หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 113 วิธีของพี่จิ่ว
บทที่ 113 วิธีของพี่จิ่ว
Ink Stone_Romance
ไม่นานอวี๋หวั่นก็พบว่าตนเองไม่มีเวลามากังวลเกี่ยวกับความรู้สึกของพี่รองแล้ว ลุงวั่นนำข่าวใหญ่กลับมาแจ้งว่า การแต่งงานขององค์หญิงแห่งซยงหนูมีการตัดสินใจแล้ว คู่หมั้นของนางคือองค์ชายห้า
มิใช่เรื่องน่าแปลกใจ มีองค์ชายที่มีอายุเหมาะสมอยู่เพียงสามคน พระมารดาขององค์ชายรองกับสี่ล้วนเป็นพระสนมระดับสูง พระมารดาขององค์ชายห้าเป็นอวี้ผิน สถานะไม่ได้สูงส่ง ตระกูลฝั่งแม่ไม่ได้มีกำลังมาก และองค์ชายห้าเองก็ไม่มีจิตใจที่ทะเยอทะยาน ไม่ว่ามองอย่างไรเขาก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
เพื่อแสดงความสำคัญของการแต่งงานครั้งนี้ ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งให้องค์ชายห้าเป็นเฉิงอ๋อง องค์ชายห้าได้เป็นคนแรกในบรรดาองค์ชาย ทว่าเขากลับไม่มีความสุขเพราะเขากำลังจะแต่งงานกับสตรีที่ดุร้ายแห่งซยงหนู
วันแต่งงานถูกกำหนดขึ้นในเดือนหน้า ในฐานะเจ้าสาวของราชวงศ์ อวี๋หวั่นจะถูกรับเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงแต่งงานในวันนั้น ซึ่งหมายความว่าเธอมีกฎระเบียบมากมายที่ต้องเรียนรู้ และเข้มข้นไม่น้อยไปกว่าพี่รองของเธอที่ต้องเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียนเลย
ข่าวนี้ยังไม่ทันจะย่อย ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็มีเหตุการณ์ใหม่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นเกิดขึ้นในวังหลวง ตำหนักเฟิ่งชีเกิดเพลิงไหม้
จู่ๆ กลางดึกอันเงียบสงัดก็เกิดเพลิงลุกไหม้ ชาววังทุกคนพักผ่อนกันหมดแล้ว ตอนที่รู้ตัวเพลิงก็ลามไปถึงตำหนักของฮองเฮาแล้ว และฮองเฮาก็ได้รับบาดเจ็บ ตำหนักเฟิ่งชีขนาดใหญ่กลายเป็นซากปรักหักพังในกองเพลิง
ยามที่ได้ยินเรื่องนี้จากลุงวั่น อวี๋หวั่นกำลังยืนเลือกดอกไม้อยู่ที่สวนหน้าบ้าน เธอหมายจะนำไปให้ห้องครัวต้มน้ำดองกุหลาบให้กับเด็กน้อยทั้งสาม
มือที่กำลังถือกรรไกรหยุดชะงัก พลันถามลุงวั่น “แล้วตอนนี้ฮองเฮาไปอยู่ที่ใด?”
