หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 165.2 เรียกพ่อ (2)
“เหตุใดจู่ๆ จึงมาถามข้าเรื่องนี้? หรือว่าเกิดอันใดขึ้นกับฉงเอ๋อร์?” ฮองเฮาตรัสถาม
แน่นอนอวี๋หวั่นไม่อาจบอกความจริงกับนางได้ ไม่ใช่เพราะเธอไม่ไว้ใจ ทว่ากระทำการใดต้องระมัดระวัง เรื่องบางเรื่องไม่น่ากังวลเธอก็ประกาศออกไปอย่างเปิดเผย จึงเกรงว่าตนเองจะเผลอเอ่ยออกไปอย่างไม่ตั้งใจ
อวี๋หวั่นตอบ “หาได้เกิดเรื่องใดกับซื่อจื่อ…ทว่าเพราะการมาเยือนของทูตหนานจ้าวในครานี้มีความแปลกประหลาด ทั้งยังเกิดเรื่องแม่ทัพเห้อเหลียนกับชุดเกราะ ซื่อจื่อจึงสงสัยว่าราชวงศ์หนานจ้าวมีแผนการอันใดหรือไม่ เดินทางมาเพราะหมายหัวเขา หรือเพราะราชวงศ์โจวทั้งหมด เขาต้องการคิดเรื่องนี้ให้กระจ่างเพคะ”
ฮองเฮาพยักหน้า “ข้าคิดดูแล้ว แม่ทัพเห้อเหลียนอันใดนั่นหมายให้เซียวเจิ้นถิงอับอายโดยใช้ชุดเกราะเป็นเครื่องมือ ดูเหมือนเขาต้องการดูหมิ่นต้าโจว แต่ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าเขาจงใจทำให้ฉงเอ๋อร์โกรธเคืองเพราะรับคำสั่งผู้ใดมาหรือไม่?”
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ “ผู้ใดบอกว่าไม่ใช่เล่าเพคะ? ซื่อจื่อนอนพลิกไปมาไม่ยอมหลับเพราะเรื่องนี้ อย่างไรหม่อมฉันก็ต้องถามพระองค์ให้รู้ความ”
“เรื่องนี้ก็มิใช่ว่าเอ่ยไม่ได้” ฮองเฮาหยุดเอ่ย และมองไปที่ดอกไม้ใบหญ้าที่อยู่ด้านข้าง “มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้ว ในปีที่เยี่ยนอ๋องจากไป พระมารดาทรงคะนึงหาพระราชนัดดาของพระองค์ จึงพาฉงเอ๋อร์เข้าวังมาดูแล”
ราวกับเกรงว่าอวี๋หวั่นจะไม่เข้าใจว่าเป็นพระมารดาคนใด นางจึงกล่าวเสริมว่า “พระมารดาผู้ให้กำเนิดเยี่ยนอ๋องกับฝ่าบาท”
อวี๋หวั่นรู้ว่าหลังจากฮองเฮาองค์ก่อนถูกกักขังให้อยู่ในตำหนักเย็น จวบจนฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ยังไม่ได้กลับคืนสู่ตำแหน่ง ฮ่องเต้องค์ก่อนแต่งงานกับจี้ฮองเฮา หลังจากฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ก็ได้แต่งตั้งจี้ฮองเฮา และแต่งตั้งพระมารดาขึ้นเป็นไทเฮาในเวลาเดียวกัน
“ในเวลานั้นแม่ทัพใหญ่เซียวขอฝ่าบาทแต่งงานกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง กระดูกของเยี่ยนอ๋องยังมิทันเย็น เขาขอแต่งงานกับภรรยาหม้ายของเยี่ยนอ๋องในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้เสียแล้ว ฝ่าบาททรงกริ้วจัด ลงโทษให้เขากลับไปปิดประตูสำนึกผิดที่บ้านของตนเอง ด้วยเหตุนี้ไทเฮาจึงไม่จัดงานวันเกิดใหญ่โต ทว่านางไม่ต้องการละเลยวันเกิดของฉงเอ๋อร์ นางจึงให้บรรดาองค์ชายและขุนนางพาบุตรของพวกเขามาเข้าวัง หมายให้วันเกิดของฉงเอ๋อร์มีชีวิตชีวามากขึ้น ในงานเลี้ยงคืนนั้นข้าดื่มมากเกินไป จึงออกไปเดินให้สร่างสุราด้านนอกห้องโถง ข้าเดินไปถึงทะเลสาบไท่เย่ฉือ…และได้ยินเสียงคนคุยกัน”
เมื่อฮองเฮาเอ่ยถึงตรงนี้ แววตาก็เนือยนิ่ง
‘ต้องเป็นวันนี้หรือ? ราชวงศ์หนานจ้าวของพวกเจ้าทนกับเด็กคนหนึ่งไม่ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?’
