หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 115.1 สามีภรรยารับตราประทับทอง (1)
สำนักบัณฑิตกั๋วจื่อเจียนนั้นกว้างขวางเหลือเกิน อวี๋ซงและลุงวั่นใช้เวลาเดินถึงหนึ่งเค่อกว่าจะมาถึงเรือนหลังคาสีดำกำแพงสีขาวหลังหนึ่ง ด้านในมีระเบียงทางเดิน มีห้องหับ บ่อน้ำและต้นไผ่ สิ่งที่ต่างออกไปจากที่อวี๋ซงคุ้นเคยก็คือที่นี่ไม่มีเครื่องมือการเกษตรใดๆ
หากเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้บังเอิญไปเห็นเขากำลังเขียนตัวอักษรบนพื้นดินเข้า ชั่วชีวิตนี้เขาคงเป็นเพียงชาวนาในหมู่บ้านเหลียนฮวา เขาไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโอกาสได้เรียนหนังสืออย่างคนอื่นบ้าง
อวี๋ซงกอดห่อผ้าเอาไว้ มองไปยังเหล่านักเรียนสวมชุดสีขาวซึ่งเดินผ่านหน้าเขาไป ลุงวั่นเคยบอกเอาไว้ว่านักเรียนที่ศึกษาในสำนักบัณฑิตเรียกว่าเจี้ยนเซิง สถานะเหนือกว่านักเรียนทั่วไปอยู่ระดับหนึ่ง
ลุงวั่นหันหน้าไป ก็พบว่าอวี๋ซงกำลังยืนงง เขาอดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้ “หลังจากวันนี้คุณชายรองก็คงคุ้นเคยแล้ว ละ เจ้าก็เหมือนกับพวกเขา เป็นเจี้ยนเซิงของกั๋วจื่อเจียน”
“เมื่อวานข้ายังทำนาอยู่เลย” อวี๋ซงเกาศีรษะพลางเอ่ยขึ้น
ลุงวั่นรู้สึกขบขันกับท่าทางของเขา คนทั่วไปเมื่อได้มาอยู่ในระดับนี้คงจะเดินชูคอไปแล้ว ท่าทางเซ่อซ่าอย่างเขา ไม่รู้ว่าไปเข้าตาคุณชายของตนได้อย่างไร? คุณชายไม่ได้เป็นคนที่หลงสตรีจนหน้ามืดตามัว ความเอาใจใส่ที่คุณชายมีต่อแม่นางอวี๋นั้นจริงแท้แน่นอน กระนั้นเขาก็ยังมองเห็นถึงศักยภาพของอวี๋ซง
“พวกเราเข้าไปกันเถิด” ลุงวั่นพาอวี๋ซงเดินเข้าไปในหอพัก ทุกห้องมีเจี้ยนเซิงพักอยู่สามคน เพื่อนร่วมห้องของอวี๋ซง คนหนึ่งมาจากโยวโจว อีกคนหนึ่งมาจากหวั่นเฉิง พวกเขาทั้งสองล้วนแต่ใจดีและสุภาพอ่อนน้อม
ในห้องมีเตียงเดี่ยวทั้งหมดสามเตียง เตียงด้านในสุดและด้านนอกสุดถูกจับจองไว้แล้ว อวี๋ซงจึงได้เตียงตรงกลางไป
ลุงวั่นจะปูเตียงให้ อวี๋ซงจึงบอกว่า “ให้ข้าทำเองเถิด”
เรื่องเล็กแค่นี้ คนจากชนบทอย่างเขาทำเองได้
เมื่อที่นี่ไม่มีธุระอันใดของลุงวั่นแล้ว เขาจึงเอ่ยปากเตือนอวี๋ซงรอบหนึ่ง จากนั้นก็กลับไป
หลังจากที่อวี๋ซงเก็บของเสร็จก็ถือถังเดินออกไปตักน้ำ เพิ่งจะก้าวพ้นประตู ก็พบกับจ้าวเหิง
อวี๋ซงรู้จากอวี๋หวั่นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจ้าวเหิงเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ ดังนั้นเขาจึงมิได้รู้สึกประหลาดใจเท่าไรนัก เพียงแต่มีสีหน้าไม่ค่อยดี
“นี่ เจ้ามาใหม่หรือ? สายตาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน? ” ขณะที่อวี๋ซงเดินสวนกับจ้าวเหิง เพื่อนของจ้าวเหิงก็เข้ามาขวางทางเขาไว้ อีกทั้งยังไม่ใช่คนที่จดจำรถม้าของจวนคุณชายได้ หากแต่เป็นเจี้ยนเซิงแซ่หลิ่ว บิดาของเขาเป็นนายอำเภอระดับแปดในอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่ง
อวี๋ซงเหลือบมองเขา “เจ้าต้องการอะไร? ”
หลิ่วเจี้ยนเซิงพูดว่า “ประโยคนี้ข้าควรเป็นคนถามเจ้ามากกว่า เจ้าต้องการอะไร? เจ้ามองเขาด้วยหางตารึ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาเป็นใคร?”
