หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 159.1 ท่านพ่อ ใช่ท่านหรือไม่ (1)
วันนี้เป็นวันที่เก้า อวี๋หวั่นได้รับจดหมายเชิญจากจวนสกุลเซียว เซียวจื่อเยว่จะจัดงานเลี้ยงน้ำชาภายในบ้าน และได้เชิญเธอไปเล่นกันที่นั่น นี่คงมีเพียงเด็กไร้เดียงสาที่ใช้คำว่าเล่นกันในจดหมายเชิญ นอกจากนี้ในจดหมายเชิญยังกล่าวถึงพี่น้องสตรีคนอื่นด้วยเช่นกัน ทั้งหมดอวี๋หวั่นล้วนเคยพบที่จวนสกุลเซียวมาก่อน นี่เป็นเพราะนางกลัวว่าอวี๋หวั่นจะไม่ชอบและปฏิเสธ
งานเลี้ยงน้ำชาจัดขึ้นในวันพรุ่ง อวี๋หวั่นเห็นว่าพรุ่งนี้ไม่มีเรื่องใดต้องทำพอดี จึงบอกเรื่องนี้กับเยี่ยนจิ่วเฉาระหว่างทานมื้อเย็น
ในจวนไม่มีผู้อาวุโส เยี่ยนจิ่วเฉาบอกอย่างชัดเจนแล้วว่าเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้เธอสามารถตัดสินใจเองได้ แต่เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจวนสกุลเซียว อวี๋หวั่นจึงยังต้องการฟังความคิดเห็นของเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาพยักหน้า “ลุงวั่นไม่อยู่ ของขวัญขอบคุณเจ้ารับเอง”
นี่เป็นการตกลงให้เธอไป อวี๋หวั่นแน่ใจว่าไม่มีร่องรอยความกดดันใดๆ บนในหน้าของเธอ เมื่อเป็นเช่นนี้เธอจึงให้เจียงไห่ไปที่จวนสกุลเซียวเพื่อบอกเซียวจื่อเยว่ว่าวันพรุ่งนี้เธอจะไปตามเวลาที่นัดหมาย
หลังจากมื้อเย็น ทั้งสองก็ไปเดินเล่นในสวนตามปกติ หลังจากอากาศเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ อวี๋หวั่นก็ชอบที่จะเดินอยู่ริมสระน้ำ สายลมบนผิวน้ำพัดมาเอื่อยๆ ช่างไม่สบายใจยิ่งนัก
“เยี่ยนจิ่วเฉา ท่านมีเรื่องในใจหรือ?” อวี๋หวั่นหันไปมองสามีที่ไม่พูดไม่จาใดๆ ที่ผ่านมาเขาพูดน้อย ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทว่าตั้งแต่ทูตแห่งหนานจ้าวจากไป เขาก็จิตใจล่องลอยเป็นครั้งคราว แต่อย่างไรก็เป็นสามีภรรยา ย่อมมีความรู้สึกที่รับรู้ได้ “ท่านกังวลเรื่องการตายของเห้อเหลียนฉีหรือ?”
เห้อเหลียนฉีตายในต้าโจว แม้จะเป็นการตายโดย ‘อุบัติเหตุ’ ทว่าก็ยังเป็นข้ออ้างที่ดีที่หนานจ้าวจะใช้ในการส่งทหารมา
“มิใช่” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวว่า การตายของเห้อเหลียนฉีเป็นการหาเรื่องใส่ตัว หากหนานจ้าวยังต้องการรักษาหน้าไว้ ย่อมไม่มีทางส่งกองกำลังมาที่ต้าโจว
“แต่ข้ารู้สึกว่าท่านมีบางอย่างในใจ” อวี๋หวั่นครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ในช่วงสองสามวันมานี้ดูเหมือนไม่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญใดๆ หลังจากทูตสองประเทศจากไปเขาก็ถูกแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อ และไปทำงานที่เน่ย์เก๋อ เรื่องของราชสำนักไม่น่าทำให้เขารำคาญได้ หากเขาชอบเขาก็ทำ หากไม่ชอบก็เดินออกไป ฮ่องเต้ก็หมดหนทางจัดการกับเขา เช่นนั้น ยังมีสิ่งใดอีก?