‘ทนได้หรือไม่หาใช่เรื่องที่เจ้าต้องยุ่ง เจ้าแค่ทำให้สำเร็จก็พอ เรื่องที่รับปากเจ้าไว้ พวกเราทำให้เจ้าได้อย่างแน่นอน! ข้าเห็นว่าเขามาที่งานเลี้ยงนี้ นี่เป็นโอกาสทองที่เจ้าจะได้ลงมือ!’หลังจากย้อนนึกถึงอดีต ฮองเฮาก็ถอนหายใจ “คืนนั้นข้าดื่มมากไป บทสนทนาหลังจากนั้นว่าอย่างไรข้าก็จำไม่ค่อยได้เสียแล้ว ทว่าสิ่งที่ข้าแน่ใจคือผู้หนึ่งเป็นสตรีและผู้หนึ่งเป็นบุรุษ”
“เป็นสตรีในวังหลังหรือเพคะ?” อวี๋หวั่นถาม
ฮองเฮาส่ายศีรษะ “ข้ามองเห็นนางไม่ชัด ทว่ารู้สึกว่าน่าจะเป็นวังหลัง และไม่ใช่นางข้าหลวง ทว่าเป็นเจ้านายที่มีตำแหน่ง”
แน่นอน ราชวงศ์หนานจ้าวจะทำข้อตกลงกับนางข้าหลวงคนหนึ่งได้อย่างไร?
“หลังจากบุรุษผู้นั้นเดินจากไป ข้าก็อยากจะดูว่านางคือผู้ใด ทว่านางก็เดินจากไปเช่นกัน ตัวข้าเมาสุราค้างอย่างหนัก หลับไปถึงสามวันสามคืน ตื่นมาจึงนึกถึงเรื่องที่ทะเลสาบไท่เย่ฉือขึ้นได้ ข้าไม่แน่ใจว่าเพราะตนเองดื่มหนักจนคิดไปเองหรือไม่ ข้าถามขันทีว่ามีเด็กคนใดในงานเลี้ยงเกิดเรื่องขึ้นหรือไม่? ขันทีตอบว่าไม่มี ในวันนั้นมีเด็กในงานเลี้ยงกว่ายี่สิบคน ข้าส่งคนไปเฝ้าสังเกตอย่างระแวดระวังนานกว่าครึ่งเดือน ทว่าก็หาพบเรื่องใดไม่ ข้าจึงคิดว่าเป็นเพราะดื่มมากเกินไป จะมีผู้ใดมาทำร้ายเด็กๆ ในงานเลี้ยงได้? ทั้งหมดเป็นเพียงภาพหลอนของข้าเท่านั้น”
เกรงว่าคงไม่ใช่ภาพหลอน เด็กผู้นั้นคงจะเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา สตรีผู้นั้นทำสำเร็จ นางได้วางยาพิษไป๋เซียงหลี่ให้เยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าพิษไป๋เซียงหลี่ถูกพิษตู๋โจ้วในร่างกายของเยี่ยนจิ่วเฉาต่อต้านไว้ จึงไม่เคยออกอาการใดๆ
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องบอกฮองเฮา อวี๋หวั่นถามต่อ “ในคราแรกฮองเฮาคิดว่าเป็นภาพหลอน ทว่าเหตุใดยามนี้จึงคิดว่าเป็นจริงหรือเพคะ?”