ลุงวั่นตอบ “ย้ายไปพักอยู่ที่ตำหนักเจาหยางชั่วคราว”
บทสนทนากับเยี่ยนจิ่วเฉาในวังหลวงฉายเข้ามาในความคิดของอวี๋หวั่น
‘นางต้องการให้เราช่วยนางออกจากตำหนักเฟิ่งชีเจ้าค่ะ’
‘มิใช่เรื่องยาก เจ้าไปบอกฮองเฮา ภายในสามวัน นางจะได้ตามที่นางต้องการ’
นับดูแล้ว วันนี้ก็เป็นวันที่สามพอดี
ไม่มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ในโลก ที่ตำหนักเฟิ่งชีเกิดเพลิงไหม้ ต้องเป็นฝีมือของเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นแน่ เธอเคยแอบเดาว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะใช้วิธีใด ไม่คิดว่าจะใช้กลอุบายที่เรียบง่ายและหยาบคายเช่นนี้ จุดเพลิงเผาตำหนักเฟิ่งชีทั้งหลัง ฮองเฮาที่ ‘ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน’ มาสิบปีในที่สุดก็ได้ออกมาอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม
วิธีนี้ฟังดูเหมือนง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจุดเพลิงขนาดใหญ่ในวังหลวงได้โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ “คุณชายของพวกเจ้านี่ช่าง…” อวี๋หวั่นอดขำออกมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะให้คำจำกัดความเยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไรดี แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือ เขาทำให้เธอประหลาดใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น แม้เยี่ยนจิ่วเฉาจะช่วยฮองเฮาออกมาจากตำหนักเฟิ่งชีได้แล้ว แต่จะอยู่ข้างนอกไปได้ตลอดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความสามารถของฮองเฮาเอง
หวังว่านางจะไม่ทำให้เธอและเยี่ยนจิ่วเฉาต้องผิดหวัง
……………..
ในห้องบรรทมของตำหนักเจาหยาง เหล่าหมอหญิงได้นำน้ำเลือดออกมา ฮ่องเต้เดินเข้าไป ตรัสพร้อมกับมองหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าเตียงและกำลังเปลี่ยนยาให้ฮองเฮา “ฮองเฮาอาการเป็นอย่างไร?”
หมอหลวงหันกลับมาคำนับ “ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาได้รับบาดเจ็บสาหัส กระหม่อมไม่กล้าด่วนสรุปในยามนี้”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
ขันทีวังส่งสายตาให้หมอหลวง หมอหลวงจึงหยิบกล่องยาขึ้นและเดินออกไปพร้อมกับขันทีวัง เหล่าชาววังก็ถอยกลับออกไปอย่างรู้ความ ในห้องบรรทมขนาดใหญ่ เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาผู้ใกล้ตายเท่านั้น
ฮ่องเต้เดินมายืนอยู่หน้าเตียงเงียบๆ สักพักหนึ่ง ฮองเฮาไอสองสามครั้ง ฮ่องเต้ก็พลันขมวดคิ้วและยื่นมือออกไป แต่ก่อนที่เขาจะสัมผัสถูกตัวฮองเฮา ก็เห็นฮองเฮารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเสียก่อน
ฮองเฮาลืมตาอย่างอ่อนแรง มองไปทางบุรุษในชุดคลุมมังกรสีเหลืองสดใส “… ฝ่าบาท?”
เสียงของนางแหบแห้ง ริมฝีปากแห้งผาก นางผ่านวัยที่เสมือนไข่มุก เปรียบดังหยกมาแล้ว ไม้ใกล้ฝั่งเช่นนางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสยิ่งทำให้นางดูแก่ลงไปอีก
วังหลังไม่เคยขาดสตรี แต่ภรรยามีเพียงคนเดียว
ฮ่องเต้ไม่อาจรักฮองเฮาได้ แต่ฮองเฮาเป็นการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งพระสนมองค์ใดของฮ่องเต้ก็มิอาจเทียบได้
“ฮองเฮารู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฮ่องเต้ถามอย่างเย็นชา
ฮองเฮาเอ่ยอย่างอ่อนแรง “ทำให้ฝ่าบาททรงตกใจแล้ว หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว พลางตรัสว่า “สาวใช้บอกว่าเดิมทีเจ้าหนีออกไปแล้ว ไยจึงวิ่งกลับเข้าไปอีก?”