ในใจของอวี๋ซงตอบว่าทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนผู้นี้คือใคร คนที่เคยหักหาญน้ำใจน้องสาวของเขา จนถึงวันนี้ยังติดเงินน้องสาวเขาถึงสามร้อยตำลึงอย่างไรเล่า!
หลิ่วเจี้ยนเซิงถกแขนเสื้อขึ้น จ้าวเหิงจึงเอ่ยปากขึ้นว่า “พอเถอะ พวกเราไปได้แล้ว”
หลิวเจี้ยนเซิงถลึงตาใส่อวี๋ซงแล้วเดินจากไป
ในตอนนั้นเอง เพื่อนร่วมห้องของอวี๋ซงก็หอบหนังสือมากองใหญ่ เขามองอวี๋ซง แล้วมองไปยังจ้าวเหิงและหลิ่วเจี้ยนเซิง กล่าวถามว่า “เจ้ามาใหม่หรือ? เจ้าไปมีเรื่องกับเขาได้อย่างไร? จ้าวเหิงเป็นเจี้ยนเซิงอันดับหนึ่งของที่นี่ ได้ยินว่าเขาได้รับการแนะนำจากสกุลเซียวให้เข้าเรียน เป็นนักเรียนคนสำคัญของหัวหน้าสำนักบัณฑิต เจ้าห้ามไปล่วงเกินเขาเชียวนะ!”
เจี้ยนเซิงอันดับหนึ่ง…อวี๋ซงมองไปยังแผ่นหลังของจ้าวเหิงซึ่งเดินออกไปไกลแล้ว เขากำหมัดแน่น
……
เพื่อให้พิธีสมรสของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนูเป็นไปได้อย่างราบรื่น ลุงวั่นเชิญนางกำนัลมากประสบการณ์มาสอนอวี๋หวั่นโดยเฉพาะ นางเป็นคนแซ่วั่นเช่นกัน ลุงวั่นบอกว่าต้นตระกูลของพวกเขาเมื่อห้าร้อยปีที่แล้วเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
วั่นมามาเคยอยู่ในวังหลวง รับผิดชอบการฝึกกิริยามารยาทและกฎต่างๆ ให้กับหญิงงาม บัดนี้ได้รับการปูนบำเหน็จเลี้ยงดูเป็นอย่างดี นางจึงมิได้ขาดแคลนเงิน แต่นางตอบตกลงมาที่จวนคุณชายเยี่ยนก็เพราะลุงวั่นเป็นคนเชิญ
เมื่อรู้ว่าผู้ที่นางจะสอนเป็นแม่นางจากชนบท นางก็ส่งสายตาดุดันให้ลุงวั่น
ลุงวั่นถูจมูกด้วยความขุ่นเคืองใจ
วั่นมามาเป็นคนเคร่งครัดและจริงจัง หากผ่านก็คือผ่าน ผิดก็ต้องลงโทษ ต่อให้อวี๋หวั่นจะสูงศักดิ์ถึงกับเป็นฮูหยินของเยี่ยนจิ่วเฉา ก็ยังถูกวั่นมามาลงโทษให้คัดกฎของวังหลวงหลายรอบ
ช่วงเช้าอวี๋หวั่นเรียนเกี่ยวกับพงศาวลีของราชวงศ์และกฎในวัง ช่วงบ่ายฝึกฝนการพูดและท่วงท่า ตกเย็นเธอก็ไม่ได้หยุดพัก ยังต้องเรียนศิลปะการชงชากับวั่นมามาหรือศิลปะการชงชาของลุงวั่น ผ่านไปหนึ่งวัน อวี๋หวั่นรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าการทำนาเสียอีก