“คิดถึงท่านพ่อหรือ?” อวี๋หวั่นถามอย่างแผ่วเบา “ข้าได้ยินอิ่งสือซันเอ่ยว่า ท่านส่งชุดเกราะไปให้แม่ทัพใหญ่เซียวแล้ว”
เพราะเริ่มยอมรับพ่อเลี้ยงจึงรู้สึกละอายต่อท่านพ่อผู้ให้กำเนิด?
เกี่ยวข้องกับเยี่ยนอ๋องจริง ทว่าไม่ใช่ความรู้สึกผิดที่อวี๋หวั่นคาดเดา
ไป๋เสี่ยวเซิงกล่าวไม่ผิด ศพของบิดาดูผิดแผก ในปีนั้นไม่เพียงแต่คนรับใช้ที่มาพบเห็น เขาเองไม่อยากแยกจากท่านพ่อจึงปีนขึ้นไปที่โลงศพและได้พบร่องรอยของตะกอนดินทรายเช่นกัน
ตอนนั้นเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ แต่เมื่อเติบโตขึ้นถึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
สาเหตุการตายของบิดาเป็นเรื่องเข้าใจผิด หรือศพนั้นไม่ใช่บิดาของเขากันแน่
เขาไม่รู้ว่าแบบไหนคือความจริง เขาเอาแต่ฝันถึงบิดาที่ยืนอยู่ด้านล่างของบ่อน้ำและเรียกให้เขากระโดดลงไป
หลายปีมานี้เขาปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งเยี่ยนอ๋องมาตลอด เพราะยังมีความหวังว่าท่านพ่ออาจจะยังมีชีวิตอยู่ และสักวันหนึ่งเขาก็อาจจะกลับมา
‘คุณชาย ท่านอ๋องอาจเคยไปที่หนานจ้าว’
‘ในปีที่เยี่ยนอ๋องตาย ตี้จีองค์เล็กก็ได้จัดงานแต่งงานกับราชบุตรเขย’
‘ฮองเฮาตรัสว่า มีใครบางคนในราชวงศ์หนานจ้าวต้องการชีวิตของท่าน’
มือของเยี่ยนจิ่วเฉาค่อยๆ กำแน่นขึ้นทีละน้อย
ท่านพ่อ ราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าว ใช่ท่านหรือไม่?
…
งานเลี้ยงชุมนุมเล็กๆ ของเซียวจื่อเยว่ควรจัดขึ้นในช่วงบ่าย ทว่าเมื่อคำนึงถึงสภาพอากาศอันร้อนระอุ การเดินทางยามบ่ายคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก นางจึงเปลี่ยนเวลามาเป็นช่วงเช้า
อวี๋หวั่นไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงชุมนุมที่คล้ายกับงานเช่นนี้ จึงไม่รู้ว่าควรมอบของขวัญอะไรให้เซียวจื่อเยว่ เธอจึงให้ฝูหลิงเรียกจื่อซูเข้ามา
“พระชายาซื่อจื่อ” จื่อซูที่เหงื่อหยดเป็นเม็ดๆ เดินเข้ามาในห้อง ฤดูร้อนนี้ดูจะร้อนกว่าปีก่อนๆ นางซักผ้าเช็ดหน้าไม่รู้กี่ผืน เสื้อผ้าทั้งชุดของนางชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ท่ามกลางความร้อนระอุ นางโชคดีที่ได้เข้ามาอยู่ที่จวนคุณชาย มิฉะนั้นนางคงจะหายใจไม่ออกตายหรือเหม็นตายอยู่ในสถานที่ค้าทาสไปเสียแล้ว
อวี๋หวั่นมองจดหมายเชิญในมือ “ที่ผ่านมาเจ้าให้ของสิ่งใดกับพี่น้องสตรีของเจ้าในงานเลี้ยงรวมตัวหรือ?”
