หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 156.1 ราชครูแห่งหนานจ้าว เด็กอ้วนกับอาเว่ย (1)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 156.1 ราชครูแห่งหนานจ้าว เด็กอ้วนกับอาเว่ย (1)
ด้านนอกโถงตำหนักรับรองอันเงียบสงบ รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนมาหยุดลง ราชครูกับหวั่นเฟิงก้าวขาเหยียบม้านั่งไม้เดินลงมา องครักษ์หนานจ้าวที่ยืนอยู่สองฝั่งทำความเคารพโดยไร้เสียง ราชครูเดินตรงไปด้วยสีหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ หวั่นเฟิงก็เดินตามหลังเขาไปอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเข้ามาในห้องโถง ราชครูก็ถอดเสื้อคลุมออก หวั่นเฟิงรีบรับมาใส่มือพลางมองเขาอย่างงวยงง “ท่านอาจารย์”
ราชครูไม่ตอบ เพียงแต่หันตัวเดินไปยังห้องของเห้อเหลียนฉี และหยิบยาฟื้นคืนชีพโคจรลมปราณป้อนให้เขากลืนลงไป ร่างกายของเห้อเหลียนฉีไม่หลงเหลือร่องรอยของการมีชีวิต มีเพียงหัวใจที่ยังคงเต้นอย่างแผ่วเบาให้หมอหลวงได้จับชีพจรอันอ่อนแรง
วิญญาณของเขากลับสู่สวรรค์ไปนานแล้ว ทว่าร่างกายกลับเหมือนหุ่นเชิดที่ถูกคนชักใย แม้ในช่วงชีวิตเขาจะทำผิดพลาด ทว่านาทีนี้หวั่นเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทนไม่ไหว
หวั่นเฟิงหันหน้าหนี ไม่มองเห้อเหลียนฉีที่ยามนี้เหมือนดั่งดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งร่วงโรยอีก
“ไปกันเถิด” ราชครูเอ่ยกับหวั่นเฟิง
เมื่อเขากลับคืนสติ หันกลับไปก็พบว่าท่านอาจารย์ได้ออกจากห้องไปเมื่อไรก็ไม่ทราบ กำลังยืนอยู่ที่ประตู มองดูเขาอย่างสงบเยือกเย็น เขาเกาหัวและเดินตามไปอย่างงวยงง
วังของราชครูมีลูกศิษย์มากมาย ทว่ามีเพียงผู้เดียวที่เป็นทูตร่วมทางกับราชครูมาต้าโจวในคราวนี้ก็คือหวั่นเฟิง หวั่นเฟิงรับหน้าที่จัดการงานทั่วไปทั้งหมดของราชครู เขาดูแลทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้าอาหารที่พักและการเดินทาง
หลังราชครูกลับมาที่ห้อง หวั่นเฟิงก็รินน้ำชาให้ราชครู จากนั้นก็ไปยังห้องครัวเล็กเพื่อทานอาหารกลางวัน เดิมทีพวกเขาจะทานอาหารร่วมกับขุนนางใหญ่สองสามท่าน ทว่าวันนี้พวกเขาออกไปข้างนอก อาจจะมาไม่ทัน จึงบอกให้เหล่าขุนนางทานกันไปก่อน และยามนี้ก็เลยเวลามื้ออาหารไปแล้วจริงๆ
ในห้องครัวเล็กทำอาหารของเมืองหลวงแท้ๆ ไว้สองสามอย่าง หวั่นเฟิงนำอาหารใส่กล่องกลับไปที่ห้องของราชครู
หวั่นเฟิงไม่ค่อยคุ้นชินกับอาหารของเมืองหลวงสักเท่าไร โชคดีที่เขาเอาน้ำเครื่องปรุงรสเผ็ดของหนานจ้าวติดตัวมาด้วย เขาหยิบโถมาแล้วตักใส่อาหารสองช้อน ช้อนหนึ่งสำหรับเขา และอีกช้อนหนึ่งสำหรับท่านอาจารย์
“กินกันเถิด” ราชครูหยิบตะเกียบขึ้นมา
หวั่นเฟิงวางโถและนั่งลง
ราชครูไม่ค่อยพูด หวั่นเฟิงก็ไม่กล้าพูดกับราชครูมากนัก บนโต๊ะจึงมีเพียงเสียงบดเคี้ยวอาหารของคนทั้งสอง หวั่นเฟิงคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องปกติ ทว่าวันนี้รู้สึกคล้ายกับขาดบางสิ่งบางอย่างไป ขณะที่หวั่นเฟิงกำลังลังเลว่าควรหาหัวข้อมาสนทนากับท่านอาจารย์หรือไม่ คนสนิทท่านหนึ่งของราชครูก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
“ท่านราชครู” คนสนิทคารวะ
ราชครูพยักหน้าเบาๆ “ตรวจพบแล้วหรือ?”
