หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 154.1 ประทานรางวัล เยี่ยมเยียนถึงหน้าประตู (1)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 154.1 ประทานรางวัล เยี่ยมเยียนถึงหน้าประตู (1)
แม่ทัพเห้อเหลียนประสบกับโชคร้าย ในฐานะรองแม่ทัพ เมื่อเขากลับไปที่หนานจ้าว เป็นไปได้มากว่าต้องรับโทษด้วยชีวิต หากได้รับการสนับสนุนจากราชครู ต่อไปเมื่อกลับหนานจ้าวก็จะช่วยปกป้องครอบครัวของเขาให้รอดพ้นจากโทสะขององค์ประมุข
รองแม่ทัพหูบอกเล่าเรื่องราวที่เห้อเหลียนฉีไปหอนางโลมและหอจุ้ยเซียน แม้สารถีในวันที่ไปหอจุ้ยเซียนไม่ใช่เขา ทว่าภายหลังเห้อเหลียนฉีก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้กับเขา
หลังจากได้ยินสิ่งที่รองแม่ทัพหูเล่า ใต้เท้าตู้ก็ต้องตกใจจนไม่อาจหุบปาก “เขา…เขา…เขาเอ่ยวาจาสามหาวเช่นนั้นกับคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนจริงหรือ?”
อะไรคือ ‘ได้ยินมาว่าฮูหยินเซียวเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในต้าโจว…ไยเจ้าไม่ให้นางมาอยู่กับข้าสักคืนเล่า แล้วข้าจะมอบชุดเกราะให้เจ้า’? เขากล้าขึ้นไปเหยียบจมูกมารดาแท้ๆ ต่อหน้าคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนรึ?!
“ข้าจะบอกอีกอย่างหนึ่ง” ราชครูดูเหมือนจะคุยกับรองแม่ทัพหู ทว่าแท้จริงแล้วเขากำลังบอกกับใต้เท้าตู้ “สืบพบตัวสตรีที่หอจุ้ยเซียนผู้นั้นแล้ว นางไม่ใช่คนรับใช้ของจวนคุณชาย ทว่าเป็นเพื่อนของฮูหยินคุณชาย นางไม่ใช่กับดักที่เยี่ยนจิ่วเฉาวางไว้เพื่อหลอกล่อแม่ทัพเห้อเหลียน แม่ทัพเห้อเหลียนและนางเพียงพบกันโดยบังเอิญ”
รองแม่ทัพหูตกใจ
ใต้เท้าตู้เบิกตากว้างและกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้น แม่ทัพเห้อเหลียนดูถูกมารดาของคุณชายเยี่ยนก่อน จากนั้นก็พยายามเหยียดหยามเพื่อนของฮูหยินคุณชาย…” เป็นเช่นนี้แล้ว เขายังมีหน้าไปหาเยี่ยนจิ่วเฉาเพื่อล้างแค้นอีกหรือ?!
เรื่องทั้งหมดเพราะเห้อเหลียนฉีแกว่งเท้าหาเสี้ยนแต่แรก หากจะกล่าวให้ดูแย่เสียหน่อย ความตายยังน้อยไปด้วยซ้ำ ในฐานะทูตแห่งหนานจ้าว พวกเขาสามารถไปโวยวายกับฮ่องเต้แห่งต้าโจวได้ ทว่าเมื่อโวยวายแล้วฝ่ายที่จะดูแย่สุดท้ายก็คือหนานจ้าว แค้นเคืองศัตรูที่ลบหลู่มารดาจนไม่อยากอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน แม้เยี่ยนจิ่วเฉาจะลงมือหนักไปเสียหน่อย ทว่าก็ไม่มีผู้ใดตำหนิเขาได้
ชีวิตของเห้อเหลียนฉีไม่อาจฟื้นคืนกลับเป็นเหมือนเดิม อย่างไรก็ต้องช่วยรักษาหน้าและเกียรติของเขาไว้
ใต้เท้าตู้หุบปาก
ราชครูกวาดสายตามองรองแม่ทัพหู และมองไปในค่ำคืนอันมืดมิดไร้ขอบเขต “มิน่าถึงได้ไว้ชีวิตเจ้า ที่แท้ก็ต้องการยืมปากของเจ้ามาบอกพวกเราว่าฆาตกรคือเขา และเราก็ไม่อาจทำสิ่งใดกับเขาได้!”
