ว ก็น่าตลกยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะสายตาที่แหลมคมของเยี่ยนจิ่วเฉา ครอบครัวของพวกเขาคงไม่มีวันได้รู้ว่าอวี๋ซงเป็นเด็กหัวไว
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อย อาหารของบ้านก็ถูกนำขึ้นโต๊ะ ลุงใหญ่ลงมือทำด้วยตัวเอง อวี๋เฟิงเป็นผู้ช่วย ทำอาหารจานเด็ดมาเต็มโต๊ะ มีทั้งแกงเนื้อแพะตุ๋นน้ำใส ขาแพะยี่หร่า ห่านย่างกรอบ ปลากระพงน้ำแดง ไข่ตุ๋นดอกไม้ และผักตามฤดูกาลอีกเล็กน้อย
โต๊ะสำหรับผู้ใหญ่หนึ่งโต๊ะ และโต๊ะสำหรับเด็กๆ อีกหนึ่งโต๊ะ เถี่ยตั้นน้อยเป็นทั้งพี่ชายและน้าตัวน้อย เขาดูแลน้องสาวและหลานชายของเขาเป็นอย่างดี ลุงใหญ่ไม่รู้ว่า เยี่ยนจิ่วเฉาคุ้นเคยกับอาหารในชนบทหรือไม่ และคุ้นเคยกับการทานอาหารร่วมกับกลุ่มคนในชนบทอย่างพวกเขาหรือไม่ เขาดูกินอย่างไม่ค่อยสบายใจ แต่หลังจากถูกอวี๋เซ่าชิงรินสุราให้เพียงไม่กี่แก้ว ไม่นานก็หลงลืมว่าทิศใดเป็นทิศใดแล้ว เขาวางแขนรอบไหล่ของเยี่ยนจิ่วเฉาและร้องตะโกนออกมาราวกับเป็นพี่น้องกัน
หลังมื้ออาหาร นางเจียงก็พาเด็กน้อยทั้งสามไปดื่มนม ขณะที่อวี๋หวั่นไปหยิบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากรถม้าและเดินไปที่บ้านสกุลจ้าว
เรื่องวุ่นวายในวันแต่งงาน เธอและเยี่ยนจิ่วเฉาตัดสินใจที่จะปิดปากเงียบ ไม่บอกคนในครอบครัว แต่อาเว่ยช่วยเธอไว้ อย่างไรเธอก็ควรมาขอบคุณเขาด้วยตนเอง
ประตูบ้านสกุลจ้าวปิดสนิท
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นเคาะประตู
คนที่เปิดประตูคือชายชราในวัยหกสิบเศษๆ
เมื่อชายชราเห็นอวี๋หวั่น ท่าทีของเขาก็สงบนิ่ง
อวี๋หวั่นยิ้มมุมปาก “ท่านเป็นปู่ของอาเว่ยใช่หรือไม่?”
ทุกคนในหมู่บ้านรู้ดีว่าคนที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านสกุลจ้าวมีคนถึงสามรุ่น คนหนึ่งคือปู่ อีกสองคนคือลุง และหลานคืออาเว่ย
มีเพียงความสงบเยือกเย็นในแววตาของชายชรา
“ใช่ เจ้าเป็นใคร?” เขาแกล้งถามทั้งที่รู้ดี
อวี๋หวั่นไม่แน่ใจว่าอาเว่ยได้บอกครอบครัวเรื่องที่เขาช่วยเธอไว้หรือไม่ หากเขาไม่ได้บอก และเธอบอกไปก็อาจจะทำให้เขาเดือดร้อน อวี๋หวั่นเอ่ย “ข้าชื่ออาหวั่น มาจากบ้านของสกุลอวี๋ วันนี้ข้าหุยเหมิน จึงนำของเล็กๆ น้อยๆ มาให้อาเว่ย”
อาเว่ยเคยฆ่าหัวขโมยที่แอบเข้ามาในบ้านของเธอ คนทั้งหมู่บ้านรู้เรื่องนี้ อวี๋หวั่นจึงคิดว่าต่อให้มอบของขวัญตอบแทนมากเพียงใด ก็ไม่เคยมากเกินไป
ชายชรารับมันไว้
หลังจากนั้น เขาก็ปิดประตูโดยไม่กล่าวสิ่งใด
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ปู่ของอาเว่ยที่ท่าทีที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก น่าสงสารอาเว่ยเสียจริง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของอวี๋หวั่นที่เดินจากไป ชายชราก็พลันสูดหายใจเข้าลึก เผยท่าทีแปลกประหลาดที่ไม่กล้าแสดงต่อหน้าอวี๋หวั่น
เยว่โกวเดินเข้ามา “อาม่า มีอะไรหรือ?”
