หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 119 คู่ข้าวใหม่ปลามัน
เกาหย่วนนั่งเงียบงันตลอดทางกลับจวน ฉีหลินคุ้นเคยกับท่านปู่ที่เงียบเช่นนี้ จึงไม่รู้สึกผิดสังเกตแต่อย่างใด เพียงแต่ว่าในตอนที่รถม้าของพวกเขาเคลื่อนผ่านร้านขายขนมแห่งหนึ่ง เขาร้องเรียกท่านปู่ตั้งสองครั้ง แต่ท่านปู่ไม่ได้ยิน เขาจึงรู้สึกน้อยใจ
“ท่านปู่ ข้ากลับห้องก่อนนะขอรับ” ฉีหลินบอกกับท่านปู่หลังจากที่กลับมาถึงจวน มิทันรอให้ท่านปู่ตอบ เขาก็เบ้ปาก “ดูสิ ไม่ได้ยินอีกแล้ว”
ฉีหลินเดินกลับห้องไปด้วยความขุ่นเคือง
เกาหย่วนครุ่นคิดพลางเดินไปยังห้องหนังสือ
“นายท่าน” พ่อบ้านหยิบกระป๋องโลหะออกมา แล้วบอกกับเกาหย่วนว่า “ตอนกลางวันท่านบอกให้ข้าซื้อดีบัว จะให้ข้าชงเลยหรือไม่ขอรับ?”
เกาหย่วนไม่ได้โปรดปรานใบชา เขาชอบดื่มน้ำดีบัวมากกว่า
“ชงมาแก้วหนึ่ง”
“ขอรับ” พ่อบ้านเก็บกระป๋องเข้าที จากนั้นก็ชงชาดีบัวซึ่งรสชาติยากแก่การกระเดือกลงคอมา น้ำดีบัวนี้เขาเคยชิมครั้งหนึ่ง ขมเสียจนต้องบ้วนออกมา หลังจากนั้นเขาก็ไม่แตะต้องมันอีก จะว่าไปก็น่าแปลก หลายปีก่อนหน้านี้นายท่านไม่ได้มีความชื่นชอบเช่นนี้นี่ ปีที่แล้วหลังจากล้มป่วยครั้งใหญ่ ก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แม้แต่ชีวิตประจำวันก็ยังเปลี่ยนไป
พ่อบ้านชงดีบัวเสร็จแล้วจึงนำไปวางบนโต๊ะ “นายท่านจะอ่านหนังสือหรือไม่ขอรับ? หรือจะเขียนหนังสือ? ข้าจะเตรียมชุดหมึกให้”
“ไม่ต้อง” เกาหย่วนโบกมือ
พ่อบ้านจึงบอกว่า “เช่นนั้นข้าออกไปก่อนนะขอรับ นายท่านมีอะไรเรียกข้าได้”
เกาหย่วนพยักหน้า
พ่อบ้านจึงค่อยๆ ออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ
เกาหย่วนยังคงตกใจกับสตรีผู้นั้น หากเขาจำไม่ผิด ครอบครัวของอวี๋เซ่าชิงคล้ายกับว่ามีภรรยากับลูกชายคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ลูกสาวของเขาจากไปนานแล้ว ได้ยินว่าอับอายกับการถูกยกเลิกการแต่งงาน จึงประโดดน้ำปลิดชีพตนเอง เช่นนั้นเด็กคนนี้มาได้อย่างไรกัน?
อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของนาง คล้ายกับว่าจะเคยพบกันมาก่อน
มิใช่ที่สถานีส่งสาร เพราะในตอนนั้น เขาไม่ได้มองนางด้วยซ้ำ
เหตุใดเขาจึงรู้สึกคล้ายกับเคยพบนางที่ไหนมาก่อน
เกาหย่วนกดขมับ ยกชาดีบัวร้อนๆ ขึ้นมาค่อยๆ จิบ รสขมปร่าของดีบัวแผ่ซ่านไปถึงลำคอ แรกเริ่มเขาก็ไม่ค่อยคุ้นชิน แต่ใครจะไปคิดว่าหลังจากรักษาชีวิตกลับมาได้ เขาก็ไม่รู้สึกยี่หระกับรสชาติของดีบัวอีกเลย
นอกห้อง มีเสียงของพ่อบ้านดังเข้ามา “จริงหรือ?”
“เดี๋ยวก่อน มาเมื่อไร?”