ฮองเฮามองฮ่องเต้ด้วยสายตาลึกซึ้ง ยกแขนที่อยู่ใต้ผ้าห่มขึ้นมาด้วยความยากลำบาก
เมื่อฮ่องเต้สังเกตเห็นมือที่กำแน่นของนาง เขาจึงยื่นมือออกไปรับด้วยจิตใต้สำนึก ฮองเฮานำถุงเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือใส่ในมือของเขา
ถุงใบนี้มีอายุหลายปี ที่มุมเปื่อยยุ่น สีซีดจาง ลวดลายที่ปักอยู่ด้านบนไม่เรียบเนียน ทราบได้ว่าถูกคนสัมผัสบ่อยอยู่ครั้ง
ฮ่องเต้เปิดถุงออกดู ด้านในนั้นมีผมสองมัดที่มัดด้วยเชือกสีแดง
หัวใจของเขาราวกับมีบางอย่างพุ่งชน ความทรงจำหวนกลับไปในคืนวันที่เขาแต่งงานกับฮองเฮาเมื่อหลายปีก่อน ในเวลานั้นเขายังไม่ได้เป็นแม้แต่รัชทายาท เป็นเพียงองค์ชายอ่อนแอที่เพิ่งออกจากตำหนักเย็นและไม่มีรากฐานที่มั่นคงในราชสำนัก นางเป็นบุตรีของราชครู เขาเกาะนางให้ตนเองสูงขึ้น เขายังจำได้ว่านางตัดปอยผมสีดำขลับบนศีรษะของเขาอย่างไร นางตกใจ และถามตัวเองว่านางตัดมากเกินไปหรือเปล่า?
เขาเห็นนางเก็บเส้นผมของพวกเขาทั้งสองอย่างระมัดระวัง แล้วใส่ลงในถุงใบนี้ พลันเผยรอยยิ้มอันสดใสของเด็กสาว
“ไยเจ้าถึง…” ฮ่องเต้กลืนน้ำลาย “วิ่งกลับมาเพื่อสิ่งนี้?”
น้ำตาของฮองเฮาไหลลงมาที่หางตาของนาง แต่มุมปากของนางกลับกำลังยิ้ม “หม่อมฉันไม่เคยเสียใจเลยเพคะ ที่ได้เคยเป็นสามีภรรยากับฝ่าบาท แม้หม่อมฉันสิ้นลมก็ไม่เสียใจ”
ฮ่องเต้กำถุงใบนั้น พร้อมกับสูดลมหายใจ “อย่าได้เปล่งวาจาที่ทำลายกำลังใจ ข้าจะให้หมอหลวงมารักษาเจ้าให้หาย”
ฮองเฮาไม่เปล่งวาจาที่ทำลายกำลังใจอีก พลางจ้องมองฮ่องเต้เนืองนิ่ง “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้หยิบถุงและเดินออกไป
ฮองเฮารู้ว่าตนเองชนะการเดิมพันแล้ว
เมื่อฮ่องเต้ออกจากห้องบรรทมของตำหนักเจาหยาง แววตาเสน่หาบนใบหน้าของฮองเฮาก็เลือนหายเป็นปลิดทิ้ง ท่ามกลางแสงบนท้องฟ้า นางกลับมามีท่าทีเยือกเย็น
ความสงสารเพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอที่จะทำให้ฮ่องเต้อภัยในความผิดของฮองเฮา แต่ในยามที่ฮ่องเต้ให้คนไปตรวจสอบสาเหตุของเพลิงไหม้ที่ตำหนักเฟิ่งชีอย่างละเอียด ก็กลับมีข่าวลือแพร่กระจายในวังหลวงอย่างลับๆ
“เจ้าได้ยินหรือยัง? ที่หลิวกุ้ยเหรินต้องลงไปเลี้ยงลูกในสุสานกษัตริย์ในตอนนั้น เพราะสวี่เสียนเฟยให้คนพานางไปที่อุทยานอวี้ฮวา หากนางไม่ไปที่อุทยานอวี้ฮวา นางคงไม่ต้องกินขนมอาบยาพิษ นางและองค์ชายในครรภ์ก็คงได้มีชีวิตรอด”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ?”
