หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 157.1 ราชครูผู้โชคร้าย (1)
เด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นางก็คือเฉินเอ้อร์ยาบุตรสาวของนางหลิวกับอดีตสามี หลังจากอดีตสามีของนางหลิวตายไป บ้านก็เหลือเพียงเฉินเอ้อร์ยากับมารดาอดีตสามีที่นอนติดเตียงเท่านั้น หวังหมาจื่อจิตใจกว้างขวางและกตัญญูรู้คุณ รับเฉินเอ้อร์ยากับมารดาอดีตสามีของนางหลิวมาอยู่ด้วย เขาดูแลราวกับเป็นบุตรสาวและมารดาแท้ๆ ของตนเองเอง ทุกวันในบ้านจะมีต้มจืดไข่หวานสามฟอง เขาไม่กินเองกลับยกให้ครอบครัวทั้งหมด อีกทั้งยังเข้าไปซื้อหมูสามชั้นที่ตำบลมาทำอาหารเสริมร่างกายให้กับพวกนางอยู่บ่อยครั้ง เอ้อร์ยาโตขึ้นกว่าปีก่อนๆ มาก ยายเฉินก็สามารถลุกจากเตียงมาเดินไปเดินมาได้แล้ว
วันนี้หวังหมาจื่อและนางหลิวไปทำงานที่โรงฝึกงานของสกุลอวี๋แต่เช้าตรู่ ส่วนยายเฉินทุบกระเทียมอยู่ที่ลานด้านหลัง นางแก่ชราแล้ว หูก็ไม่ดี จึงไม่ได้ยินเสียงที่หน้าประตู
เอ้อร์ยามองคนผู้นั้นด้วยสีหน้าราบเรียบ และก้มกลับลงไปเล่นโคลนบนพื้นต่อ
ราชครูคิดว่านางคงไม่รู้ว่าสิ่งของในมือของเขาคืออะไร แต่ก็ไม่แปลกใจ เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในชนบทที่ห่างไกล โตมาถึงเพียงนี้เกรงว่ากระทั่งขนมโซวทึ้งเป็นอย่างไรก็คงไม่เคยเห็น ราชครูอดทนแกะกระดาษน้ำมันที่ห่อขนมโซวทึ้ง เผยให้เห็นชิ้นถั่วเหลืองกรอบสีทองส่งกลิ่นหอมหวาน
“ขนมชิ้นนี้ข้าให้เจ้า เจ้าช่วยนำทางข้าที” ราชครูกล่าวอย่างนุ่มนวล
เอ้อร์ยาเหลือบมองขนมในมือเขาและหันไปเล่นโคลนต่อไปอย่างไม่สนใจสิ่งใด
ราชครูคิดว่าตนเองตาฝาด ไม่เช่นนั้นในดวงตาของเด็กหญิงบ้านนอกจะมีแววแห่งความรังเกียจอยู่ได้อย่างไร? นี่เป็นของที่ซื้อมาจากเมืองหลวง ต้องเป็นเพราะยังไม่รู้จักสิ่งนี้เป็นแน่
“ข้าให้เจ้ากิน” ราชครูยังคงเพียรพยายาม
เอ้อร์ยาทิ้งโคลนแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน หลังจากนั้นไม่นานนางก็หยิบขนมถั่วเหลืองออกมายืนพิงกรอบประตูแล้วค่อยๆ กัดกิน มันคือขนมถั่วเหลืองชิ้นใหญ่ที่มีสีทองอร่ามงดงามกว่า ทั้งยังมีลูกเกดแห้งและถั่วผสมอยู่ แค่มองดูก็ทราบได้ว่าขนมของนางมีระดับสูงกว่าขนมถั่วเหลืองของราชครูยิ่งนัก
ราชครูตกตะลึงในทันที
เอ่อ…
นี่เขามาผิดที่หรือ? เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จากหมู่บ้านยากจนจะกินของดีเช่นนี้ได้อย่างไร?
ราชครูยังอยากถามอีกอย่าง ทว่านางก็กลอกตาแล้วเดินจากไป!
สุภาพบุรุษชราบอกว่า คนที่ใช้ขนมมาหลอกล่อเด็กล้วนเป็นคนเลว! และนางก็ไม่ต้องการเสวนากับคนเลว!
