หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 167.2 ล่องูออกจากรู (2)
หวั่นเจาอี๋นั่งอยู่บนเตียงด้วยเสื้อผ้าเรียบๆ ทว่ายากจะซ่อนความงดงามของเรือนร่างและหน้าตาของนางได้ หญิงงามในวังหลังมีมากมายราวกับเมฆบนท้องฟ้า ทว่าผ่านไปหลายปี หวั่นเจาอี๋ก็ไม่เคยถูกฮ่องเต้ลืมเลือน นางไม่ได้มีอำนาจจัดการวังหลังเหมือนสวี่เสียนเฟย ไม่มีแม้กระทั่งบุตรของตนเอง
หากในใจซ่อนไว้ด้วยบทกวี แม้นผ่านไปหลายปีความงดงามไม่เสื่อมคลาย บังเอิญที่พระสนมหวั่นเจาอี๋ผู้นี้เป็นสตรีที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์
อวี๋หวั่นพาฝูหลิงเข้ามาคารวะ “พระสนม”
หวั่นเจาอี๋เคยพบอวี๋หวั่นครั้งหนึ่งที่ด้านนอกห้องทรงพระอักษร นางไม่ได้ตกตะลึงกับรูปลักษณ์งดงามของเธอ ทว่ากลับเป็นฝูหลิงผู้ห้าใหญ่สามหนา[1]ที่ยืนอยู่ด้านข้างแทน
อวี๋หวั่นมองฝูหลิงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง “ฝูหลิง”
ฝูหลิงเข้าใจดี จึงส่งตะกร้าผลไม้ไปให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรับตะกร้าผลไม้และเดินเข้าไปข้างหน้า “พระสนมเจาอี๋ ผลไม้เหล่านี้ปลูกจากจวนคุณชาย หม่อมฉันล้างและใช้น้ำสะอาดในบ่อแช่ให้เย็น ยามนี้กำลังเย็นพอดี พระสนมลองชิมดูสิเพคะ”
ปลายนิ้วเรียวยาวของหวั่นเจาอี๋ยื่นหยิบลูกหลี่จื่อสีแดงก่ำมากัดเบาๆ คำหนึ่ง
ลูกหลี่จื่อที่สุกงอม มีน้ำฉ่ำของผลไม้พุ่งออกมาในทันทีที่ผิวผลปริ หวั่นเจาอี๋ทำหกลงสองหยดโดยไม่ทันคาดคิด นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าจับไว้อย่างสง่างาม
กลิ่นหอมหวานละลายแทรกในริมฝีปากและซี่ฟัน พร้อมกับความเย็นของน้ำ ทำให้ความร้อนในช่วงเวลานี้สลายหายไปโดยพลัน
หวั่นเจาอี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หวานกว่าของในวังเสียอีก”
อวี๋หวั่นยิ้มและเอ่ยว่า “หากพระสนมโปรดปราน คราหน้าหม่อมฉันจะเก็บมาให้พระสนมอีกนะเพคะ”
“ไยต้องทำให้เจ้าลำบากด้วยเล่า?” หวั่นเจาอี๋กล่าวอย่างสุภาพ
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “หาได้ลำบากเพคะ ได้มอบผลไม้ให้พระสนมนับว่าเป็นเกียรติของหม่อมฉัน อีกอย่าง…หม่อมฉันกับนายท่านเซียวอู่ก็มีมิตรภาพต่อกัน”
“โอ้?” ความประหลาดใจฉายชัดในดวงตาของหวั่นเจาอี๋
แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ ทว่าหวั่นเจาอี๋อยู่ในวังมานาน นางไม่ได้พบน้องชายของนางบ่อยนัก แม้จะพบนายท่านเซียวอู่แต่ก็ไม่อาจพูดคุยเรื่องธุระกันได้ ดังนั้นที่หวั่นเจาอี๋ไม่ทราบว่านางมีความสัมพันธ์กับนายท่านเซียวอู่ก็สมเหตุสมผล
