หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 139 นางเจียงลงมือ
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 139 นางเจียงลงมือ
ณ คุกหลวง ในห้องทรมานอันเงียบสงัด โจวไหวสวมกุญแจมือ นั่งอยู่บนเก้าอี้ทรมานเย็นเฉียบ เนื่องจากฮ่องเต้ทรงมีคำสั่งห้ามทรมานโจวไหว ดังนั้นโจวไหวจึงอยู่อย่างสุขสบายตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา แม้แต่เครื่องทรมาน เขาก็ยังไม่ต้องขึ้นไป
ถูกทรมานเขาก็ไม่ยอมบอกความจริง หากไม่ทรมานก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาได้แต่นั่งวางท่าอยู่เช่นนั้น พูดจาราวกับตนเป็นนายท่าน จนพัศดีในคุกหลวงโมโหเขาแทบตาย กระนั้นข้างกายของโจวไหวก็มีคนที่ฮ่องเต้ส่งมาอารักษา เขานึกอยากจะอัดโจวไหวสักทีสองทีก็ทำไม่ได้
พัศดีของคุกหลวงดื่มชาเย็นๆ เพื่อลดไฟโทสะ “โจวไหว ข้าต้องถามเจ้ากี่ครั้งเจ้าถึงจะยอมบอกความจริง?”
“ความจริงอะไร?” โจวไหวถามอย่างเอื่อยเฉื่อย
พัศดีกล่าวว่า “หลังจากที่แม่ทัพเซียวได้รับรายชื่อมาแล้ว เขาไม่ได้พบกับเหยียนฉงหมิงโดยลำพังเลยใช่หรือไม่?”
โจวไหวแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้าถามข้า หรือว่าถามใคร?”
พัศดีโมโหจนปอดแทบระเบิด คุณชายเยี่ยนเร่งเร้าต้องการผลโดยเร็ว ฮ่องเต้ก็ทรงกดดันไม่ต้องการผล โจวไหวก็ดันเดาพระทัยฮ่องเต้ได้ จึงเอาแต่เล่นลิ้นไม่เลิก
พัศดีกล่าวว่า “เท่าที่ข้ารู้ รายชื่อสายลับได้มาในวันที่ถูกบุกโจมตีค่ายซีเป่ยในกลางดึก จากนั้นข้าศึกก็ไล่ต้อนพวกเจ้าเข้าไปในหุบเขาหิมะ เจ้าอยู่ข้างกายแม่ทัพเซียวตลอด เขาเจอใคร เจ้าก็เจอเช่นกัน เรื่องนี้เจ้ารู้อยู่แก่ใจ ข้าแนะนำให้เจ้าตอบมาตามตรง ไม่เช่นนั้นลำพังโทษหนีการจับกุมหลายต่อหลายครั้งของเจ้า ก็ทำให้เจ้าติดคุกหัวโตไปครึ่งค่อนชีวิตแล้ว!”