หากรองแม่ทัพหูตายไปด้วย พวกเขาคงไม่รู้ความจริง และพยายามไปหาคำอธิบายจากฮ่องเต้แห่งต้าโจวเป็นแน่ และหลังจากล่วงรู้ความจริง หน้าตาของแม่ทัพเห้อเหลียนก็คงไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป การสังหารของเยี่ยนจิ่วเฉาก็ละเมิดกฎหมายต้าโจวเช่นกัน ผู้คนอาจเห็นอกเห็นใจเขา ทว่ากฎหมายไม่อาจช่วยอะไรเขาได้
ไม่ได้เป็นผลดีกับผู้ใดทั้งสิ้น
ยามนี้กลับแตกต่างออกไป ตราบใดที่พวกเขาเลือกที่จะเงียบ ไม่เพียงแต่จะรักษาหน้าตาของแม่ทัพเห้อเหลียนไว้ ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉาก็ยังไม่ต้องรับโทษใดๆ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันคือทางเลือกเดียวที่จะทำให้ชนะทั้งสองฝ่าย
ครานี้ไม่ต้องรอให้ราชครูเอ่ยทัก ใต้เท้าตู้ก็เข้าใจได้ด้วยตนเอง เขาคร่ำครวญว่า “การใช้อุบายหลอกล่อให้อีกฝ่ายติดกับ ทั้งยังทำให้คนอื่นอยากจะรู้สึกขอบคุณในการกระทำของเขา…มันทำให้ข้านึกถึงผู้ใดบางคนขึ้นมา”
ราชครูมองไปที่เขา
ใต้เท้าตู้ส่งสายตากลับเป็นนัยว่าท่านไม่มีทางเดาถูกเป็นแน่
ราชครูกล่าวว่า “ราชบุตรเขย”
อาณาจักรหนานจ้าวมีตี้จีอยู่สองพระองค์ ตี้จีองค์โตได้แยกตัวออกจากหนานจ้าวไปนานแล้ว ราชบุตรเขยที่ใต้เท้าตู้หมายถึงคือพระสวามีของตี้จีองค์เล็ก เขาไม่ใช่คนหนานจ้าว ในคราแรกองค์ประมุขทรงไม่เห็นด้วยที่จะให้เขาอภิเษกกับตี้จีองค์เล็ก ตี้จีองค์เล็กยืนกรานจะอภิเษกกับเขาต่อให้ต้องสละบัลลังก์ องค์ประมุขจึงทรงไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง พระองค์ไม่ได้เอ่ยถึงการแต่งตั้งว่าที่กษัตริย์มานานกว่าสิบปี จนกระทั่งตี้จีองค์เล็กได้รับของศักดิ์สิทธิ์มา พิสูจน์ว่าตนเองเป็นคนแห่งสวรรค์ ในที่สุดองค์ประมุขก็ทรงแต่งตั้งให้ตี้จีองค์เล็กเป็นประมุขหญิง
ราชบุตรเขยเป็นทั้งพระสวามีของตี้จีองค์เล็ก และยังเป็นที่ปรึกษาของเขา เยี่ยนจิ่วเฉาล้อมกรอบพวกเขาไว้ในวันนี้ ช่างคล้ายคลึงกับวิธีการของราชบุตรเขยในยามนั้นอย่างอธิบายไม่ได้
ใต้เท้าตู้ใช้วิธีการของราชบุตรเขยจนกลายมาเป็นคนสนิทของตี้จีองค์เล็ก แต่ไม่รู้ว่าราชครูจะใช่หรือไม่ เขาเองก็ไม่รู้ และไม่กล้าถามเช่นกัน
…
เห้อเหลียนฉีถูกซุ่มโจมตีจากสัตว์ร้ายในเขตล่าสัตว์ แม้ว่าทูตแห่งหนานจ้าวจะไม่ได้ถามหาความรับผิดชอบจากราชวงศ์ต้าโจว ทว่าฮ่องเต้ก็ยังทรงรู้สึกผิดและเสียพระทัยอยู่บ้าง พระองค์เสด็จไปยังตำหนักรับรองเพื่อเยี่ยมเยียนเห้อเหลียนฉีที่อยู่ในสภาพน่าเวทนาด้วยองค์เอง และให้หมอหลวงที่เชี่ยวชาญสองสามคนคอยอยู่ดูแล และยังสัญญากับทูตแห่งหนานจ้าวว่า พระองค์จะพยายามหายามารักษาเห้อเหลียนฉีอย่างเต็มที่ ไม่ว่าต้องใช้ยามากเพียงใดก็ตาม
ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ไม่สงสัยว่าเหตุการณ์นี้อาจมีเรื่องภายในบางอย่าง ทว่าทหารรักษาพระองค์สืบไม่พบเบาะแสใดๆ ในป่าแห่งนั้น