เยว่โกวเป็นหนึ่งในชายหนุ่มสองคนที่ติดตามชายชรามา อีกคนชื่อชิงเหยียน ชิงเหยียนกับอาเว่ยขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขา ทิ้งเขาไว้ให้อยู่กับชายชราที่บ้าน
ชายชราวางตะกร้าลงบนโต๊ะ พลางขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจของราชาหนอนพิษ”
“อาม่าหมายถึง…” ราชาหนอนพิษที่อาเว่ยเลี้ยงเป็นเพียงหนอนแมลงตัวเล็กๆ ในสายตาของอาม่า ถูกอาม่าเรียกว่าราชาหนอนพิษ มีเพียงจู๋เป่าของพวกเขาเท่านั้น
“ใช่แล้ว คือมันเอง” ชายชราพยักหน้า
เยว่โกวชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสงสัย “ไม่ใช่สิ จู๋เป่ามิได้ถูกส่งไปเป็นสินสอดให้หนานจ้าวแล้วหรือ? จะมาอยู่ที่จงหยวนได้อย่างไร? แล้วยังมาอยู่ที่นางอีก?”
นี่เป็นสิ่งที่ชายชราก็คิดไม่ออกเช่นกัน พวกนางไม่เคยไปที่หนานจ้าว จะเอาราชาหนอนพิษที่ราชวงศ์หนานจ้าวยกย่องว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ว่ากันว่าราชาหนอนพิษได้เลือกเจ้านายแล้ว ซึ่งก็คือเสี่ยวตี้จีแห่งหนานจ้าว ประมุขจึงโปรดปรานนาง และสถาปนาเสี่ยวตี้จีขึ้นเป็นประมุขหญิง
ราชาหนอนพิษที่เลือกเจ้านายแล้ว จะไม่ทิ้งเจ้านายไปง่ายๆ เว้นแต่เจ้านายจะตายไป แต่ก็ไม่เคยได้ยินข่าวการสิ้นพระชนม์ของประมุขหญิงแห่งหนานจ้าวเลย
ชายชราส่ายหัว “ข้าคงจะดูผิดไป”
…
หลังอาหารค่ำ อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาออกเดินทางกลับเมืองหลวง อวี๋เซ่าชิงอยากจะเก็บบุตรสาวไว้อีกสักสองสามคืน แต่มีคนบอกว่าเดือนแรกของงานแต่งงานห้องนอนไม่ควรว่าง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขอให้บุตรสาวกลับถึงบ้านโดยเร็ว
“ตั้งใจเรียนนะ อย่าเกเรรู้หรือไม่?” ป้าสะใภ้ใหญ่บอกอวี๋ซงที่หน้ารถม้า ตอนที่ลูกชายอยู่บ้าน นางก็อยากจะโยนเจ้าเด็กนี่ออกไป แต่พอเขาจะไปจริงๆ นางกลับต้องทนฝืนใจ
“เมืองหลวงมิได้ไกล!” อวี๋ซงหวาดหวั่นไม่อาจทนเห็นดวงตาที่แดงก่ำของแม่
อวี๋หวั่นเอ่ย “ใช่แล้วเจ้าค่ะ พี่รองและข้าจะกลับมาหาท่านบ่อยๆ หากท่านมีเวลาก็มาหาข้ากับพี่รองที่จวนได้”
นี่ไม่ใช่คำพูดปลอบใจ แต่เธออยากเจอครอบครัวของตนเองให้มากกว่านี้จริงๆ
ป้าสะใภ้ใหญ่หัวเราะทั้งน้ำตา “เจ้าเด็กโง่ มีเจ้าสาวที่เพิ่งแต่งงานที่ใดวิ่งกลับบ้านเกิดทั้งวัน? อย่าให้ใครต้องหัวเราะเยาะ! เจ้าให้เด็กคนนั้นตั้งใจเรียน อย่าคิดแต่จะกลับมา!”
อวี๋ซงโอดครวญ “ข้ากลับมาไม่ได้ด้วยหรือ?”
“เจ้ายังอยากจะโดนอีกสักทีใช่รึไม่!” ป้าสะใภ้ใหญ่เงื้อกำปั้น เงื้อได้ครึ่งทางก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นนักเรียนครึ่งหนึ่งแล้ว จึงกัดฟันวางมันลง
เด็กน้อยทั้งสามชอบกินแกงเนื้อแพะตุ๋นน้ำใสที่ลุงใหญ่ทำ ลุงใหญ่เข้าไปซื้อเนื้อแพะสิบจินที่ตำบลในตอนบ่ายอีกครั้ง เพื่อมาตุ๋นในโถให้อวี๋หวั่นนำกลับไปกิน โดยปกติแล้วเนื้อแพะในโถเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในจวน แต่อวี๋หวั่นก็ไม่อยากฝืนความรู้สึกของครอบครัว
“แน่ใจว่าจะไม่ไปเมืองหลวงกับพี่หรือ?” หลังจากวางโถเนื้อแพะบนรถม้า อวี๋หวั่นก็หันไปถามเถี่ยตั้นน้อย
เถี่ยตั้นน้อยหน้ามุ่ย “หากไม่ต้องเรียน ข้าก็จะไป”
เจ้าเด็กคนนี้ ที่แท้ก็ไม่ชอบเรียนเลย!