ราชครูที่เพียงต้องการถามทางเท่านั้น “…”
สุภาพบุรุษชราก็คือผู้อาวุโสของครอบครัวอาเว่ย หลังจากผู้อาวุโสเปิดโรงเรียนในหมู่บ้าน เอ้อร์ยาก็กลายเป็นหนึ่งในนักเรียนของเขา ทว่าวันนี้โรงเรียนในหมู่บ้านปิด เอ้อร์ยาจึงอยู่เล่นที่บ้าน
“อาม่า!”
บ้านสกุลจ้าว ชิงเหยียนเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ เขาเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นราชครู เขากำลังจะไปโรงฝึก แต่เมื่อเดินไปถึงประตูก็เห็นรถม้าที่ดูไม่คุ้นตาคันหนึ่ง ธุรกิจสกุลอวี๋ใหญ่โต มักมีพ่อค้ามาเจรจาการค้าอยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีรถม้าที่ไม่คุ้นตา ทว่าสิ่งที่แปลกคือบุรุษผู้มีลักษณะคล้ายกับเทพเซียนที่เดินลงมา แน่นอนว่านั่นคือลักษณะคล้ายเทพเซียนในสายตาของคนนอก ทว่าในสายตาของชิงเหยียนก็แค่แกล้งทำตัวให้เหมือนเท่านั้น
ความรู้สึกแรกของชิงเหยียนคือปรมาจารย์พิษ ความรู้สึกที่สองคือพ่อมดและความรู้สึกที่สามคือต้องรายงานเรื่องนี้กับอาม่า
ชายชรากำลังตระเตรียมบทเรียน หลังจากฟังจากปากชิงเหยียน เขาก็เปิดหน้าต่างและมองไปทางบ้านของหวังหมาจื่อ ข้อดีของบ้านสกุลจ้าวคือสามารถมองเห็นทุกครัวเรือนในหมู่บ้าน อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะแก่การสังเกตการณ์อย่างดีเยี่ยม
หลังจากเห็นลักษณะของราชครู ชายชราก็ฮึดฮัดเสียงเย็นชา “บุรุษผู้นี้น่ะเรอะ”
“อาม่ารู้จักเขา?” ชิงเหยียนถามด้วยความงงงวย
เยว่โกวเดินเข้ามาในห้อง อาเว่ยกำลังหัวหมุนกับเด็กอ้วนทั้งสามคนจึงไม่มีเวลาสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านยามนี้
ชายชรากล่าวน้ำเสียงเหยียดหยาม “ร่างทรงจอมปลอมแห่งราชวงศ์หนานจ้าวคนหนึ่ง”
ราชครูแห่งหนานจ้าว
ราชครูแห่งหนานจ้าวกับนักบวชเผ่าปีศาจ ในความรู้สึก็คืออาชีพประเภทหนึ่ง พวกเขาทำนายสิ่งที่ดีและไม่ดีให้เจ้านายและขณะเดียวกันก็ฝึกเวทมนตร์ด้วย ทว่าหากเทียบกับปรมาจารย์พิษ พวกเขาใกล้เคียงกับพ่อมดมากกว่า ที่แตกต่างกันก็คือราชครูแห่งรัฐหนานจ้าวรับใช้ประมุขของประเทศ ในขณะที่ชายชรารับใช้หัวหน้าเผ่า หากว่ากันตามสถานะราชครูอยู่สูงกว่านักบวชมากนัก
แต่หากเทียบในด้านความเก่งกาจ วิชาการร่ายมนตร์มีต้นกำเนิดมาจากเผ่าปีศาจ พวกเขาฝึกฝนการร่ายมนตร์จากถิ่นบรรพบุรุษ ส่วนราชครูหมูหมากาไก่นั่นร่ำเรียนผิวเผินดั่งเส้นขนก็วางท่าแสร้งทำเป็นเทพเซียน ชายชรายังไม่คิดจะเอาราชครูมาอยู่ในสายตา
“แต่ข้าได้ยินว่าตอนจัดการแข่งขันเวทมนตร์ ท่านแพ้ราชครูแห่งหนานจ้าวนี่นา” เยว่โกวเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ชายชรากวาดสายตาที่คมดั่งมีด “เจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าเจ้าเป็นใบ้!”