โจวไหวแค่นเสียงด้วยความรังเกียจ
พัศดีกำหมัดแน่น เขาเกือบหลุดปากออกไปว่า ‘จับเขาไปทรมาน’ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นองครักษ์ของฮ่องเต้ยืนอยู่ข้างโจวไหว จึงพูดว่า “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่มีวิธีทรมานเจ้า ข้าพูดเพียงประโยคเดียวก็ชี้เป็นชี้ตายเจ้าได้แล้ว”
โจวไหวมองเขาอย่างไม่ยี่หระ นัยน์ตาของเจ้าปราศจากความกลัว “ใช้เครื่องทรมานกับข้าเลย หากข้าร้องออกมาก็ถือว่าข้าแพ้”
พัศดีจ้องไปในดวงตาของเขา รู้ว่าโจวไหวไม่ได้โกหก ก่อนที่จะจับเขาเข้ามาในคุกหลวง พวกเขาได้สืบประวัติของโจวไหวมาแล้ว เขาเป็นคนสิ้นไร้ไม้ตอก ทั้งชีวิตเขาภักดีต่อเซียวเหยี่ยนแต่เพียงผู้เดียว ปีก่อนเขาไปเป็นเหยื่อล่อในการสืบข้อมูลลับของซยงหนู เขาถูกจับได้ วิธีของคนเหล่านั้นโหดเหี้ยมกว่าการทรมานในคุกหลวงมาก พวกเขาให้โจวไหวกินยาเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่อาจล้มโจวไหวได้
เขานับว่าเป็นกระดูกชิ้นแข็งที่ผู้ใดก็กัดไม่ได้ ยิ่งหากฮ่องเต้ไม่ยื่นมือมาช่วย ก็ไม่รู้ว่าคุกหลวงจะง้างปากเขาได้หรือไม่
พัศดีเดินออกไปด้วยความเดือดดาล
โจวไหวหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา ปล่อยให้คนจับตัวไปด้วยความรู้สึกเปี่ยมชัยชนะ
จะว่าไปสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงปฏิบัติต่อเขานับว่าไม่เลว ไม่เพียงสั่งห้ามทรมานเขา ยังทรงส่งองครักษ์คนสนิทมาอารักขาเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเขาหลบหนีไป คนเหล่านี้ก็คงจะทำเป็นหลับหูหลับตา แต่เขาหาได้โง่เง่าเพียงนั้นไม่ เยี่ยนไหวจิ่งนึกเสียดายที่จับเขาเข้าคุกหลวง หากเขาออกไปก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเยี่ยนไหวจิ่ง หรือไม่ก็เยี่ยนจิ่วเฉา สรุปแล้วไม่มีที่ใดสบายเท่าในคุกหลวง
โจวไหวกินข้าวเสร็จก็เอนกายลงนอนบนแผ่นไม้
คนแซ่อวี๋อยากให้เขาเป็นพยานให้หรือ? ฝันไปเถอะ!
เพียงครู่เดียวโจวไหวก็ก้าวเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน
ขณะที่เขากำลังสะลึมละสือ ก็รู้สึกคล้ายกับมีคนผลักประตูออก ความคิดแรกของเขาคือมือสังหารบุกเข้ามา ทว่าความคิดที่ตามมาก็คือองครักษ์ของฮ่องเต้ซึ่งยืนอยู่ข้างนอก ใครหน้าไหนจะบุกเข้ามาเช่นนั้น? แปดในสิบส่วนก็คงเข้ามาเพื่อดูว่าเขาตายหรือยัง
โจวไหวนอนอย่างสบายใจต่อไป แต่เขานอนไปได้เพียงครู่เดียว ก็รู้สึกว่ามีมือเย็นเฉียบข้างหนึ่งคว้าลำคอของเขาไว้
ลำคอของเขาถูกบีบแน่น
เขาคว้ามือนั้นไว้ด้วยสัญชาตญาณ แต่เขากลับได้ยินเสียงกึกกักสองครั้ง จากนั้นแขนของเขาก็หลุดออกจากข้อต่อ
มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยซ้ำ
ต้องเข้าใจก่อนว่าวิชายุทธ์ของเขามิได้เป็นรององครักษ์เงาแต่อย่างใด แม้แต่หน่วยกล้าตายของฮ่องเต้ก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะเขาได้ แต่เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกัน? เขายังไม่ทันลงมือ ก็ถูกคนหักแขนไปเสียแล้ว
เขาอยากร้องออกมา แต่กลับพบว่าลำคอของตนไม่อาจเปล่งเสียงได้
เขาคิดจะเงยหน้าไปมองอีกฝ่าย กระนั้นก็ขยับศีรษะไม่ได้
มือข้างนั้นจับคอของเขา แล้วสะบัดอย่างง่ายดายราวกับสะบัดกระสอบป่าน จากนั้นก็ลากเขาออกจากคุก
ไม่รู้ว่าองครักษ์ด้านนอกล้มลงไปตั้งแต่เมื่อไร นักโทษทั้งหลายต่างก็หลับไหล ทางเดินเงียบสงัด มีเพียงเสียงของร่างเขาซึ่งถูกลากไปกับพื้น
ระเบียงทางเดินให้ความรู้สึกราวกับเป็นปากของอสูรยักษ์
ชั่วชีวิตนี้ โจวไหวไม่เคยรู้สึกครั่นคร้ามผู้ใดมาก่อน แต่ว่าในตอนนี้ ในใจของเขาก็พลันบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
แกร็ก
กลอนของห้องทรมานถูกปลดออก
โจวไหวถูกลากเข้าไปในห้องทรมาน แล้วผูกไว้กับเครื่องทรมานเย็นเฉียบ ศีรษะของโจวไหวถูกกระแทกจนเป็นแผลระหว่างทาง เลือดสดไหลลงมาจนดวงตาของเขาพร่ามัว เขามองลักษณะของอีกฝ่ายไม่ชัด แต่เขาพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเหตุใด
เขาหัวเราะแดกดัน “หากเจ้าจะมาบังคับให้ข้าเป็นพยานให้อวี๋เซ่าชิงละก็ ข้าอยากจะเตือนเจ้าว่าอย่ามายุ่มย่ามจะดีกว่า ต่อให้ข้าตาย ข้าก็จะไม่ยอมให้คนผู้นั้นมีชีวิตที่ดีได้หรอก!”