“พระชายาซื่อจื่อต้องการมอบของขวัญให้กับแม่นางเซียวหรือเจ้าคะ?” จื่อซูครุ่นคิดสักพัก “หากสูงค่าสักหน่อยก็ให้เครื่องประดับอัญมณี หากเป็นสิ่งแทนใจก็ให้ของเย็บปักที่ทำด้วยตนเอง”
ยามนี้ของเย็บปักไม่อาจทำได้ทัน ในจวนมีเครื่องประดับอยู่ไม่น้อย อวี๋หวั่นจึงให้จื่อซูไปนำเครื่องประดับจากห้องเก็บของมาสักสองสามชุด และเลือกปิ่นมุกดอกไห่ถังมาชิ้นหนึ่ง ปิ่นชิ้นนี้ดูมีชีวิตชีวาไม่เหมือนชิ้นใด การออกแบบดูทันสมัยไม่โบราณ ช่างดูเหมาะสมกับอายุและบุคลิกของเซียวจื่อเยว่
อย่างไรคราวนี้ต้องไปเยี่ยมซั่งกวนเยี่ยนที่จวนสกุลเซียว อวี๋หวั่นจึงเตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้นางเช่นกัน
อวี๋หวั่นเห็นว่าจื่อซูกำลังจะเป็นลมแดด จึงให้นางพักผ่อนอยู่ที่บ้าน และให้ฝูหลิงติดตามไปเพียงผู้เดียว
“ฮูหยินนั่งดีๆ นะขอรับ!” บนถนนร้อนระอุ เจียงไห่ดึงกระชับบังเหียน พยายามให้ม้าวิ่งไปให้เร็วที่สุด ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามพวกเขาก็มาถึงจวนสกุลเซียว
เซียวจื่อเยว่รู้ว่าเธอกำลังมา จึงสั่งให้คนไปรอที่ประตูจวนล่วงหน้า เมื่อสาวใช้เห็นรถม้าที่มีม้าสี่ตัวกำลังขับมา ก็เดาได้ทันทีว่าเป็นรถม้าของจวนคุณชาย นางรีบเดินไปด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันหลิงจือ ขอคารวะพระชายาซื่อจื่อ!”
เจียงไห่หยุดรถม้า พลันนำเก้าอี้ไม้มาวาง ฝูหลิงเดินลงจากรถม้าก่อน จากนั้นจึงหันไปช่วยประคองอวี๋หวั่นเดินลงจากรถม้า
อวี๋หวั่นมองไปที่สาวใช้ที่ฉลาดปราดเปรื่อง นางเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเซียวจื่อเยว่ที่เคยพบกันที่จวนเฉิงอ๋องเมื่อคราก่อน คนที่เซียวจื่อเยว่ส่งมาล้วนเป็นคนสนิทของนาง แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่นางมีต่ออวี๋หวั่นยิ่งนัก
อวี๋หวั่นเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ไม่ต้องมาพิธี”
หลิงจือหัวเราะเบาๆ และหันไปทักทายฝูหลิง “พี่ฝูหลิง!”
ฝูหลิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าแก่กว่าข้าอีก”
เหล่าสาวใช้ได้ถามไถ่ชื่อแซ่และอายุของกันและกันตอนที่อยู่จวนเฉิงอ๋อง เด็กสาวผู้นี้เพียงแค่ตัวเล็กกว่า ทว่าแก่กว่าฝูหลิงหนึ่งปี เหตุผลที่นางเรียกเช่นนั้นเพราะความอาวุโสและความเคารพที่มีต่อฝูหลิงเท่านั้น
ไยสาวใช้โง่เขลาผู้นี้ถึงไม่เข้าใจ?