“พบแล้ว” คนสนิทยื่นจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนถึงราชครู จากนั้นก็ถอยออกไป
ราชครูเปิดจดหมายอ่าน หลังจากอ่านจบก็พับและวางไว้บนโต๊ะ
จากมุมของหวั่นเฟิงทำให้มองเห็นเพียงสามคำ ‘จวนคุณชาย’ ทันใดนั้นตาโตก็กลอกไปมา พลันเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านอาจารย์ ในจดหมายเขียนว่าอย่างไรหรือขอรับ?”
“ดูเองเถิด” ราชครูกล่าว
หวั่นเฟิงเปิดจดหมายออก ก็พบว่ามันคือข้อมูลที่เกี่ยวกับอวี๋หวั่นทั้งหมด วันเกิด บ้านเกิด ญาติสนิทของบิดามารดา…ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“ท่านอาจารย์กำลังสืบเรื่องของนางอยู่?” ข้อมูลมากมายเช่นนี้คงไม่อาจสืบได้ภายในหนึ่งหรือสองวัน ท่านอาจารย์คงสืบหาข้อมูลบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของนางตั้งแต่พบกับเยี่ยนซื่อจื่อครั้งแรกแล้ว? มิใช่ว่าแค่ต้องการสืบทราบว่าของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวนางหรือไม่เท่านั้นหรือ? รู้เรื่องราวมากมายเช่นนี้ไปเพื่อเหตุใด?
“เหตุใดท่านถึงต้องตรวจสอบนางหรือขอรับ?” หวั่นเฟิงถามด้วยความงงงวย
ราชครูไม่ตอบ
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะตอบ หวั่นเฟิงจึงหุบปากลงอย่างรู้ความ ทว่าด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับอวี๋หวั่น จึงเปลี่ยนเรื่องถาม “ท่านอาจารย์ ผมเพียงหนึ่งเส้นจะทำให้รู้ว่าของของศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ใดได้หรือขอรับ?”
“แน่นอน” ราชครูเอ่ยเยี่ยงคนเก่งที่ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
หวั่นเฟิงตักข้าวใส่ปากหนึ่งคำ จากนั้นคีบหน่อไม้แห้งรมควันชิ้นหนึ่งจิ้มกับน้ำเครื่องปรุงรสเผ็ด เมื่อกินเสร็จก็เหลือบมองท่านอาจารย์อย่างระมัดระวัง “หากพบว่าของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของพระชายาเยี่ยนซื่อจื่อจะทำอย่างไรต่อหรือขอรับ?”
“นำกลับมา” ราชครูตอบ
หวั่นเฟิงตักข้าวใส่ปากอีกคำ และคิดว่าจะหุบปากไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ทว่าก็อดไม่ได้ “แอบนำกลับมาหรือ?”
หลังจากถามจบ ก็รู้สึกว่าตนเองถามคำถามที่โง่เขลายิ่งนัก ของมีค่าเช่นนั้น หากไม่แอบไปเอาจะให้แย่งมาอย่างโจ่งแจ้งหรือ?
เฮ้ ของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าวของเราอยู่ในมือเจ้า รีบนำของศักดิ์สิทธิ์มาคืนเราเดี๋ยวนี้!
