หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 174.2 พี่จิ่วเทพแห่งทรัพย์ แม่ทัพเทวดาแห่งหนานจ้าว (2)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 174.2 พี่จิ่วเทพแห่งทรัพย์ แม่ทัพเทวดาแห่งหนานจ้าว (2)
เยี่ยนจิ่วเฉามิได้สนใจนาง
“โอ้ คุณชายอารมณ์ไม่ดี พี่สาวข้าพูดกับท่าน ท่านกลับไม่สนใจ” สตรีซึ่งสวมผ้าคลุมหน้าสีชมพูเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
สตรีซึ่งถูกเรียกว่าพี่สาวกลับมิได้มีท่าทีขุ่นเคือง นางยิ้มพลางขยับเข้าหาเยี่ยนจิ่วเฉา พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ดูแล้วคุณชายคงจะมาจากที่อื่น คุณชายอยากเข้าไปในเมืองหรือเจ้าคะ? ช่วงนี้จะเข้าในเมืองเห็นทีคงจะยาก แต่ถ้าหากคุณชายเป็นเพื่อนกับข้า ข้ารับประกันได้ว่าจะพาคุณชายเข้าเมืองได้อย่างแน่นอน”
นางกล่าวพลางยกมือขึ้นหมายลูบไล้ใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่ายังไม่ทันได้แตะต้องเขา ก็มีมือเย็นเฉียบยื่นเข้ามาจับไว้
“ใครอยากเป็นเพื่อนกับเจ้าไม่ทราบ?”
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
กล้าแตะต้องสามีของเธอ ต้องเจอดีสักหน่อย!
นางหน้าถอดสีในทันใด พยายามจะดึงมือออก ไหนเลยจะรู้ว่ากลับขยับไปไหนไม่ได้ นางหันไปด้วยสีหน้าเย็นชา ทันทีที่เห็นอวี๋หวั่น ความขุ่นมัวในดวงตาของนางก็พลันอันตรธานไปเสียสิ้น “อุ๊ยตาย? มีคุณชายน้อยมาอีกท่านหนึ่งหรือนี่? หล่อเหลาไม่เบา!”
อวี๋หวั่นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หล่อเหลาอย่างไรก็ไม่ใช่สามีเจ้า ถอยไปได้แล้ว”
ความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง นางมองตาอวี๋หวั่นอีกครา
อวี๋หวั่นจึงขู่ว่า “ยังอีก? ถ้าเจ้ามองอีกครั้งข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมา!”
นางตัวสั่นเทิ้ม เม็ดเหงื่อใสผุดขึ้นบนหน้าผาก
อวี๋หวั่นค่อยๆ คลายมือออก “ไปได้แล้ว!”
แม่นางผู้นั้นมองอวี๋หวั่นด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง จากนั้นก็พาน้องสาวของตนออกไป ขณะที่สวนกับอวี๋หวั่น ปลายนิ้วของนางขยับเล็กน้อย
อวี๋หวั่นคล้ายจะไม่รู้ตัว
ขณะที่พวกนางเดินออกไปหน้าประตู แม่นางผู้นั้นก็หันมามองอวี๋หวั่นอีก
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยความรำคาญใจ “จะต้องให้ข้าลงไม้ลงมือใช่ไหม?”
ความตกใจและหวาดกลัวพาดผ่านใบหน้าของนาง นางรีบออกไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
ครานี้อวี๋หวั่นจึงหยิบหนอนพิษตัวน้อยซึ่งตัวสั่นเทิ้มออกมา ใช้หนอนพิษกับเธอหรือ นางคงไม่รู้สินะว่าเธอมีราชันหมื่นสัตว์พิษในครอบครอง
“ว่ากันว่าคนหนานเจียงสิบคนจะรู้วิชาพิษเก้าคน แม้แต่เด็กสามขวบยังใช่หนอนพิษเป็น เดิมทีข้าก็ไม่เชื่อ แต่ ตอนนี้เกรงว่าคงเป็นเรื่องจริง” แม่นางเมื่อครู่ท่าทางอรชรอ้อนแอ้นไร้เรี่ยวแรง ไหนเลยจะรู้ว่าพวกนางมีหนอนพิษอยู่ในตัว โชคดีแค่ไหนที่เป็นเธอ ถ้าเป็นคนอื่น ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
“เมื่อครู่นางใช้วิชาเสน่ห์กับเจ้า” เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“จริงหรือ?” เรื่องนี้อวี๋หวั่นกลับสัมผัสไม่ได้ แต่เมื่อคิดดูแล้ว เมื่อครู่อีกฝ่ายเอาแต่จ้องตาเธอ ที่แท้ก็ไม่ใช่เพียงเพราะเธอหล่อเพียงอย่างเดียวสินะ
เยี่ยนจิ่วเฉาส่ายหน้า เขามีบางอย่างอยากจะพูด แต่สุดท้ายก็มิได้พูดออกมา
ใช้หนอนพิษไม่ได้ วิชาเสน่ห์ก็ใช้ไม่ได้ ผู้ใดมีเรื่องกับนาง คงหัวเสียมิใช่น้อย
เมื่อคิดบางอย่างออก อวี๋หวั่นก็เอ่ยถามว่า “นางก็ใช้วิชาเสน่ห์กับท่านไม่ใช่หรือ? ท่านไม่มองนางเลย เป็นเพราะท่านกลัวว่าจะถูกวิชาเสน่ห์เข้าใช่ไหมละ?”