“เดิมทีผู้จัดการชุยของหอหยกขาว…” อวี๋หวั่นเล่าเรื่องที่ผู้จัดการชุยแนะนำนายท่านเซียวอู่ที่มาทำการค้า และเรื่องที่สกุลอวี๋เข้าไปจัดงานเลี้ยงให้ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยที่จวนสกุลเว่ยให้นางฟัง
นกตัวอื่นเมื่อบินถึงกิ่งไม้สูงก็กลายเป็นหงส์ รีบสลัดคราบทิ้งอดีตวางตัวสูงส่ง ทว่าอวี๋หวั่นกลับมิได้อับอายที่จะกล่าวถึงอดีต และมอบประสบการณ์ในอดีตให้กับผู้คนด้วยความใจกว้างเยือกเย็น ความกระดากอายและลำบากใจไม่เคยมีแม้แต่น้อย
กิริยาของหวั่นเจาอี๋ที่กำลังทานผลหลี่จื่อผ่อนช้าลง สายตาของนางตกกระทบกับใบหน้าขาวของอวี๋หวั่น ใบหน้าของสตรีอายุสิบแปดค่อยๆ เติบโตงดงามไร้ที่ติ ขนคิ้วทุกเส้นราวกับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอ่อนเยาว์
หวั่นเจาอี๋ก็เคยอยู่ในวัยนี้มาก่อน ทว่านางไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว
“แท้จริงแล้วหม่อมฉันก็เคยได้ยินสามีเอ่ยถึงพระสนมมาก่อน” อวี๋หวั่นแย้มยิ้มไปทั้งหน้าราวกับว่าไม่ได้สังเกตเห็นหวั่นเจาอี๋ที่กำลังจ้องมองตน
หวั่นเจาอี๋คลี่ยิ้ม “ซื่อจื่อเขา…เอ่ยถึงข้าว่าอย่างไรหรือ?”
อวี๋หวั่นยิ้มและเอ่ยว่า “ซื่อจื่อบอกว่าเคยพบพระสนมตอนที่เขายังเด็ก พระสนมยังเคยป้อนอาหารเขาด้วย”
เมื่ออวี๋หวั่นเอ่ยเช่นนี้แล้ว ก็มองดูสีหน้าของหวั่นเจาอี๋ เธอไม่ได้บอกว่าเป็นปีใด ทว่าตราบใดที่หวั่นเจาอี๋เป็นคนวางยาเยี่ยนจิ่วเฉา ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกผิดหลังจากได้ยินเรื่องนี้
สิ่งเดียวที่ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกประหลาดใจ คือสีหน้าของหวั่นเจาอี๋ไม่มีความผิดปกติใดๆ นางเพียงนึกด้วยความสับสนและกล่าวพึมพำ “จริงรึ? เรื่องเมื่อคราใด ข้าจำไม่ได้แล้ว”
อวี๋หวั่นหลุบสายตาลง หรือว่าเธอคิดมากเกินไปจริงๆ หวั่นเจาอี๋เป็นผู้บริสุทธิ์? คนร้ายเป็นคนอื่นอย่างนั้นหรือ?
“เจ้าก็กินสิ” หวั่นเจาอี๋หยิบผลหลี่จื่อยื่นให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรับมา แววตาพลันสั่นไหว และกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันไปที่จวนแม่ทัพใหญ่เซียวเมื่อสองสามวันก่อน ได้ยินคนในจวนคุยกันว่าพระสนมหวั่นเจาอี๋เคยอยู่ที่จวนมาก่อน”
เธอไม่ได้ฟังคนรับใช้กล่าวมา ทว่าเป็นคำพูดของชุยเฒ่า แต่หวั่นเจาอี๋ก็คงเดาไม่ออก อย่างไรนางก็ไม่ได้อยู่ที่จวนสกุลเซียวมาหลายปีแล้ว ย่อมไม่รู้ว่าสถานการณ์ของจวนสกุลเซียวในยามนี้เป็นอย่างไร
หวั่นเจาอี๋ชะงัก วางผลหลี่จื่อลงพลางเอ่ยว่า “อา มันเป็นเรื่องก่อนที่ข้าจะมาเข้าวัง ฮูหยินผู้เฒ่าแค่รู้สึกเหงา จึงให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนในจวนไม่กี่วันเท่านั้น”
“ฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบพระสนมยิ่งนัก หากไม่ใช่มารดาแท้ๆ เกรงว่าพระสนมคงจะได้แต่งงานกับแม่ทัพใหญ่เซียวแล้วกระมัง” อวี๋หวั่นทำตัวราวกับเด็กที่ชอบซุบซิบนินทา
คนบ้านนอกไม่รู้ประสา ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรเอ่ยไม่ควรเอ่ย อีกทั้งยังอยู่ในวัยที่อยากรู้อยากเห็น ไม่มีสิ่งใดมาหยุดปากได้ก็หาใช่เรื่องแปลก หากคนอื่นรู้อย่างมากก็แค่ถูกเอ็ดสองสามคำ แต่…ก็ไม่แน่ว่าจะมีใครรู้
ขนตาของหวั่นเจาอี๋สั่นไหว พลางเอ่ยอย่างขบขัน “ข่าวลือเหล่านี้เจ้าฟังจากผู้ใดมา? ถึงข้าจะเคยอยู่ที่จวนสกุลเซียวมาระยะหนึ่ง ทว่าก็อยู่แต่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า หาได้สนิทชิดเชื้อกับแม่ทัพใหญ่เซียว เจ้าอย่าได้ไปฟังข่าวลือ ชื่อเสียงข้าเสียหายก็ไม่เท่าใด ทว่าหากเสียหายไปถึงแม่ทัพใหญ่เซียวกับฮูหยินเซียว ในเรือนคงไม่สุขสงบเป็นแน่”
วาจานี้น้ำไม่รั่วสักหยด[2] ทั้งยังแสดงออกถึงความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องการแต่งงานเป็นเพียงความต้องการของฮูหยินผู้เฒ่าฝ่ายเดียว เซียวเจิ้นถิงกันหวั่นเจาอี๋หาได้มีใจให้กัน
หากหวั่นเจาอี๋ไม่มีใจให้เซียวเจิ้นถิง ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำร้ายเยี่ยนจิ่วเฉา
ขณะที่ด้านนี้กำลังสนทนา องค์หญิงจิ่วก็วิ่งเข้ามาอย่างมีความสุข และบอกว่ามีคนกำลังตามหาอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเดินออกไปดู ก็เห็นซั่งกวนเยี่ยนที่รีบมาด้วยความเหนื่อยหอบ
“ไม่ใช่เพราะฉงเอ๋อร์บุตรผู้นั้นหรอกหรือ? เขาไม่วางใจภรรยา เกรงจะไม่สบายกลับมา หม่อมฉันก็กังวลว่าระหว่างทางมาที่นี่เขาจะเผชิญกับอากาศร้อน จึงบอกเขาว่าหม่อมฉันจะมาเอง และจะดูแลอาหวั่นเป็นอย่างดี ไม่ให้นางต้องเสียผมสักเส้น!”
ในห้องของฮองเฮา ซั่งกวนเยี่ยนอธิบายเหตุผลที่นางมาที่นี่ด้วยความละอายใจ
ไม่มีผู้ใดกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ หากไม่กล่าวถึงความรักหนุ่มสาว ซั่งกวนเยี่ยนเคยเป็นอดีตสะใภ้ของฮองเฮา หากนางจะมาที่นี่แล้วเป็นอย่างไร? ในเมื่อมาถึงแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจไล่ลงจากภูเขา เมื่อนึกถึงนิสัยของเยี่ยนจิ่วเฉาที่สามารถแจกไข่แดงที่ตำหนักจินหลวน ฮองเฮาและฮ่องเต้ก็คิดว่าเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้ เขาก็ทำได้เช่นกัน
ห้องรับรองเต็มหมดแล้ว ขณะที่ฮองเฮากำลังคิดว่าจะให้นางไปอยู่ห้องผู้ใด สวี่เสียนเฟยก็กล่าวอย่างไม่เห็นแก่ตัว “ไม่เช่นนั้น หม่อมฉันย้ายไปพักที่ห้องพระสนมเจิน แล้วยกห้องนั้นให้ฮูหยินเซียวเถิดเพคะ”