เอ่อ…คงมีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะยอมมอบให้กระมัง?
หากไม่เกิดเรื่องกับแม่ทัพเห้อเหลียนก็อาจจะมีความหวังริบหรี่ที่จะเจรจา การแลกเปลี่ยนชุดเกราะกับของศักดิ์สิทธิ์ฟังดูเป็นข้อตกลงที่ยอดเยี่ยม ทว่าแม่ทัพเห้อเหลียนกลับทำให้ทุกอย่างเละเทะยุ่งเหยิงไปหมด ยามนี้หวั่นเฟิงรู้สึกว่าเขาสมควรได้รับความทรมานยิ่งนัก
ราชครูยังไม่ทันเอ่ย หวั่นเฟิงก็กล่าวว่า “หากต้องแอบเอามา ท่านอาจารย์มีแผนอย่างไรหรือขอรับ?”
ราชครูเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง “วันนี้เจ้าดูพูดมากขึ้น”
หวั่นเฟิงเอ่ยอย่างขวยเขิน “เพราะนางรักษาข้า นางช่วยชีวิตข้าไว้”
“ก็แค่คำพูดตามมารยาทเท่านั้น” ราชครูเอ่ยอย่างไม่แยแส “นางเป็นหมอ เป็นหน้าที่ของนางที่ต้องช่วยชีวิต รักษาผู้บาดเจ็บ อย่าได้สับสนกับพระคุณที่ช่วยชีวิต”
“อ้อ” หวั่นเฟิงรู้ว่ายามนี้เขาควรหุบปากได้แล้ว เขากินกับข้าวไปพลาง จ้องมองราชครูไปพลาง
ราชครูวางตะเกียบลง “หากยังมีสิ่งใดก็เอ่ยมา”
“เช่นนั้น…ต้องฆ่านางหรือไม่?” หวั่นเฟิงกะพริบตาถาม
รูปลักษณ์ของเขาไม่นับว่าน่าทึ่ง ทว่าดวงตาคู่นี้กลับดูเหมือนพูดได้อยู่จริงๆ
ราชครูไม่ได้มองเขา เพียงแค่หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบใบผักลวกๆ พลางเอ่ยว่า “อยู่ที่ว่านางรู้มากเพียงใด”
หวั่นเฟิงจ้องอาจารย์อย่างเลื่อนลอย “เพราะนี่คือเรื่องใหญ่ ไม่อาจให้ผู้ใดรับรู้ว่าของศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไปแล้ว และยิ่งอาจไม่ให้ผู้ใดพบว่าตี้จีองค์เล็กไม่ได้ถูกรับเลือกจากของศักดิ์สิทธิ์แล้ว เช่นนั้น หากนางรู้ว่ามันคือของศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่อาจละเว้นชีวิตนางได้เช่นนั้นหรือขอรับ?”