ดูจากรูปร่างแล้ว ฝูหลิงดูโตกว่านางถึงสองสามปี…
ฝูหลิงที่กำยำล่ำสันปกป้องพระชายาซื่อจื่อเดินเข้าไปในจวนแล้ว เหลือเพียงหลิงจือที่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น “…”
อวี๋หวั่นบอกหลิงจือว่าจะไปเยี่ยมซั่งกวนเยี่ยนที่เรือนหลักก่อน ความสัมพันธ์ระหว่างซั่งกวนเยี่ยนกับฮูหยินใหญ่เป็นปกติธรรมดา กับเซียวจื่อเยว่ก็นับว่าไปได้ดี และทราบว่าเซียวจื่อเยว่ได้เชิญอวี๋หวั่นมาด้วย
ซั่งกวนเยี่ยนนั่งดูสมุดบัญชีของเดือนนี้อยู่ในห้อง ก็เห็นสาวใช้ซิ่งจู๋วิ่งเข้ามาด้วยความตื่นเต้น “ฮูหยิน! พระชายาซื่อจื่อมาแล้วเจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนเยี่ยนวางสมุดบัญชี “รีบไปเชิญมา”
“เชิญมาแล้วเจ้าค่ะ!” ซิ่งจู๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม พลางเปิดผ้าม่านและอวี๋หวั่นก็ก้าวเข้ามาในห้อง
ซั่งกวนเยี่ยนมองไปที่เธอด้วยรอยยิ้ม
อวี๋หวั่นก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับ “ท่านแม่”
คำว่าท่านแม่ที่เธอเรียก ทำให้ซั่งกวนเยี่ยนถึงกับตกตะลึง โชคดีที่นางยังไม่เสียกิริยา ซั่งกวนเยี่ยนยิ้มร่าอย่างมีความสุขแล้วดึงเธอไปนั่งที่เก้าอี้ตัวเล็ก “ซิ่งจู๋ ไปหาอ่างน้ำมา แล้วก็ ไปเอาน้ำแข็งในห้องมาใส่สองก้อน”
“เจ้าค่ะ!” ซิ่งจู๋เดินไปอย่างมีความสุข
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี๋หวั่นมาที่จวนสกุลเซียว ทว่าเป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาที่เรือนของซั่งกวนเยี่ยนกับเซียวเจิ้นถิง เดิมทีเธอคิดว่าที่นี่คงจะเหลืองอร่ามแวววาวเหมือนกับรถม้าของซั่งกวนเยี่ยน ไม่คิดว่าจะใช้หินซ้อนกับสายน้ำในการจัดภูมิทัศน์ ทั้งยังมีศาลาริมน้ำและไผ่เขียวชอุ่ม แต่แฝงด้วยความรู้สึกสง่างามและเงียบสงบ
ซั่งกวนเยี่ยนมองไปด้านหลังของอวี๋หวั่น “เด็กๆ เล่า มากับเจ้าด้วยหรือไม่?”
อวี๋หวั่นกล่าว “เมืองหลวงร้อนยิ่งนัก จึงให้ไปหลบร้อนที่ชนบทแล้วเจ้าค่ะ”
ซั่งกวนเยี่ยนรู้จักบ้านพักเชิงเขาในฤดูร้อนแห่งหนึ่ง ทว่านางรู้ดีว่าบุตรชายไม่วางใจให้นางพาเด็กๆ ไป แต่ซั่งกวนเยี่ยนไม่อยากบ่นกับสะใภ้ จึงเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากับฉงเอ๋อร์สบายดีหรือ?”
อวี๋หวั่นกล่าวแต่เพียงเรื่องที่ดี “สบายดีเจ้าค่ะ ซื่อจื่อไปว่าราชการทุกวัน อยู่ที่เน่ย์เก๋อก็ขยันขันแข็งยิ่งนัก”
ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างขยันขันแข็ง หรือให้อาหารสุนัขแก่ขุนนางอย่างขยันขันแข็งก็ไม่อาจทราบได้
ในอดีตซั่งกวนเยี่ยนเคยบอกว่าขอให้บุตรชายของนางอยู่รอดก็พอแล้ว ทว่ายามนี้บุตรชายของนางรอดแล้ว จึงหวังให้เขามาพบนางบ่อยๆ ก็คงดี แน่นอนนางรู้ว่ามันคือความหวังที่ขอมากเกินไป นับตั้งแต่นางแต่งงานกับเซียวเจิ้นถิง ความสัมพันธ์ระหว่างมารดากับบุตรก็ไม่มีวันย้อนกลับไปดังเช่นอดีตอีกแล้ว
ทว่ามีสะใภ้ที่จริงใจก็นับว่าไม่เลว
อวี๋หวั่นวางกล่องผ้าที่เธอนำมาลงบนโต๊ะ
“มันคืออันใดรึ?” ซั่งกวนเยี่ยนถาม
…………………………………………….