เยี่ยนจิ่วเฉามองอวี๋หวั่นราวกับมองคนโง่งม จากนั้นก็ให้คำตอบว่า “นางไม่สวย”
อวี๋หวั่น “…”
ใครมีเรื่องกับท่านนี่สิ ถึงจะหัวเสียของจริง…
“คุณชาย ฮู…คุณชายรอง!” จื่อซูเข้ามาในโรงเตี๊ยม แอบคิดในใจว่าเหตุใดตนยังเรียกไม่ชินปากสักที
อวี๋หวั่นหันไปมองแล้วเอ่ยถามว่า “มีอะไร? เจ้าก็มาเข้าห้องน้ำเหมือนกันรึ?”
จื่อซูหน้าแดงก่ำ แล้วตอบว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่เจียงกับพี่ใหญ่ชิงเหยียนทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เช่นนั้นก็ออกเดินทางได้”
เจียงไห่และชิงเหยียนทำหนังสือผ่านทางเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ราคามิใช่ถูกๆ พวกเขาจ่ายเงินไปทั้งสิ้นหนึ่งพันตำลึง นั่นคิดเป็นราคาสิบเท่าของราคาปกติ กระนั้นพวกเขาจำต้องตามหายาถอนพิษอย่างเร่งด่วน ไม่อาจมานั่งคิดมากเรื่องราคาได้
“เฮ้อ หนึ่งพันตำลึงก็หนึ่งพันตำลึงเถิด” นายท่านเยี่ยนผู้ร่ำรวยคงไม่ถึงกับขนหน้าแข้งร่วงหรอก
แม้อวี๋หวั่นจะรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดว่าตอนนี้เธอมีเหมืองแร่ในครอบครองแล้ว ยังต้องคิดเล็กคิดน้อยกับเงินหนึ่งพันตำลึงอีกหรือ?
แต่ละคนรับหนังสือผ่านทางของตนไป จดจำข้อมูลในหนังสือผ่านทาง จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังประตูเมือง
เสมียนที่ร้านหนังสือไม่ได้ขู่ให้พวกเขากลัว การตรวจตราของซีเฉิงนั้นเข้มงวดกว่าแต่ก่อนมาก ผู้ที่ไม่เชื่อและถือหนังสือผ่านทางปลอมล้วนแต่ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ บ้างก็ถูกตรวจค้น บ้างก็ถูกจับเข้าคุก
รถม้าของพวกเขาเคลื่อนมาด้านหน้า เจียงไห่ส่งหนังสือผ่านทางของสามคนให้เจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกเขาถามข้อมูล เจียงไห่และอวี๋หวั่นล้วนแต่ตอบได้ถูกต้องสมบูรณ์
เจ้าหน้าที่โบกมือให้พวกเขาผ่านไป
นอกจากจื่อซูซึ่งกังวลเล็กน้อย ทุกคนล้วนแต่หยิบหนังสือเดินทางออกมาสำแดงอย่างปราศจากท่าทางกระโตกกระตาก จื่อซูรูปโฉมงดงาม พวกเขาจึงคิดว่านางกำลังขวยเขิน และให้นางผ่านทางไปได้
ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
การข้ามแดนนั้นนับว่ายากที่สุด แต่เมื่อผ่านมาได้แล้ว หลังจากนี้ขอเพียงไม่มีเหตุเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น พวกเขาก็จะเดินทางมุ่งหน้าเข้าเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น
ผู้คนต่างโบกไม้โบกมือให้พวกเขาราวกับเห็นเห็ดหลินจือเพลิงและคางคกหิมะ
อย่างไรก็ดี เรื่องไม่คาดฝันกลับบังเกิดขึ้น ขณะที่พวกเขากำลังหาโรงเตี๊ยมอยู่นั้น ก็มีทหารควบม้าไล่ตามมา กระชับบังเหียนหยุดม้าตรงหน้าพวกเขา แล้วกล่าวว่า “มีคนรายงานว่าพวกเจ้าขโมยหนังสือผ่านทาง ไปที่ว่าการกับข้าเดี๋ยวนี้!”
นี่อาจเรียกว่าหายนะโดยแท้ ทหารมิได้คิดจะตรวจสอบที่มาของข้อมูล แต่กลับเชื่อคำพูดลอยๆ ซึ่งปราศจากหลักฐานเสียอย่างนั้น…
“ผู้ใดใจร้ายถึงเพียงนี้?!” ชิงเหยียนกำเชือกในมือแน่น
อวี๋หวั่นเปิดม่านออกไปมองด้านหลังของทหาร ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลออกไป มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ นั่นคือคนกลุ่มนั้นที่มาตอแยกับเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ใช่หรือ?