“ในตอนแรก คนที่ต้องรับทุกข์ควรจะเป็นสวี่เสียนเฟย แต่สวี่เสียนเฟยดึงหลิวกุ้ยเหรินมาตายแทน”
“นางจิตใจชั่วร้ายถึงเพียงนี้เลยรึ? มีคนปองร้ายนาง นางแค่จัดการก็ได้ ไยต้องทำร้ายหลิวกุ้ยเหรินผู้บริสุทธิ์”
“หลิวกุ้ยเหรินและฮองเฮาสนิทสนมกัน ตอนนั้นเราต่างสงสัยว่าฮองเฮาแสร้งทำดีกับหลิวกุ้ยเหริน และแท้จริงแล้วกำลังหาโอกาสกำจัดทารกในครรภ์ของหลิวกุ้ยเหริน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเราทุกคนจะคิดผิด”
ถูกต้อง แต่พวกนางไม่มีโอกาสยืนยัน หากเรื่องเหล่านี้ไปถึงหูฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็จะให้คนลากตัวนางในที่ปากเสียเหล่านั้นออกไปเฆี่ยนโบยจนตาย ตั้งแต่นั้นมาไม่มีผู้ใดในวังหลวงกล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อีก แม้ว่าข่าวลือจะถูกระงับ แต่เมล็ดพันธุ์ในใจของฮ่องเต้ก็ผุดขึ้นอย่างเงียบๆ
‘ใช่เพคะ ยาพิษเป็นของหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันไม่ได้ฆ่าบุตรมังกรของหลิวกุ้ยเหริน! หม่อมฉันเป็นฮองเฮา บุตรของฝ่าบาทก็เหมือนเป็นบุตรของหม่อมฉัน ไยหม่อมฉันต้องอยากทำร้ายบุตรของตัวเองละเพคะ? ก็แค่กุ้ยเหรินคนเดียว หากหม่อมฉันจะแย่งบุตรชายของนางมาเลี้ยงดูแล้วอย่างไร? ใครจะว่าอะไรได้? ทารกในครรภ์ของหลิวกุ้ยเหรินไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องทำร้ายเขาเลยนะเพคะ!’
นี่เป็นคำพูดในอดีตของฮองเฮาเมื่อครานั้น ฮ่องเต้ไม่อาจยอมรับได้ว่าภรรยาที่อ่อนโยนและมีคุณธรรมจะกลายเป็นงูพิษ และยังโกรธที่นางกำเริบเสิบสาน ไม่ว่าแท้จริงคนที่นางจะทำร้ายเป็นใคร เขาก็ไม่อยากให้อภัยนาง
ไม่ใช่ว่าฮองเฮาไม่เคยกล่าวหาสวี่เสียนเฟย แต่นางในคนสนิทของหลิวกุ้ยเหรินให้การว่าหลิวกุ้ยเหรินไปอุทยานอวี้ฮวาด้วยตนเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับใคร ด้วยเหตุนี้ ฮ่องเต้จึงเชื่อว่าฮองเฮาได้วางยาหลิวกุ้ยเหรินก่อน และค่อยใส่ความสวี่เสียนเฟยในตอนท้าย
“ข่าวลือเกี่ยวกับสวี่เสียนเฟยและหลิวกุ้ยเหรินออกมาเมื่อใด?” ฮ่องเต้ถาม
“สองวันก่อนเกิดเพลิงไหม้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีวังตอบ
“พบตัวผู้ลอบวางเพลิงหรือไม่?”
“พบแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นองครักษ์มืดคนหนึ่ง เขาบอกว่า…เขามิทันได้บอก ก็ฆ่าตัวตายด้วยการกินยาพิษไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หากองครักษ์มืดต้องการเล่นงานสวี่เสียนเฟย ก็ควรจะทำให้ฮ่องเต้เกิดความคลางแคลงสงสัย แต่เขากลับตายโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ…
ฮ่องเต้ครุ่นคิด “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“กระหม่อมไม่กล้ากล่าวเหลวไหล” ขันทีวังเอ่ยเสียงต่ำ
“ข้าบอกให้พูดก็พูด!” ฮ่องเต้ตรัสน้ำเสียงเย็นชา
“…พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีวังฝืนใจ “กระหม่อมคิดว่า หากเป็นจริงตามที่ข่าวลือ ฮองเฮาคิดจะลอบทำร้ายสวี่เสียนเฟย แต่ถูกสวี่เสียนเฟยเดินนำไปหนึ่งก้าว ดึงหลิวกุ้ยเหรินมาเป็นผีตายแทน เช่นนั้นกลอุบายของสวี่เสียนเฟยก็นับว่าค่อนข้างน่ากลัวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หรี่ตามอง “เจ้าหมายความว่า ครานี้มิใช่กลยุทธ์ทุกข์กายของฮองเฮา แต่เป็นฝีมือของเสียนเฟยรึ? เมื่อเสียนเฟยได้ยินข่าวลือ นางจึงคิดว่าเรื่องของหลิวกุ้ยเหรินจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป กังวลว่าฮองเฮาจะได้รับความโปรดปรานอีกครั้ง จึงตกกระไดพลอยโจน จุดไฟเผาฮองเฮารึ?”
ขันทีวังไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ เขาเพียงแต่ถอนหายใจช้าๆ “ฮองเฮาไม่เป็นที่โปรดปรานมาสิบปีแล้ว นางไม่อาจจุดเพลิงใหญ่เช่นนี้ได้”
“ทว่าถ้ามีใครทำแทนนางเล่า?” ฮ่องเต้พึมพำ
คิ้วของขันทีวังเลิกขึ้น
ฮ่องเต้ตบโต๊ะ “เรียกเด็กเวรนั่นมาหาข้า!”
ขันทีวังไปที่จวนคุณชายด้วยอาการปวดหัว และเชิญพ่อคุณทูลหัวผู้นี้ไปยังห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้
“คุณชาย ท่าน…ท่านจะไม่สร้างความเดือดร้อนสักวันไม่ได้หรือ?”
ขันทีวังแทบจะคุกเข่าให้เยี่ยนจิ่วเฉา เก็บไม้เรียววันเดียวเสียเด็ก คำกล่าวนี้ก็คือเขาละ!
“ฝ่าบาททรงอยู่ด้านใน ท่าน ท่านเข้าไปเถิด” ขันทีวังส่งคนที่ทางเข้าห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้ และออกไปอย่างทอดถอนใจ
เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่บนรถเข็น วางท่าราวกับใหญ่ค้ำฟ้าค้ำแผ่นดิน
ฮ่องเต้โกรธมากเมื่อเห็นเขา แล้วยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาทำ เขาเหลือบมองรถเข็นแล้วตรัสว่า “เสแสร้งพอหรือยัง!”
“ไม่” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
ฮ่องเต้หยิบหินฝนหมึกลุกขึ้นมา หมายจะไปทักทายหน้าผากของเยี่ยนจิ่วเฉา ขันทีวังรีบวิ่งเข้ามาด้วยความตกใจ “ทุบไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ทุบไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ!”
ฮ่องเต้สั่นสะท้านด้วยความโกรธ โยนหินฝนหมึกทิ้งและนั่งลง “พูดมา! เจ้าจุดไฟเผาตำหนักเฟิ่งชีใช่หรือไม่!”
“ใช่”
ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
ฮ่องเต้ผู้คิดหาวิธีเค้นคำสารภาพมาเป็นร้อยวิธี “…”
ขันทีวังไม่อยากมอง รู้ไม่เท่าทัน ยังไม่ทันได้รับโทษก็ยอมรับอย่างไม่ลังเล?
ฮ่องเต้พยายามระงับโทสะและตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไยจึงทำเช่นนี้?”
เยี่ยนจิ่วเฉานิ่งเงียบ
ฮ่องเต้ทำหน้าดุราวกับยักษ์ “เยี่ยนจิ่วเฉา ยามนี้ข้าประทานพระชายาให้เจ้าได้นะ!”
“เพื่อตราประทับทองคำ” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าประนีประนอม
เพลิงโทสะของฮ่องเต้หยุดชะงัก ขมวดคิ้ว สีหน้าซับซ้อน “เจ้าหมายถึงว่า…ฮองเฮาใช้ตราประทับทองคำคุกคามพวกเจ้ารึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาถอนหายใจ “ก็ไม่ถึงกับคุกคาม แต่เป็นเพียงข้อตกลงเท่านั้น”
ฮ่องเต้กัดฟันกรอดๆ “ในวังหลังของข้า ทำข้อตกลงกับผู้หญิงของข้า เยี่ยนจิ่วเฉา เจ้ากล้ามากที่ยอมรับ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่กล่าวสิ่งใด
ฮ่องเต้ทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา “แต่หากเจ้าไม่ยอมก็ช่วยไม่ได้ จุดเพลิงใหญ่เช่นนั้นในวังหลังของข้า เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะสืบไม่พบ? ข้าแค่ไม่เข้าใจ เพื่อผู้หญิงคนเดียว เจ้าถึงกับ…เจ้าเป็นห่วงนางมากเพียงนี้เลยหรือ?”