“ได้ ไม่มีอะไรแล้ว”
ผ่านไปครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็เคาะประตูห้อง “นายท่าน มีข่าวส่งมาจากสถานีส่งสารขอรับ”
สำนักบัณฑิตซื้อข่าวจากสถานีส่งสาร หากรู้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ ทรงต้องเคลือบแคลงเกาหย่วนเป็นแน่
เกาหย่วนดื่มชาดีบัวอึกหนึ่ง ชารสขมเสียจนประสาทสัมผัสของเขาไม่รับรู้รส “เข้ามา”
พ่อบ้านดันประตูเข้ามา แล้วกล่าวเสียงค่อยว่า “เป็นข่าวเร็วจากเมืองหวั่นขอรับ ราชทูตจากหนานจ้าวจะมาร่วมงานแต่งงานของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนูขอรับ”
อาณาจักรหนานจ้าวและเมืองหวั่นมีพรมแดนติดกัน ข่าวที่เกี่ยวกับอาณาจักรหนานจ้าวล้วนแต่ถูกส่งมาจากเมืองหวั่นทั้งสิ้น
อาณาจักรหนานจ้าวเป็นดินแดนเพื่อนบ้านของต้าโจว ทั้งสองดินแดนไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขามิได้มีความสัมพันธ์กับซยงหนูแต่อย่างใด ครั้งนี้พวกเขาออกตัวว่าจะมาร่วมงานแต่งของเฉิงอ๋องและองค์หญิงซยงหนู นับว่าเหนือความคาดหมาย
ไม่มีเรื่องเช่นนี้อยู่ในความทรงจำของเขา
และแน่นอนว่าไม่มีเรื่องอย่างการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างซยงหนูและต้าโจวเช่นกัน
แต่ในเมื่อเป็นการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ การมาเยือนของราชทูตจากหนานจ้าวก็นับว่าเข้าใจได้
ในตอนนี้กองทัพของต้าโจวมิอาจเทียบหนานจ้าวได้ ทว่าเมื่อต้าโจวเชื่อความสัมพันธ์กับซยงหนูแล้วอาณาจักรหนานจ้าวก็ไม่อาจต่อกรได้ง่ายๆ การมาเยือนของหนาวจ้าวในครั้งนี้ก็อาจเพื่อเจรจา หรือไม่ก็มาหยั่งเชิง
เกาหย่วนมิได้ปรารถนาจะไปข้องแวะกับราชสำนัก เขาซื้อข่าวเอาไว้เพียงเพื่อเตรียมการสำหรับเหตุฉุกเฉิน ในตอนนี้ดูแล้วน่าจะไม่มีสิ่งใดน่ากังวล ราชทูตจากสองดินแดนมาพร้อมกัน พวกเขากลัวว่าจะมีงานยุ่งก็เท่านั้น
ข่าวการมาเยือนของราชทูตรัฐหนานจ้าวยังไม่มาถึงหูของอวี๋หวั่น แต่ถึงรู้แล้ว เธอก็คงไม่ได้ใส่ใจมาก อย่างไรเสียราชทูตหนานจ้าวก็ไม่ได้บุกมาหาเธอนี่ แล้วจะเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย?
ในตอนนี้อวี๋หวั่นนั่งอยู่บนรถม้า กำลังจะกลับจวน เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ข้างเธอ
อวี๋หวั่นรู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนส่งอิ่งสือซันมา เธอควรขอบคุณเขาสักครั้ง แต่เธอกลับไม่ได้พูดอะไร
เรื่องของอวี๋ซงมีผลกระทบกับเธอ เธอเริ่มสงสัยว่าตนเองจะสามารถมีสถานะเป็นฮูหยินได้หรือไม่ เธออาจจินตนาการสถานะใหม่ไว้ง่ายเกินไปสักหน่อย คิดว่าตนเองอยู่มาสองชีวิต เห็นอะไรมามาก สามารถปรับตัวกับสถานะแรกได้ ก็ต้องปรับตัวกับสถานะที่สองได้ ทว่าที่จริงแล้วการเป็นชายาของราชนิกุลนั้นยากกว่าการเป็นผู้หญิงชาวบ้านไม่รู้กี่เท่า…
“เฮ้อ”
ไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉามองเธอด้วยความแปลกใจ
อวี๋หวั่นรู้ว่าเขากำลังมองมา แต่เธอไม่ได้มองเขากลับ เธอจับนิ้วมือของตัวเอง แล้วพูดเสียงค่อยว่า “เยี่ยนจิ่วเฉา ถ้าเกิด…ข้าคิดว่าถ้าเกิด ข้าไม่เหมาะกับการเป็นฮูหยินละ จะทำอย่างไร?”
“เจ้าว่าข้าเป็นคุณชายที่มีคุณสมบัติพอหรือไม่เล่า?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
อวี๋หวั่นไตร่ตรองอย่างจริงจัง แล้วตอบอย่างจริงใจว่า “ไม่”
ไม่เรียนวิชา ชื่อเสียงไม่ดี ดื้อรั้นเอาแต่ใจ…มีคุณชายที่เป็นเชื้อพระวงศ์คนไหนที่เป็นอย่างนี้บ้าง? แม้แต่คนที่ไม่เอาไหนอย่างองค์ชายใหญ่ยังรู้จักเชิญอาจารย์มาสอนเลย
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็หมายความว่าเธอกับเยี่ยนจิ่วเฉาเหมาะสมกันแล้วสินะ
อวี๋หวั่นรู้สึกสบายใจขึ้นมา
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดว่า “เจ้าไม่ต้องไปสนใจว่าผู้อื่นจะคิดอย่างไร เหมาะสมแล้วอย่างไร? ไม่เหมาะสมแล้วอย่างไร? เป็นก็คือเป็น ไม่เป็นก็คือไม่เป็น ใต้หล้ามีคนที่เหมาะสมตั้งมากมาย แต่คนที่จะได้นั่งในตำแหน่งนี้มีเพียงคนเดียว!”
นั่นก็คือข้า อวี๋หวั่น!
อวี๋หวั่นตบอกเบาๆ ความรู้สึกที่จมดิ่งเมื่อครู่ค่อยๆ ดีขึ้นมา เธอจับแขนเสื้อของเขา “เช่นนั้นพรุ่งนี้วั่นมามาจะทดสอบข้า ข้าไม่ไปได้ไหมนะ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาหัวเราะ ‘เหอะๆ’ แล้วพูดว่า “เจ้าฝันหวานเกินไปแล้ว”
อวี๋หวั่นจะบ้าตาย
…………………………………