เมื่อสามสิบปีก่อน เผ่าปีศาจและหนานจ้าวได้มีโอกาสประลองเวทมนตร์กัน ชายชราในวัยกลางคนเป็นตัวแทนของเผ่าปีศาจตอบรับคำท้าจากหนานจ้าว ในขณะนั้นราชครูไม่ใช่ร่างทรงจอมปลอม หากแต่เป็นอาจารย์ของเขา
ราชครูและนักบวชแข่งขันกันเป็นเวลาสามวันสามคืน ในที่สุดก็ได้ผู้ชนะ
แน่นอนว่านี่คือผลการแข่งขันที่ประกาศสู่ภายนอก ทว่าความจริงแล้วชายชราคือผู้ที่ได้รับชัยชนะที่แท้จริง ทว่าเนื่องจากอาจารย์ของราชครูค้นพบความลับของชายชรา ชายชราจึงยอมแพ้เพื่อรักษาความลับไว้เท่านั้น
“อาม่า ท่านมีความลับอันใดรึ?” เยว่โกวถามด้วยความสงสัย
ความลับนี้ถูกเก็บงำอยู่ในใจของชายชรามานานหลายปี แม้แต่ราชาแห่งชนเผ่าก็ยังไม่รู้
ตี้จีองค์โตที่จากหนานจ้าวไปตั้งแต่เล็ก เติบโตมาในเผ่าปีศาจ เด็กหญิงอายุเพียงสามสี่ขวบที่ไม่รู้ว่าได้ยินเรื่องของบิดามารดามาจากที่ใด นางรู้ว่านักบวชกำลังจะไปหาที่ที่มีบิดามารดาของนางอยู่ นางจึงแอบซ่อนตัวอยู่ในกล่องของนักบวช นางซ่อนมาตลอดทางโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เมื่อชายชราพลิกกล่องเปิดหาของบางสิ่ง ก็เห็นเด็กหญิงขดตัวนอนหลับอยู่ในกองขวดโถ
หน้าผากของนางบวมไปหมด หัวเข่าก็บวมเช่นกัน คงเป็นเพราะรถม้าเคลื่อนผ่านเส้นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ แต่เพื่อมาพบบิดามารดา นางไม่ปริปากร้องสักคำ
นักบวชอุ้มเด็กหญิงออกมา
เด็กหญิงก็ตื่นขึ้นมาและเบิกตากว้างมองเขาด้วยแววตาไร้เดียงสา สายเกินไปที่จะส่งนางกลับไปที่ชนเผ่า เขาทำได้เพียงแค่ซ่อนนางไว้ เขารู้ว่านางอยากพบบิดามารดาของนาง ทว่าเขาทำเช่นนั้นไม่ได้ หนานจ้าวมีพันธะสัญญากับเผ่าปีศาจมาเนิ่นนาน ภัยพิบัติตัวน้อยของหนานจ้าวผู้นี้ไม่อาจกลับไปบ้านของนางได้อีกตลอดชีวิต
“อาม่า นั่นคือท่านพ่อท่านแม่ของข้าใช่หรือไม่?” เด็กหญิงตัวน้อยนอนซบบนไหล่ของเขา เฝ้ามองบิดามารดาที่กำลังอุ้มสตรีที่ตัวพอๆ กับนางจากที่ไกลๆ สตรีตัวเล็กผู้นั้นสวมเสื้อผ้าที่งดงามที่สุด มีคนรับใช้ที่ดูมีสง่าราศีเดินตาม ผู้คนต่างชื่นชอบนาง เด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกอิจฉายิ่งนัก
นักบวชสวมหน้ากากผีให้เด็กหญิงตัวน้อย และพานางไปอยู่ต่อหน้าองค์ประมุข “นี่คือบุตรสาวตัวน้อยที่เติบโตในเผ่าของเรา เมื่อครู่นางเห็นท่านและบอกว่าท่านเป็นบุรุษที่ทรงอำนาจและดูดีที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา”
องค์ประมุขหัวเราะฮ่าๆ
เด็กหญิงสวมหน้ากากน่าเกลียดอัปลักษณ์ ทว่าตัวเล็กของนางช่างน่ารัก องค์ประมุขกำลังจะย่อกายลงกอดนาง ขณะนั้นตี้จีองค์เล็กก็เดินข้ามาและผลักนางลงกับพื้น “อย่าแตะต้องบิดาของข้า!”