“เช่นนั้นหรือ?”
อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเบาๆ
โจวไหวชะงักไปครู่หนึ่ง
สตรีรึ?
“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะเป็นพยานให้อวี๋เซ่าชิงหรือไม่?”
เสียงนี้ไม่ดัง จะเรียกว่าว่าอ่อนโยนก็คงจะได้ แต่เมื่อมันก้องอยู่ในห้องทรมานแห่งนี้ กลับทำให้รู้สึกเย็นวาบอย่างบอกไม่ถูก
โจวไหวตะลึงงัน จากนั้นเมื่อได้สติกลับมา เขาก็ตอบไปอย่างไม่ยี่หระว่า “เหอะ เจ้าจะถามข้ากี่ครั้ง ข้าก็ยังจะตอบคำตอบเดิม สมน้ำหน้าที่เขาถูกแย่งความดีความชอบไป ข้าอยากให้เขามีความผิดติดตัวไปชั่วชีวิต! ข้าอยากให้เขาตกต่ำไปชั่วชีวิต! เป็นนักโทษไปชั่วชีวิต!”
ชิ้ง——
เป็นเสียงของดาบที่กำลังถูกชักออกจากฝัก
โจวไหวหัวเราะเสียงดัง “เจ้าอยากจะตัดมือหรือตัดขาข้าเล่า? ข้าจะบอกให้เจ้าฟังว่าแม่ทัพเซียวตายไปแล้ว ข้าอยู่ไปก็ไร้ความหมาย ต่อให้เจ้าแล่เนื้อข้าออกมาแล้วอย่างไร? เจ้าคิดว่าข้ากลัวรึ! วิธีพรรค์นี้หากใช้ได้ผลกับข้า ข้าคงยอมศิโรราบต่อซยงหนูไปแล้ว! เจ้าจะทรมานข้าอย่างไรก็เอาเลย!”
นางกล่าวว่า “ใครบอกว่าข้าจะทรมานเจ้า?”
โจวไหวชะงักไป “เช่นนั้นเจ้าจะทำอะไร?”
โจวไหวมองไม่ชัด แต่เขาสัมผัสได้ว่าบนใบหน้าของอีกฝ่ายประทับด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน จากนั้นก็รู้สึกเย็นวาบที่เป้ากางเกง!
เขาขนลุกซู่ “เจ้าจะทำอะไร?!”
“ตอนเจ้าอย่างไรเล่า” นางยิ้ม
โจวไหว “…!!”
……
ฟ้ายังไม่สาง พัศดีก็ถูกคนเรียกจนตื่นนอน
“นายท่านขอรับ! นายท่าน! โจวไหว…โจวไหวยอมบอกความจริงแล้วขอรับ!”
พัศดีไม่รู้ว่าโจวไหวประสบพบเจอกับอะไร เหตุใดจึงเปลี่ยนใจในระยะเวลาชั่วข้ามคืน
เขาเดินทางไปคุกหลวง
“ฮือๆๆ…” โจวไหวร้องไห้ราวกับเด็ก
ฮืออ…
บอกเสียดิบดีไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ใช้เครื่องทรมานไม่เท่าไรก็กลับคำเสียแล้ว?