มีข่าวมาถึงพระกรรณว่าเห้อเหลียนฉีเคยไปก่อเรื่องวุ่นวายที่หอจุ้ยเซียน และมีใครบางคนทำร้ายเขา เขาเดาว่าคงเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา และยังได้ยินมาอีกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเคยไปตามหาเห้อเหลียนฉีที่หอนางโลม ไปตามหาด้วยเหตุใด? แน่นอนว่าคงเป็นเพราะชุดเกราะของเซียวเจิ้นถิง ฮ่องเต้คิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาหาได้มีความรู้สึกอันใดกับเซียวเจิ้นถิงนอกจากความคับแค้นใจ ทว่ายามนี้เขาขัดแย้งกับทูตหนานจ้าวเพราะชุดเกราะของเซียวเจิ้นถิง จิตใจของฮ่องเต้พลันรู้สึกริษยาเล็กน้อย
แน่นอนสิ่งเหล่านี้หาได้หมายความว่าการบาดเจ็บของเห้อเหลียนฉีเกิดจากบิดาเลี้ยงกับบุตรชาย วันนี้เซียวเจิ้นถิงไม่ได้มาที่เขตล่าสัตว์เสียด้วยซ้ำ และต่อให้มาเขาก็ไม่มีทางใช้วิธีลอบกัดทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้ ทว่าหากเป็นเจ้าเด็กตัวเหม็นผู้นั้นก็ไม่แน่ แต่เห็นชัดเจนว่าเขาเลือกม้าซูบผอมตัวนั้น จะไล่ตามผู้ใดทัน? แล้วองครักษ์มืดสองคนข้างกายของเขา ก็ได้ยินมาว่าเป็นหน่วยกล้าตายที่ยอมแพ้กลางคัน แมวสามขาเช่นนี้หรือจะเอาชนะแม่ทัพแห่งหนานจ้าวได้?
แต่ต้องบอกว่า ครึ่งหน่วยกล้าตายก็ยังเป็นหน่วยกล้าตายอยู่ดี หากพวกเขาไม่อาจเอาชนะเห้อเหลียนฉีได้ สัตว์เพียงไม่กี่ตัวจะทำร้ายเห้อเหลียนฉีได้อย่างไร?
ต่อให้ฮ่องเต้คิดใคร่ครวญอย่างไรก็ไม่อาจเดาได้ว่าเห้อเหลียนฉีถูกบุตรชายตะกร้าสานสองคนของเขาทำร้าย
ในเมื่อทูตหนานจ้าวเชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ฮ่องเต้จึงไม่ต้องการหาเหาใส่หัวเพิ่ม กล่าวตำหนิตนเองเป็นพิธีรีตอง ก่อนจะนั่งราชรถกลับตำหนักไป
คืนนั้นราชครูมาที่ห้องของเห้อเหลียนฉี
“ท่านอาจารย์ ยาอายุวัฒนะที่ท่านต้องการ” หวั่นเฟิงถือยาอุ่นๆ ไปที่หน้าของราชครู
ราชครูมองเห้อเหลียนฉีด้วยสีหน้าว่างเปล่าและเอ่ยว่า “ป้อนยาเขา”
หวั่นเฟิงสงสัย “นี่คือยาฟื้นคืนชีพโคจรลมปราณ ท่านอาจารย์หมายจะ…ต่อชีวิตหรือขอรับ? เขาอาจจะเจ็บปวดทรมานมาก”
บาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ ความตายเท่านั้นที่ช่วยบรรเทา
ราชครูกล่าว “เขายังตายตอนนี้ไม่ได้”
หากตายแล้ว พวกเขาก็ต้องแบกร่างกลับประเทศ ทว่าของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าวยังไม่ถึงมือ พวกเขาไม่อาจมาโดยเปล่าประโยชน์ได้ เห้อเหลียนฉีจำต้องมีชีวิตอยู่ แม้จะมีลูกธนูนับพันแทงทะลุหัวใจก็ตาม
“หรือเพราะของศักดิ์สิทธิ์ขอรับ?” หวั่นเฟิงคาดเดาถึงเรื่องนี้ ทว่าก็ยังไม่แน่ใจ และเขาก็ไม่คิดว่าจะหามันพบ การตามหาลูกเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่เช่นนี้ ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร
“อีกไม่นานก็จะพบ” ราชครูกล่าว
หวั่นเฟิงกะพริบตา ท่านอาจารย์หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าทราบที่อยู่ของของศักดิ์สิทธิ์แล้ว?