ตกกลางคืน อวี๋หวั่นเลิกเรียน เธอลากร่างกายอันอิดโรยของตัวเองกลับเรือนชิงเฟิง อาบน้ำร้อนอย่างสบายใจ เธอเกือบหลับในถังน้ำร้อนเสียแล้ว
เด็กน้อยทั้งสามเล่นอยู่บนเตียง อวี๋หวั่นถือหนังสือพงศาวลีราชวงศ์พลางนั่งลงบนเตียง เรื่องนี้คล้ายกับวิชาประวัติศาสตร์ที่อวี๋หวั่นเคยเรียนในชีวิตก่อนหน้า หนังสือบรรยายเรื่องราวของราชวงศ์ก่อนๆ มาจนถึงราชวงศ์ปัจจุบัน ราชวงศ์ปัจจุบันมีฮ่องเต้มากี่พระองค์แล้ว ประวัติชีวิตของฮ่องเต้แต่ละพระองค์เป็นอย่างไร รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ล้วนบันทึกไว้ทั้งหมด นี่ไม่ใช่พงศาวลีของราชวงศ์แล้ว เหมือนกับหนังสือประวัติราชวงศ์เสียมากกว่า
เมื่ออ่านมาถึงประวัติของฮ่องเต้องค์ก่อน อวี๋หวั่นก็นึกสงสัยขึ้นมา แม้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะบอกว่าฮ่องเต้ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของอาณาจักรหนานจ้าว เธอก็ยังรู้สึกเคลือบแคลงใจเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยนอ๋องรับความผิดของ ‘องค์ชายแห่งหนานจ้าว’ แทนฮ่องเต้ ทำไมลูกหลานของเขาถึงถูกราชวงศ์หนานจ้าวทำร้ายเล่า?
ทว่าจากบันทึกเกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ก่อน เขาไม่เคยพาฮองเฮาไปอาณาจักรหนานจ้าว กษัตริย์ของหนานจ้าวเองก็ไม่เคยมายังต้าโจว เมื่อดูจากเหตุและผลแล้วน่าจะไม่ใช่
เมื่อดูจากอายุแล้วยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่
กษัตริย์แห่งหนานจ้าวอายุห้าขวบ เยี่ยนอ๋องอายุเก้าขวบ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้ผู้หญิงตั้งท้องไม่ได้
ดังนั้นสิ่งที่เยี่ยนจิ่วเฉาพูดย่อมถูกต้อง ฮ่องเต้ไม่ใช่เชื้อสายกษัตริย์อาณาจักรหนานจ้าว เยี่ยนอ๋องก็ไม่ได้รับผิดแทนฮ่องเต้ เช่นนั้นทำไมราชวงศ์หนานจ้าวต้องคิดจัดการเยี่ยนจิ่วเฉาด้วย?
เสี่ยวเป่าปีนขึ้นมาด้วยความสงสัย ขยับก้นเล็กน้อย ศีรษะเหงื่อออก เขามองไปยังหนังสือในมืออวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นมองเขาอย่างขบขัน “อยากดูหรือ?”