“ฝ่าบาทไม่เคยห่วงใยผู้ใดมากเพียงนี้มาก่อนหรือ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
ฮ่องเต้ตะลึงกับคำถาม
นี่อาจเป็นความบ้าคลั่งที่อยู่ในสายเลือดของตระกูลพวกเขาก็เป็นได้ ในยามนั้นเพื่อเยี่ยนอ๋อง เขา…
ฮ่องเต้ปิดตาลง บังคับตัวเองไม่ให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับฮ่องเต้องค์ก่อน เขาเปลี่ยนเรื่องคุยทันที น้ำเสียงหมองหม่น “…ฮองเฮาเป็นคนเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกสะเทือนใจเมื่อคิดว่านางเข้าไปหยิบของขวัญแต่งงานของทั้งสองในกองเพลิง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทุกอย่างคืออุบาย เขามีทีท่าขื่นขมระทมทุกข์อย่างอธิบายไม่ได้
เคยคิดว่าแม้นางจะทำเรื่องที่ผิด แต่อย่างน้อยนางก็จริงใจต่อเขา…
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นเพียงคนโง่
“เสด็จลุงจะลงโทษข้าอย่างไร?”
“ข้าจะลงโทษเจ้าแน่!”
เพียงแต่ไม่ได้คิดว่าจะลงโทษอย่างไร เขาอารมณ์ไม่ดี จึงให้เยี่ยนจิ่วเฉากลับไปที่จวนคุณชายก่อน และไม่ให้ย่างกรายออกจากจวนไปแม้แต่ครึ่งก้าวหากเขาไม่อนุญาต
ระหว่างทางที่ไปส่งเยี่ยนจิ่วเฉาออกจากวัง ขันทีวังกล่าวชี้แนะอย่างจริงใจ “คุณชาย ไยท่านจึงอยากสารภาพ? ทั้งที่จริงแล้วฝ่าบาทไม่อาจหาสืบถึงท่านได้ กระหม่อม…กระหม่อมก็พยายามเอ่ยแทนท่านในทางที่ดี”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ตอบคำถามของเขา ทว่าถามกลับแทน “ขันทีวังรู้หรือไม่ว่าเหตุใดฮ่องเต้ถึงไม่จัดการกับฮองเฮามานานหลายปีแล้ว เพียงแต่เก็บฮองเฮาไว้ในตำหนักเฟิ่งชี?”
ขันทีวังครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ฮ่องเต้ทรงเห็นแก่ความรักฉันสามีภรรยาในยามนั้น”
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า “ใช่ ดังนั้นฮ่องเต้ไม่อาจทำสิ่งใดโหดร้ายกับฮองเฮา และไม่อาจทนใช้ประโยชน์จากฮองเฮาได้ แต่นับจากวันนี้ ฝ่าบาทจะทนได้”
ฮ่องเต้ยังสามารถให้ฮองเฮากลับมาเป็นที่โปรดปรานอีกครั้ง ทว่าไม่ใช่เพราะหวนกลับมาคืนดีกันอีก แต่เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของสวี่เสียนเฟย
สำหรับเยี่ยนจิ่วเฉา ฮองเฮาผู้ได้รับความโปรดปราน กับฮองเฮาผู้เป็นหมากรุก แน่นอนว่าอย่างหลังควบคุมได้ง่ายกว่า
ขันทีวังถอนหายใจอย่างหนาวเหน็บไปทั้งตัว “หัวใจคุณชายช่างแข็งยิ่งนัก”
………………………………………