แต่เขาคิดหรือว่าหากเธอไปแล้ว เขาจะหนีจากการเรียนหนังสือได้จริงๆ? ท่านพ่อก็ยังอ่านออกเขียนได้
อวี๋หวั่นบีบแก้มอ้วนน้อยๆ ของเขา และขึ้นรถไปพร้อมกับเด็กทั้งสาม
รถม้าขับออกจากหมู่บ้านเหลียนฮวา อวี๋หวั่นเปิดผ้าม่านขึ้น มองครอบครัวของเธอที่โบกมือลาในเวลาพลบค่ำ ทำให้ในใจลึกๆ ของเธอรู้สึกไม่อยากจากไป ความรู้สึกที่เธอไม่เคยมีมาก่อนในชาติที่แล้ว ดูเหมือนว่าจะค่อยๆ ได้ลิ้มลองรสชาติของมันในชาตินี้
ทั้งเศร้า ทั้งเจ็บปวด และก็อบอุ่น
…
หลังจากกลับบ้าน ลุงวั่นได้จัดเตรียมห้องพักไว้ให้อวี๋ซงแล้ว ซึ่งเป็นเรือนที่อยู่ใกล้กับห้องสมุดที่สุด ตามคำพูดของลุงวั่น คุณชายรองมาเรียนหนังสือ ดังนั้นเขาจึงต้องหาเรือนที่สะอาดและสวยงาม อวี๋หวั่นกังวลว่าหากอยู่ไม่ใกล้กับเรือนชิงเฟิงมากพอ อาจจะทำให้อวี๋ซงรู้สึกโดดเดี่ยว เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย “อยู่แค่ไม่กี่วันหรอก”
“หือ?” อวี๋หวั่นมองเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างงงงวย
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า “เขาจะไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียน ดังนั้นก็ต้องพักอยู่ที่กั๋วจื่อเจียนอยู่แล้ว”
อวี๋หวั่นผงะ “กั๋ว…กั๋วจื่อเจียน?”
เธอไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม นั่นเป็นสถาบันการศึกษาที่มีอำนาจสูงสุดในต้าโจว พี่รองที่รู้จักแต่คำภีร์สามอักษรและบทอาขยานจีนโบราณ จะสามารถเข้าไปในที่ที่หยิ่งยโสสูงส่งค้ำฟ้าเช่นนั้นได้หรือ?
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ “ยัดเข้าได้”
ส่วนจะสอบได้ห้องใดหลังจากยัดเข้าไป ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนแล้ว
“อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าจ้าวเหิงก็อยู่ที่กั๋วจื่อเจียนเช่นกัน”
“แค่ก!” อวี๋หวั่น สำลักขณะดื่มชา “ท่านไม่ได้จงใจใช่หรือไม่?”
“เปล่า” เยี่ยนจิ่วเฉาผายมือ
“แล้วไยท่านไม่บอกข้าก่อนหน้านี้เล่า?” อวี๋หวั่นตาโต
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างใสซื่อ “ข้าเพิ่งนึกออก”
อวี๋หวั่นกุมหน้าผาก นี่มันชะตากรรมแบบใดกัน? ในเมื่อจ้าวเหิงก็อยู่ที่กั๋วจื่อเจียน เช่นนั้นพี่รองจะไม่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของจ้าวเหิงหรอกหรือ?
“ฝันไปเถอะ” เยี่ยนจิ่วเฉามองทะลุความคิดของเธอ แม้จ้าวเหิงจะทุเรศเพียงใด แต่ก็เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง ได้ยินมาว่าเกาหย่วนก็ชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก และไม่ได้ชื่นชมเขาเพียงหนึ่งครั้ง อวี๋ซงกับเขาอยู่ห่างกันอย่างน้อยสิบระดับ จะเป็นเพื่อนร่วมชั้นของจ้าวเหิงหรือ? รอไปเถิด
อวี๋หวั่นกอดอกและเหล่ตามองเขา “ข้าสงสัยว่าท่านจะจงใจ แต่ข้าก็ไม่มีหลักฐาน”
พี่รองของเธอเกลียดจ้าวเหิงเพียงนั้น หากรู้ว่าจ้าวเหิงก็อยู่ที่กั๋วจื่อเจียนเช่นกัน ผ่านไปเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนจะไม่ละทิ้งการเรียนหรือ?
…………………………………………