ในบรรดาสมาชิกสตรีในครอบครัว มีเพียงอวี๋หวั่นที่อยู่ในห้องเดียวกันกับองค์หญิงจิ่วอายุหกขวบ ที่เหลือพักหนึ่งห้องต่อหนึ่งคน ให้สวี่เสียนเฟยเบียดเสียดกับคนอื่นคงไม่ดี สนมอวี้เฟยกับสนมเจินเฟยจึงเสนอว่าจะอยู่ห้องเดียวกัน และให้ห้องว่างกับซั่งกวนเยี่ยน
ในวังหลวงทั้งสองรักกันดุจพี่น้อง ฮองเฮาพยักหน้าเห็นด้วย
ซั่งกวนเยี่ยนจึงพักอยู่ที่ห้องของสนมอวี้เฟย ซึ่งบังเอิญเป็นห้องที่อยู่ติดกับอวี๋หวั่นพอดี
ฮ่องเต้กับเจ้าอาวาสสนทนากันจนดึก ให้ขันทีวังมาส่งข่าว คืนนี้เจ้าอาวาสจะเทศนาให้ฮ่องเต้ตามลำพัง วันพรุ่งจึงเทศนาแก่ทุกคน นี่เป็นเรื่องคำสัญที่ทุกคนต้องร่วมกันถก แต่ไม่ว่าเรื่องจะสำคัญเพียงใด ทราบเพียงพวกเขาเหนื่อยอ่อนจากการปีนขึ้นเขามาตลอดช่วงบ่าย เมื่อได้เข้าห้องพัก ก็กราบพระในใจสามที แล้วแผ่กายหลับไปบนเตียงอย่างมีความสุข
แน่นอนว่ามีบางคนที่นอนไม่หลับ เช่นองค์หญิงจิ่วที่หลับมาตลอดทางบนหลังของฝูหลิง และอวี๋หวั่นที่ไม่กล้าจะถอนหายใจ
องค์หญิงจิ่วนั่งไม่สุข ใครให้นางโตถึงเพียงนี้ แล้วยังออกจากตำหนักเป็นครั้งแรก ท้องฟ้าข้างนอกดูเป็นสีฟ้ากว่าที่ตำหนัก
“ด้านหลังวัดมีสวนผลไม้ ภายในมีผลแตงป่าอยู่ หากท่านไม่รังเกียจ กระหม่อมจะไปเก็บมาให้” ภิกษุอายุสิบเจ็ด สิบแปดเอ่ย
องค์หญิงจิ่วกะพริบตามองอวี๋หวั่น
นางต้องการไปเก็บด้วยตนเอง
อวี๋หวั่นก็อยากไปเดินเล่น จึงจูงมือองค์หญิงจิ่วออกไป
องค์หญิงจิ่วกระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้น!
อวี๋หวั่นยิ้มและกล่าวว่า “อย่าเพิ่งรีบร้อน หม่อมฉันจะไปถามฮูหยินเซียวว่าจะไปหรือไม่”
องค์หญิงจิ่วอดดีใจไม่ไหวที่จะได้ไปสวน รออวี๋หวั่นเคาะประตูห้องข้างๆ อย่างเชื่อฟัง
“มีอันใดหรือ?” ซั่งกวนเยี่ยนถามขณะที่เปิดประตูออก
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ข้าจะไปเก็บผลไม้กับองค์หญิงจิ่ว ท่านอยากจะไปด้วยกันหรือไม่?”
ซั่งกวนเยี่ยนนั่งเกี้ยวขึ้นมาโดยมิได้ออกแรง ในยามนี้ยังมีพลังเหลือ จึงตอบตกลงในทันที เธอจึงให้ซิ่งจู๋ที่หายใจแผ่วๆ เฝ้าอยู่ที่ห้อง และเดินไปที่ประตูลานพร้อมกับอวี๋หวั่น
ขณะนั้นบังเอิญที่หวั่นเจาอี๋พาหญิงรับใช้มาเดินเล่นเช่นกัน
ดวงตาของอวี๋หวั่นสั่นไหว และเอ่ยด้วยเสียงดังว่า “ฝูหลิง เจ้าไปที่ห้องของแม่ทัพใหญ่เซียว บอกว่าท่านแม่กับข้าจะไปเก็บผลไม้ เขาจะไปด้วยกันหรือไม่”
……………………………………………
[1] ห้าใหญ่สามหนา 五大三粗 ห้าใหญ่หมายถึงสองมือ สองเท้า และหนึ่งศีรษะท่ีมีขนาดใหญ่ สามหนา หมายถึงขา เอวและคอท่ีหนา
[2] น้ำไม่รั่วแม้สักหยดเดียว 滴水不漏 อุปมาว่ามิดชิดไม่มีช่องโหว่