เสี่ยวเป่าพยักหน้า
อวี๋หวั่นใช้ผ้าเช็ดเหงื่อให้เขา แล้วอุ้มเขาขึ้นมาบนตัก แขนโอบลำตัวเขาไว้ แล้วค่อยๆ อ่านให้เขาฟังพลางไล่นิ้วไปตามตัวอักษร
ทุกคำที่เธออ่าน เสี่ยวเป่าก็ขยับปากตามไปด้วย หากไม่ใช่เพราะไม่มีเสียง อวี๋หวั่นคงคิดว่าเขากำลังอ่านไปพร้อมกับเธอ
อวี๋หวั่นหอมหน้าผากของลูกชาย “เสี่ยวเป่าจะพูดหรือ?”
เสี่ยวเป่าไม่ตอบ
อวี๋หวั่นก้มหน้าลงไปมอง เสี่ยวเป่าหลับคอพับไปในอ้อมอกของเธอแล้ว
ที่จริงเขาไม่ได้อยากอ่านหนังสือ แต่เพราะง่วงนอนจึงปีนมาหาเธองั้นหรือ?
อวี๋หวั่นหัวเราะอย่างขบขัน เธอเปลี่ยนเสื้อใหม่ให้เสี่ยวเป่า ในตอนนั้นเอง ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าก็นิ่งไปแล้ว พวกเขานอนตาปรืออยู่บนผ้าห่ม อีกนิดเดียวก็คงผล็อยหลับไป
เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าเช่นกัน เยี่ยนจิ่วเฉายังไม่กลับห้อง อวี๋หวั่นตัดสินใจอ่านหนังสือต่อ ไหนเลยจะรู้ว่าตัวเธอเองก็เหนื่อยเหลือเกิน เพียงครู่เดียวก็ผล็อยหลับไปเช่นกัน
อวี๋หวั่นตื่นขึ้นเพราะเสียงกระซิบข้างหู เธอมองไปด้วยสายตางัวเงีย “เยี่ยนจิ่วเฉา?” จากนั้นก็ยกมือขึ้นคลำข้างกาย “ลูกละ?”
“ลุงวั่นอุ้มไปแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
ในมือของอวี๋หวั่นถือหนังสือซึ่งเพิ่งอ่านไปได้ครึ่งเดียว
เยี่ยนจิ่วเฉาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “ยังไม่หมดอีกหรือ?”
“ยังเลยเจ้าค่ะ เพิ่งจำไปได้ครึ่งเดียว” อวี๋หวั่นหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วบิดขี้เกียจ แล้วเหลือบไปมอง ก็พบว่าเยี่ยนจิ่วเฉาหูแดงก่ำ อวี๋หวั่นตื่นเต็มตาแล้ว จึงใช้แขนดันตัวเองลุกขึ้น แล้วหันข้างไปมองเขา “ทะ…ท่านพูดถึงนี่หรือ?”
ประจำเดือนสินะ
เยี่ยนจิ่วเฉากะพริบตาปริบๆ
อวี๋หวั่นถอนหายใจด้วยความเสียดาย “เหลืออีกสักวันสองวันเจ้าค่ะ”
คงเป็นเพราะตั้งแต่ที่มาอยู่จวนคุณชาย เธอก็กินดีอยู่ดี ระดูจึงมามากและนานกว่าเดิม แต่เธอรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องของพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้แล้ว
คุณสามีใจร้อนเหลือเกิน แม้แต่ลูกๆ ที่เป็น ‘อุปสรรค’ เขาก็อุ้มออกไปแล้ว
อวี๋หวั่นดวงตาเป็นประกาย เท้าคางแล้วพูดว่า “ข้าช่วยท่านเอง”
เธอไม่รีรอให้เยี่ยนจิ่วเฉามีปฏิกิริยาตอบสนองกับคำว่า ‘ช่วย’ อวี๋หวั่นก็สอดมือเข้าไปใต้ผ้าห่มของเขาแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาตัวแข็งทื่อ “อวี๋อาหวั่น!”
“อย่าเอะอะสิ ข้าก็อายเหมือนกันนะ”
ราตรีหวานละมุน ดุจเสียงกระซิบของคู่รัก