“อย่าเสียมารยาท” องค์ประมุขดุบุตรสาว
ตี้จีองค์เล็กเริ่มร้องไห้
องค์ประมุขหัวใจคล้ายจะแตกสลาย รีบอุ้มบุตรสาวที่งดงามหยาดเยิ้มขึ้นมาปลอบเบาๆ เขาลืมเด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกนางผลักลงกับพื้นอย่างเสียมารยาทไปแล้ว
“อาม่า เหตุใดท่านพ่อท่านแม่ถึงไม่ต้องการข้า?”
“เพราะข้าไม่เชื่อฟังใช่หรือไม่?”
ในปีแรกๆ ยังคงได้ยินคำพูดเช่นนี้ แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ไม่เคยได้ยินนางเอ่ยอีกเลย
ในคืนนั้น หน้ากากของนางหลุด อาจารย์ของราชครูก็เห็นเข้าโดยบังเอิญ ในตอนแรกบุรุษผู้นั้นไม่ได้ปริปากเอ่ย กระทั่งช่วงสุดท้ายของการแข่งขันถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาต่อรองกับนักบวช หากเขาไม่ยอมแพ้ ตี้จีองค์โตก็จะถูกองค์ประมุขกับราชินีจัดการ
นักบวชจึงยอมแพ้ในที่สุด
ตี้จีองค์โตเติบโตขึ้นจนเป็นผู้ใหญ่ จำเรื่องราวเมื่อครั้นยังเป็นเด็กไม่ได้อีกแล้ว กลับจากกลับไปที่เผ่าในครั้งนั้น นักบวชก็ย้ายเข้าไปที่ห้องผู้อาวุโส ตี้จีองค์โตก็ได้รับการเลี้ยงดูจากสาวใช้ที่เข้มงวด เขาเห็นตี้จีองค์โตหลายครั้งจากที่ไกลๆ ทว่าตี้จีองค์โตกลับไม่เคยได้เห็นเขาอีกเลย ยามนี้นางจึงไม่รู้จักเขาแล้ว
พวกอาเว่ยสามคนนี้ ตี้จีองค์โตยิ่งไม่รู้จัก
เดิมทีภารกิจจับตี้จีองค์โตกลับไปยังเผ่ามีโอกาสสำเร็จสูงยิ่งนัก…หากไม่ได้ใช้ค่าเดินทางจนหมดเสียก่อน
ชายชราฉุดความคิดที่ล่องลอยไปไกลกลับมา เขาเหลือบมองราชครูที่อยู่ข้างนอกอย่างเฉยเมย อาจารย์ยังถ่อยเพียงนั้น จะสอนศิษย์ให้เป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร?
“อย่าให้เขาพบตี้จีองค์โต” ชายชรากล่าว
หากพบเข้า พวกเขาคงจับนางไปและไม่ปล่อยให้กลับมาอีกเป็นแน่
ชิงเหยียนกันเยว่โกวก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ตี้จีองค์โตซึ่งควรจะถูกคุมขังอยู่ในเผ่าปีศาจกลับมาปรากฏตัวที่หมู่บ้านเล็กๆ ในต้าโจว ทั้งยังมีบุตรกับคนของต้าโจว หากข่าวแพร่ออกไปราชวงศ์หนานจ้าวคงได้ร้อนรนกระวนกระวายอีกครั้งเป็นแน่
ตี้จีองค์โตต้องถูกพวกเขาพาไปเท่านั้น คนอื่นอย่างได้หวัง!
เยว่โกวถาม “อาม่า ทำอย่างไรดี? อีกไม่นานเขาก็จะเจอบ้านของสกุลอวี๋แล้ว”
หมู่บ้านใหญ่ถึงเพียงนี้ แค่มองปราดเดียวก็เห็นสตรีผู้นั้น
ชายชราเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “ฝันไปเถิด!”
ชายชราบอกแผนการของเขากับทั้งสองคน และทั้งสามตัดสินใจเป็นเอกฉันท์ที่จะไม่บอกอาเว่ย เด็กคนนั้นล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ หากให้เขามาร่วมด้วยก็อาจพาให้แผนการล่มไม่เป็นท่า
แผนของทั้งสามง่ายดายยิ่งนัก ราชครูมาหาฮูหยินอวี๋มิใช่หรือ? เช่นนั้นก็หาฮูหยินอวี๋ให้เขาสักคนก็สิ้นเรื่อง!
…………………………………………