ฮองเฮายิ้มอย่างขื่นขม “ข้าถูกกักตัวอยู่ในตำหนักเฟิ่งชีนานถึงสิบปี เจ้าคิดว่าสิบปีนี้ข้าอยู่รอดมาได้เยี่ยงไรรึ? ว่ากันว่าอายุห้าสิบจะเข้าใจชีวิต แม้ข้าจะนับว่าเป็นคนโง่เขลา แต่เรื่องบางเรื่องก็ควรจะคิดได้”
อวี๋หวั่นมองไปที่ฮองเฮา “เช่นนั้นเสียงของเจ้านายผู้นั้น…”
ฮองเฮาย้อนนึกอีกครั้ง “สิ่งนี้ข้าจำไม่ได้จริงๆ ทว่าทางที่นางเดินจากไปเหมือนจะเป็นทางไปตำหนักฉู่ซิ่ว ในปีนั้นตำหนักฉู่ซิ่วมีเพียงสนมลี่เฟย สนมเสียนเฟย สนมอวี้เฟย และหวั่นเจาอี๋ สนมลี่เฟยตายไปแล้ว หากเป็นนาง เจ้าคงต้องผิดหวัง สนมอวี้เฟยไม่ต้องสงสัย นางเป็นคนหัวแข็ง”
สนมอวี้เฟยเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดของเฉิงอ๋อง นางไม่น่าจะทำเรื่องนี้มากที่สุด อวี๋หวั่นก็คิดว่านางไม่น่าสงสัยมากนัก
เหลือเพียงสวี่เสียนเฟยกับหวั่นเจาอี๋
ความน่าสงสัยของคนทั้งสองยิ่งมีน้อยกว่า สวี่เสียนเฟยไม่เคยมองว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเป็นภัยคุกคาม แม้ว่าจะมีปัญหาไม่เข้าหน้ากันเช่นทุกวันนี้ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบคงมีเพียงอวี๋หวั่นเท่านั้นที่นางอยากจะหยิกให้ตาย ในมุมมองของสวี่เสียนเฟย เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนที่ต้องตายไปในไม่ช้าก็เร็ว ไม่จำเป็นต้องทำให้ตนเองแปดเปื้อนกลิ่นคาว
ส่วนหวั่นเจาอี๋ นางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของนายท่านเซียวอู่ นางเป็นคนจากฝั่งของเซียวเจิ้นถิง มีเหตุผลใดที่ต้องทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา?
หรือจะเป็นสนมลี่เฟยผู้ล่วงลับไปแล้วจริงๆ?
เหตุผลที่ลี่เฟยลอบทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉาคือ…
ฮองเฮากับอวี๋หวั่นนึกถึงเหตุผล “สนมลี่เฟยกับฮูหยินเซียวไม่ลงรอยกัน ครั้งหนึ่งฮูหยินเซียวเคยทำให้นางเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย นางจึงเก็บงำความโกรธแค้นไปทำร้ายฉงเอ๋อร์ก็สมเหตุสมผลอยู่”
หากเป็นสนมลี่เฟย อวี๋หวั่นคงรู้สึกแย่ยิ่งนัก ทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาถูกพิษมาหลายปีถึงเพียงนี้ แล้วก็มาตายให้เรื่องมันจบสิ้นไปเช่นนั้นหรือ?
“ขอบพระทัยฮองเฮามากเพคะ” ข้อมูลที่ควรได้ก็ได้มาแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉายังรอให้เธอกลับไปดูแล อวี๋หวั่นลุกขึ้นและถวายบังคมทูลลาฮองเฮา
ฮองเฮาพยักหน้า
“ทว่า…” ฮองเฮาเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน
อวี๋หวั่นหันกลับมา
ฮองเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่มีอันใด ข้าคงกังวลมากเกินไป เจ้ากลับไปดูแลฉงเอ๋อร์ก่อนเถิด หากข้านึกสิ่งใดได้จะส่งคนไปแจ้งข่าวให้เจ้าทราบทันที”
อวี๋หวั่นค้อมกายคำนับ “ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ”
ฮองเฮาให้แม่นางชุยไปส่งเธอออกจากตำหนักเจาหยาง
ขณะที่เดินผ่านห้องทรงพระอักษร อวี๋หวั่นก็เห็นเงาร่างสูงใหญ่กำยำจากที่ไกลๆ หากไม่ใช่เซียวเจิ้นถิงแล้วจะเป็นผู้ใด?