ราชครูส่งเสียงอืมอย่างเฉยเมย ซึ่งถือว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย
หวั่นเฟิงก็ไม่ได้พูดสิ่งใดมากมายอีกหลังจากนั้น นั่งทานอาหารในชามจนเสร็จเงียบๆ
หลังจากทั้งสองคนทานอาหารเรียบร้อย หวั่นเฟิงก็เรียกคนรับใช้มาเก็บจานชามตะเกียบบนโต๊ะไป จากนั้นราชครูก็พาหวั่นเฟิงเข้าไปในห้องด้านหลัง ยามนี้ยังไม่ใช่กลางคืน ท้องฟ้ายังสว่าง ราชครูจึงบอกให้หวั่นเฟิงไปปิดประตูหน้าต่าง ภายในห้องก็พลันมืดลง
ราชครูหยิบกล่องเล็กๆ ออกมา
หวั่นเฟิงเคยเห็นกล่องใบนี้ มันเป็นหนึ่งในของไม่กี่อย่างในกระเป๋าเดินทางของท่านอาจารย์ที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง เขายืนอยู่ด้านข้างอย่างรู้ความ โดยไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง เขาเห็นอาจารย์สวมถุงมือสีเงินและหยิบขวดหยกสีมรกตขนาดเล็กที่อยู่ด้านในออกมา
เมื่อเห็นเขาสวมถุงมือหวั่นเฟิงก็พอเดาได้เล็กน้อย
หนอนพิษกู่หรือ? เขาคิดในใจ
ราชครูดึงฝาจุกออก “ถ้วย”
หวั่นเฟิงหยิบถ้วยเครื่องเคลือบสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วยื่นให้
ราชครูทำท่าทางบอกให้เขาวางมันลงบนโต๊ะ หวั่นเฟิงก็ทำตาม
ราชครูเทสิ่งที่อยู่ในจุกไม้ก๊อกลงในถ้วย
หวั่นเฟิงเดาไม่ผิด มันคือหนอนพิษกู่จริงๆ ทว่าหาใช่หนอนพิษกู่ใดที่เขาเคยเห็นมาก่อน สัญชาตญาณบอกเขาว่าหนอนพิษกู่ตัวนี้มีพลังที่ร้ายกาจรุนแรง
“มันคือราชันสัตว์พิษหรือขอรับ? ท่านอาจารย์” หวั่นเฟิงถาม
ราชครูพยักหน้า “ราชันสัตว์พิษสามารถทำให้ลูกปัดกู่ส่องแสงได้ ทว่าเมื่อส่องแสงแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่ามันคือราชันสัตว์พิษตัวที่เรากำลังตามหา ราชันสัตว์พิษหนึ่งเดียวในใต้หล้าที่ทำให้กลัวได้มีเพียงของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าวเท่านั้น”
ถึงตอนนี้ ในที่สุดหวั่นเฟิงก็เข้าใจว่าเหตุใดท่านอาจารย์จึงนำเส้นผมของพระชายาเยี่ยนซื่อจื่อกลับมา เขาเฝ้าดูการกระทำของอาจารย์ด้วยความตื่นเต้น
ราชครูหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ คลี่เปิดออกและใส่เส้นผมลงในถ้วย ทว่าราชันสัตว์พิษยังคงนิ่งและไม่มีผลกระทบใดๆ
ราชครูมุ่นขมวดคิ้ว “หรือข้าคิดผิดไป นางเป็นเพียงราชันสัตว์พิษธรรมดาๆ หรือ?”
หวั่นเฟิงแอบรู้สึกโล่งใจ
ราชครูรู้สึกผิดหวัง เขานำราชันสัตว์พิษเก็บลงในกล่อง กำลังจะจัดการกับผ้าเช็ดหน้าและถ้วยที่ใช้แล้ว จู่ๆ หวั่นเฟิงก็เอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์ให้ข้าจัดการเถิด!”
ราชครูพยักหน้า พร้อมกับเก็บกล่องกลับเข้าที่และเดินไปยังห้องตำรา
หวั่นเฟิงเริ่มลงมือเก็บกวาดสิ่งของบนโต๊ะ สายตาของเขาพลันจับจ้องเส้นผมที่อยู่ในถ้วย ไม่รู้สิ่งใดดลจิตดลใจให้เขาหยิบมันขึ้นมาและสูดดมที่ปลายจมูก ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
นี่ นี่ไม่ใช่เส้นผมของนาง!
ตอนที่นำของขวัญขอบคุณไปที่จวนคุณชาย เขายืนอยู่ใกล้กับนาง เส้นผมของนางต้องลมที่พัดมา หวั่นเฟิงจึงได้กลิ่นโดยบังเอิญ
เส้นผมของนางมีกลิ่นหอมของดอกระฆังแก้วจางๆ กับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่เขาไม่อาจบอกได้ แน่นอนเขาไม่รู้ว่านั่นคือผมของเยี่ยนจิ่วเฉาหรือไม่ ทว่าสิ่งที่รู้แน่ชัดก็คือ มันไม่ใช่ผมของนางเป็นแน่!
ท่านอาจารย์ของเขาทำพลาด หรือเพราะ…นางจงใจทำให้มันผิดพลาดกันแน่?