ในอีกด้านหนึ่ง อวี๋หวั่นพาเด็กๆ กลับมายังจวนแล้ว หลังออกมาจากสวนชมนก เด็กๆ ก็ไปที่สวนสัตว์ สัตว์หายากมากมายถูกขังไว้ในกรง ทั้งอากาศร้อน และมีกลิ่นไม่น่าพิสมัย เหล่าสตรีเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ทนไม่ไหว ทว่าเด็กๆ กลับเล่นกันอย่างสนุกสนานจนลืมจ๊ก[1] เมื่อข่าวร้ายในเขตล่าสัตว์แพร่มาถึง เด็กอ้วนทั้งสามก็กำลังนั่งยองๆ อยู่หน้ากรงสุนัขจิ้งจอกสีแดง สองมือจับกรง และใช้ศีรษะแนบซี่เหล็กหมายจะบีบตัวเข้าไปในนั้น
โชคดีที่กรงมีสองชั้น จึงไม่เกิดอันตรายในการเผชิญหน้ากัน แต่อวี๋หวั่นก็ต้องบอกให้พวกเขาออกมา
“เวลาเริ่มเย็นแล้ว กลับเรือนกันเถิด” อวี๋หวั่นเอ่ยเบาๆ
เด็กน้อยทั้งสามใช้สายตากระเง้ากระงอดมองเธอเป็นครั้งแรก
ยังไม่อยากไปเลย
แม้พวกเขาจะยังเด็ก ก็ยังเข้าใจดีว่าสัตว์เหล่านี้ที่อยู่ในกรงไม่อาจหาได้จากภายนอก แม้จะออกไปตามหาอย่างไรก็หาไม่พบอีกแล้ว
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและเอ่ยว่า “บ้านของเราก็มีสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยอยู่เช่นกัน มันมีสีขาวราวกับหิมะ งดงามกว่านี้มาก”
เด็กน้อยทั้งสามมีสีหน้าเข้าใจกระจ่างชัดในทันที พลันจับมืออวี๋หวั่น อดใจกลับจวนไปหาจิ้งจอกหิมะตัวน้อยแทบไม่ไหว
อวี๋หวั่นขำขัน หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเจ้าคิดว่ามันเป็นเพียงลูกสุนัขกัน?
แม่นางชุยมารับตัวองค์หญิงจิ่วกลับไป ยามแยกจากกันนางมองอวี๋หวั่นด้วยสายตาโหยหา อวี๋หวั่นส่งยิ้มและสัญญากับนางว่า คราหน้าเมื่อเธอเข้าวัง เธอจะไปเยี่ยมนาง จากนั้นนางก็เดินจากไปพร้อมกับแม่นางชุยอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นองค์หญิงจิ่วไม่อยากแยกจากกับตน อวี๋หวั่นก็แอบถามในใจว่าเพราะเธอมีชะตาต้องกับเด็กจริงๆ หรือเพราะเด็กคนนั้นไม่ได้รับความรักจากพระมารดาฮองเฮามากพอ? ฮองเฮาไม่มีทางให้กำเนิดบุตรของตนเองในวัยนี้ได้อีก การเก็บองค์หญิงจิ่วไว้ข้างกายก็เพราะต้องการใช้องค์หญิงจิ่วที่แสนน่ารักและงดงามดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้ด้วย ฮองเฮาต้องการองค์หญิงจิ่ว ส่วนองค์หญิงจิ่วหาได้ต้องการฮองเฮา? มารดาผู้ให้กำเนิดของนางตายไปตั้งแต่นางยังเด็ก ฮ่องเต้ก็ทรงงานไม่เคยว่างเว้น หากนางไม่ได้อยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของฮองเฮา ชีวิตของนางคงยากลำบากกว่าที่เป็นอยู่ในยามนี้มาก