เซียวเจิ้นถิงเพิ่งออกมาจากห้องทรงพระอักษร
อวี๋หวั่นกำลังจะเดินเข้าไปทักทาย ก็เห็นว่าบนทางเดินมีสตรีในชุดฝ่ายในสีฟ้าอ่อน กับสตรีข้างกายในชุดข้าหลวงเสื้อไม่มีแขนสีชมพูเดินไปหาเซียวเจิ้นถิง
สตรีผู้นี้แต่งหน้างดงามละมุนละไม ดูไม่เหมือนสตรีในวัยยี่สิบต้นๆ ทว่าก็ยังดูอายุไม่มาก ในทางกลับกันนางดูมีเสน่ห์สง่างามชดช้อยของความเป็นผู้ใหญ่
นางกับเซียวเจิ้นถิงได้พบกัน
เซียวเจิ้นถิงผงะไปชั่วครู่ก่อนจะยกมือขึ้นคำนับ
จากมุมของอวี๋หวั่นสามารถมองเห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้นได้เป็นส่วนใหญ่ นางคลี่ยิ้มงดงามราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง ดวงตาหงส์คมเฉี่ยวมีพลัง ราวกลับคลื่นน้ำใสที่ไหลวน
“สตรีผู้นั้นคือ…” อวี๋หวั่นถามแม่นางชุยที่อยู่ข้างๆ
แม่นางชุยมองไปและเอ่ยว่า “นั่นคือหวั่นเจาอี๋”
นางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของนายท่านเซียวอู่ มิน่าถึงได้คุยกับเซียวเจิ้นถิง
“พี่ใหญ่เซียวอย่าได้มากพิธี” หวั่นเจาอี๋กล่าวอย่างอ่อนโยน
“ขอบพระทัยพระสนมหวั่นเจาอี๋” เซียวเจิ้นถิงยืดกายตรงด้วยสายตาแน่นิ่ง
หวั่นเจาอี๋เผยยิ้มและมองไปที่เขา “ข้าเคยบอกนี่ว่าเมื่อไม่มีผู้ใด พี่ใหญ่เซียวไม่ต้องทำตัวเป็นคนอื่นคนไกล”
เซียวเจิ้นถิงกล่าวอย่างเหมาะสม “เชื้อพระวงศ์สามัญชน ธรรมเนียมมิอาจละทิ้ง”
หวั่นเจาอี๋ยิ้ม “ฮูหยินผู้เฒ่าสบายดีหรือไม่?”
“ท่านแม่ปรกติดีทุกอย่าง ขอบพระทัยพระสนมหวั่นเจาอี๋ที่ยังจำได้”
“นายท่านใหญ่เซียวกับฮูหยินใหญ่เล่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“สบายดีเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วท่านเล่า พี่ใหญ่เซียว? ท่านสบายดีหรือไม่?” ดวงตาของหวั่นเจาอี๋เป็นประกายพริบพราว แววตาดูแปลกไปเล็กน้อย
“กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” เซียวเจิ้นถิงไม่มองนางตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ จ้องมองเพียงพื้นว่างเปล่าที่อยู่ด้านหน้า
หวั่นเจาอี๋ยังใคร่จะถามต่อ ทว่าอวี๋หวั่นก็เดินเข้ามา
อวี๋หวั่นน้อมคำนับอย่างใจเย็น “คารวะพระสนมหวั่นเจาอี๋”
หวั่นเจาอี๋ไม่เคยพบอวี๋หวั่น จึงไม่รู้จักเธอ
กลับกัน แววตาของเซียวเจิ้นถิงมีประกายอ่อนโยนลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยความเอ็นดู “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่?”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มอ่อนหวานและกล่าวตอบ “ข้าเข้าวังมาเพื่อถวายพระพรฮองเฮา เมื่อครู่ข้าเห็นท่านพ่อ จึงเดินเข้ามาทักทายท่านพ่อสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยืนคำว่า ท่านพ่อ ดวงตาของเซียวเจิ้นถิงก็จ้องมองอย่างตกตะลึง
…………………………………………………….