หากเป็นอย่างหลังก็หมายความว่า นางเฝ้าระวังท่านอาจารย์อยู่ตั้งแต่แรกแล้วเช่นกัน?
เหตุใดนางต้องเฝ้าระวังท่านอาจารย์? หรือว่าของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของนางจริงๆ?
และนางรู้ว่ามันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าว และยังรู้ด้วยว่าทูตแห่งหนานจ้าวมาที่นี่เพื่อของศักดิ์สิทธิ์ เป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก! เขากับอาจารย์ถูกนางหลอกให้งมโข่งเข้าอย่างจัง!
“หวั่นเฟิง”
ราชครูเปิดประตูเดินเข้ามา
หวั่นเฟิงรีบเปลี่ยนสีหน้า และเก็บเส้นผมไว้ในมือ
“เกิดอันใดขึ้น?” ราชครูสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของเขา
แววตาของหวั่นเฟิงเป็นประกาย เขาหยิบถ้วยบนโต๊ะขึ้นมาและเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ “ท่าน ท่านอาจารย์ ราชันสัตว์พิษตัวนี้มีพลังมาก ถ้วยที่สัมผัสกับมันจะมีพิษหรือไม่? ข้าคงจะไม่ถูกพิษของมันกระมัง?”
ราชครูถอนหายใจ “เจ้ากลัวเรื่องนี้เองหรอกรึ?”
หวั่นเฟิงขยับลำคอ “ใช่ ใช่แล้วขอรับ”
“ไม่ถูกหรอก” ราชครูเอ่ยอย่างหมดหนทาง
“เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่าข้าจะตายเสียแล้ว” หวั่นเฟิงแสร้งทำท่าทางโล่งใจ
ราชครูกล่าวอย่างเฉยเมย “วันพรุ่งนี้ข้าจะออกไปข้างนอก อย่าลืมเตรียมรถม้าให้ข้าละ”
หวั่นเฟิงรีบตอบกลับไป “ขอรับ ต้องการให้ข้าไปกับท่านอาจารย์ด้วยหรือไม่?”
ราชครูกล่าว “ไม่ต้อง ข้าจะไปคนเดียว”
“โอ้” หวั่นเฟิงยังรู้สึกผิดเรื่องที่ตนเองโกหก จึงไม่ถือสาที่ท่านอาจารย์ทอดทิ้งตน
…
ว่ากันว่าหลังจากเยี่ยนจิ่วเฉาปฏิบัติหน้าที่ทางการที่เน่ย์เก๋อเสร็จแล้ว เขาก็ไม่ได้ไปร่วมการประชุมตามปกติ แต่สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปขึ้นรถม้าของตนเองด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
เมื่อเข้าเดือนหก เวลากลางวันก็ยิ่งยาวนานขึ้น ตอนที่เยี่ยนจิ่วเฉาและอิ่งสือซันมาถึงหมู่บ้านเหลียนฮวา ท้องฟ้ายังคงสว่างอยู่ ชาวบ้านที่มาหางานทยอยเดินทางกลับไป หมู่บ้านก็กลับสู่ความเงียบสงบตามเดิม ควันฟุ้งลอยออกจากปล่องเตาเผา กลิ่นหอมของข้าวอบอวล ผู้ใหญ่ร้องเรียกบุตรหลานให้กลับบ้าน เริ่มต้นเพลิดเพลินกับอาหารมื้อเย็นในวันนั้น
ตั้งแต่สกุลอวี๋เปิดโรงฝึกงาน ชีวิตของผู้คนก็เริ่มดีขึ้น ไม่ต้องทนหิวอีกต่อไป มีเนื้อสัตว์ให้กินจนอิ่มหนำ เยี่ยนจิ่วเฉากับอิ่งสือซันที่ต้องผ่านเส้นทางสายนี้ ถูกกลิ่นหอมของเนื้อจากเรือนแต่ละหลังสั่งให้ความตะกละในท้องของพวกเขาตื่นขึ้นมา
………………………………..