อวี๋หวั่นลูบหัวเล็กๆ ของเด็กอ้วนทั้งสาม ในเวลานี้เธอรู้สึกขอบคุณที่เธอจำพวกเขาได้ และรับรู้ถึงประโยชน์ที่เยี่ยนจิ่วเฉาปฏิเสธอนุภรรยา เยี่ยนจิ่วเฉาจิตใจรักมั่น หากในจวนมีอนุภรรยานางบำเรอจริง ผู้ใดจะรับประกันได้ว่าบุตรของเธอจะยังเป็นผู้ที่บิดารักมากที่สุด
เด็กๆ ตื่นเต้นที่จะได้กลับไปกลั่นแกล้งสุนัขจิ้งจอกตัวน้อย ทว่าพวกเขาเหนื่อยมาทั้งวัน จึงเข้าสู่นิทราไปทันทีที่นั่งบนรถม้า
หลังจากลงจากรถ อวี๋หวั่น ฝูหลิงและจื่อซูต่างช่วยกันอุ้มพวกเขาขึ้นไปที่เรือนชั้นบน เถาเอ๋อร์กับหลีเอ๋อร์ไปนำน้ำร้อนมาจากห้องครัว ปั้นซย่าก็ไปหาเสื้อผ้าสะอาดมาให้เปลี่ยน อวี๋หวั่นอาบน้ำสระผมให้พวกเขาสามคน เด็กอ้วนถูกจับอาบน้ำแต่งตัวอย่างไร น่าตกใจที่ไม่รู้สึกตัวตื่นแม้แต่น้อย
“เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด” อวี๋หวั่นเอ่ยกับพวกจื่อซู
“เจ้าค่ะ” จื่อซูเอ่ยรับคำสั่งและออกจากเรือนนอนไปพร้อมกับฝูหลิง
ฝูหลิงแยกตัวไปพักผ่อน ทว่าจื่อซูยังคงรออยู่ในห้องอีกครู่หนึ่ง เมื่อไม่มีเสียงเรียกจากอวี๋หวั่นจึงไปอาบน้ำพักผ่อน
อวี๋หวั่นก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน ทว่าเยี่ยนจิ่วเฉายังไม่กลับมา เธอจึงอยากจะรอเขา
หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยนจิ่วเฉาก็ส่งคนมาบอกข่าวว่า เขากับบรรดาองค์ชายกำลังจะไปเยี่ยมเห้อเหลียนฉี และขอให้เธอกับเด็กๆ พักผ่อนไปก่อน
อวี๋หวั่นไม่เคยมีนิสัยรอผู้ใดมาก่อน เยี่ยนจิ่วเฉาเองก็ไม่มีนิสัยส่งข้อความมาถึงบ้าน ทั้งสองต่างเป็นคนที่ทำในแบบของตนเอง ทว่าหลังจากพวกเขาแต่งงานกัน ก็เริ่มเรียนรู้ที่จะห่วงใยคนอีกคนหนึ่ง
อวี๋หวั่นโค้งมุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้ม เธอนอนกอดเด็กอ้วนทั้งสามหลับไปอย่างสบายใจ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเห้อเหลียนฉีอาจทำให้ราชสำนักปั่นป่วนวุ่นวาย ทว่าจิตใจของอวี๋หวั่นกลับสงบนิ่งไม่ไหวหวั่น เธอรู้แล้วว่าไอ้เคราที่เกือบจะล่วงเกินไป๋ถังคือเห้อเหลียนฉี คนระยำต่ำช้านั่นต่อให้ตายก็ยังไม่สาสม ไม่ว่าจะถูกคนลงทัณฑ์หรือสวรรค์ลงโทษแล้วเกี่ยวข้องอย่างไร? ก็แค่กรรมตามสนองเท่านั้น
หลังจากการอภิเษกระหว่างทั้งสองประเทศเสร็จสิ้นลง องค์ชายรองแห่งซยงหนูก็ไม่มีภารกิจใดแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ในต้าโจวต่อไป และเขาก็เริ่มคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองแล้วเช่นกัน เขาไปกราบทูลลาฮ่องเต้แต่เช้าตรู่ ฮ่องเต้โน้มน้าวให้เขาอยู่ต่อ ทว่าเขาได้ตัดสินใจแล้ว
………………………………..
[1] สนุกจนลืมจ๊ก อุปมาว่า ลุ่มหลงและเพลิดเพลินในความสุขจนลืมบ้านและภาระหน้าที่ มาจากสามก๊ก