พัศดีหายใจเข้าลึกๆ “โจวไหวเจ้า…”
ยังไม่ทันพูดจบ โจวไหวก็น้ำหูน้ำตาไหลและเอ่ยขึ้นว่า “ฮือๆ…ข้าบอกแล้ว…ข้าจะบอกทุกอย่าง…อย่าทุบตีข้าเลย…”
โดยเฉพาะไข่ของข้า…
ฮือๆ…
เจ็บเหลือเกิน
เจ็บเหลือเกิน…
พัศดีซึ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “…”
ไม่ว่าอย่างไร การที่โจวไหวบอกความจริงก็เป็นเรื่องที่ดี ครั้งแรกที่เห็นโจวไหวก็รู้แล้วว่าอวี๋เซ่าชิงถูกใส่ร้าย และในเมื่อถูกใส่ร้าย มลทินทั้งหมดก็จำต้องถูกชำระล้าง คุกหลวงทำให้โจวไหวสารภาพได้แล้ว โจวไหวรีบลงรอยประทับ เมื่อเขียนเสร็จ เขาก็มองพัศดีด้วยใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความคาดหวัง ราวกับเด็กน้อยซึ่งกำลังรอคำชม
“…” พัศดีจึงลูบศีรษะของเขาด้วยความงุนงง “…เก่ง…เก่งมาก”
ตกเย็น เรื่องที่โจวไหวยอมปริปากก็ไปถึงวังหลวง
“ฝ่าบาท พัศดีจากคุกหลวงต้องการเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีวังรายงานจากหน้าห้องทรงพระอักษร
“เข้ามา” ฮ่องเต้ตรัสเบาๆ
พัศดีเดินเข้ามาด้านใน เขาถวายบังคมครั้งหนึ่ง มอบคำสารภาพของโจวไหวให้ฮ่องเต้ แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท โจวไหวเล่าเรื่องทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่ที่แม่ทัพเซียวได้รายชื่อสายลับมา ก็ไม่ได้พบกับเหยียนฉงหมิงเป็นการส่วนตัว เหยียนฉงหมิงไม่มีทางได้รับรายชื่อมาจากมือแม่ทัพเซียวอย่างแน่นอน แม่ทัพเซียวสั่งเสียกับอวี๋เซ่าชิง เป็นอวี๋เซ่าชิงที่ทำหน้าที่ของแม่ทัพเซียวต่อจนสำเร็จ แม่ทัพเซียวฝากรายชื่อนั้นไว้กับอวี๋เซ่าชิงไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของฮ่องเต้ปราศจากอารมณ์ใดๆ “เราเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อน อย่าเพิ่งแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ข้าจะตัดสินใจเอง”
พัศดีได้ทำเรื่องที่เขาทำได้แล้ว ต่อจากนี้เขาก็ไม่อาจแทรกแซงได้
หลังจากที่พัศดีออกไป ขันทีวังก็ยกน้ำชาเข้ามาหนึ่งกา
ฮ่องเต้ฉีกเอกสารคำสารภาพทิ้ง “เหอะ คิดหรือว่าหลักฐานเหล่านี้จะไม่มีจุดผิดพลาด? ใต้หล้าล้วนเป็นของเรา หากไม่มีคำอนุญาตจากเรา เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้ใดจะคืนความยุติธรรมให้อวี๋เซ่าชิงได้!”
ฮ่องเต้กลับตำหนักไป
หลังจากจัดการกับคดีของอวี๋เซ่าชิงแล้ว ฮ่องเต้ก็อารมณ์ดีขึ้นมา ทั้งยังเปิดไพ่มาได้สนมคนโปรด เพราะฉะนั้นจึงเข้านอนอย่างสบายใจ
เช้าวันต่อมา ขันทีวังเข้าไปปลุกฮ่องเต้ดังเคย ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไป ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของพระสนม…
……………………………………