แม่นางชุดเขียวเห็นอวี๋หวั่นเข้าพอดี นางยิ้มเยาะมาทางอวี๋หวั่น แล้วขยับปากพูดประโยคหนึ่งออกมา
อวี๋หวั่นอ่านปากนางออก
นางพูดว่า ‘พูดกันดีๆ ไม่ชอบ นี่คือจุดจบของพวกเจ้า!’
รถม้าทั้งสามคันไม่ได้เดินทางมาพร้อมกัน แม่นางเหล่านั้นไม่รู้ว่าพวกเขามาด้วยกัน จึงรายงานเพียงรถม้าของอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา เพราะฉะนั้นทหารจึงนำตัวทั้งสองและเจียงไห่ซึ่งเป็นสารถีไป
“อาม่า!” ชิงเหยียนร้องเรียก
ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องพูด ไม่ต้องกลับไป ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฟ้ามืดแล้วค่อยคิดหาวิธี”
ชิงเหยียนเงียบลงทันทีพร้อมกับหยุดความคิดที่จะบุกรถซึ่งคุมขังทั้งสามไป
เยว่โกวยังคงบังคับรถม้าไปอย่างมิได้มีท่าทีหลุกหลิก
จื่อซูนั่งอยู่บนรถม้าของเยว่โกว นางรู้สึกร้อนรนเสียจนเกือบร่ำไห้ออกมา ทว่าฝูหลิงยกมือขึ้นมาปิดปากนางไว้
ในตอนนั้นเอง กระแสลมวูบหนึ่งก็พัดมา ผ้าม่านข้างกายจื่อซูไหวน้อยๆ
“ไอ้หยา ท่านพี่ ดูสิ! นั่นไม่ใช่แม่นางที่เดินอยู่กับพวกเขาหรอกรึ?”
จื่อซูเดินเข้าไปเรียกอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาในโรงเตี๊ยม แม่นางเหล่านั้นซึ่งแอบจับตามองการเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงจำนางได้
สตรีชุดเขียวหรี่ตา “หากเจ้าไม่บอก ข้าก็ลืมไปแล้ว ที่แท้ก็ยังมีปลาที่ลอดแหออกไปได้! คงจะเป็นพวกเดียวกันกระมัง!”
รถม้าของอาม่าและชิงเหยียนก็ถูกนางเห็นเข้าเช่นกัน
ขณะที่แม่นางชุดเขียวกำลังจะไปรายงานเรื่องนี้ ก็มีกองทัพขนาดใหญ่ซึ่งคอยอารักขารถม้าคันหนึ่งเคลื่อนมาจากอีกฟากของถนน
บุรุษบนรถม้าฐานะสูงส่ง แม้แต่เหล่าทหารซึ่งอารักขาประตูเมือง ผู้คนบนท้องถนน รวมไปถึงแม่นางชุดเขียวเองยังต้องคุกเข่าให้ด้วยความเคารพ
“ผู้ใดหรือ?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเพิ่งเข้าเมืองมาเอ่ยถาม
ชายชราซึ่งอยู่ด้านข้างตอบว่า “ก็แม่ทัพเห้อเหลียนน่ะสิ! ”
“แม่ทัพเห้อเหลียนไม่ได้ตายไปแล้วหรือ?” ชายหนุ่มถามต่อ
ชายชราตอบว่า “ไอ้หยา ไม่ใช่แม่ทัพเห้อเหลียนเล็ก นี่แม่ทัพเห้อเหลียนใหญ่ต่างหากเล่า! แม่ทัพเทพแห่งหนานจ้าว…เห้อเหลียนเป่ยหมิง!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิง ประมุขแห่งสกุลเห้อเหลียน เป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งบิดาของเห้อเหลียนฉี เขาคือแม่ทัพผู้ไร้พ่าย คือตำนานแห่งสนามรบเฉกเช่นเซียวเจิ้นถิง มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไรก็คือเขาฝึกวิทยายุทธ์จนธาตุไฟเข้าแทรกเมื่อหลายปีก่อน ปัจจุบันจึงไม่อาจฝึกวิชายุทธ์ได้อีก
เขาไร้ผู้สืบสกุล
เห้อเหลียนฉีจึงกลายเป็นผู้สืบสกุลโดยปริยาย แต่เขากลับด่วนจากไปเสียก่อน หลังจากเห้อเหลียนเป่ยหมิงอายุหนึ่งร้อยปี ตำแหน่งประมุขสกุลเห้อเหลียนจะตกอยู่ในมือของหลานชายของเขา
ว่ากันว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงเดินทางมาซีเฉิงในครั้งนี้ ก็เพื่อรับหลานชายกลับเมืองหลวง
และเป็นเพราะการปรากฏตัวของเขา ซีเฉิงจึงมีการควบคุมอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ
เหล่าทหารจำต้องขวางหน้าพวกอวี๋หวั่นไว้ เพื่อป้องกันการลอบโจมตีแม่ทัพใหญ่
รถม้าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงเคลื่อนผ่านหน้าพวกเขาไป
ชิงเหยียนอายุไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นแม่ทัพใหญ่แห่งหนานจ้าวมาก่อน เขามองออกไปด้วยความสงสัย คงเป็นเพราะเขาโชคดี ม่านของรถม้าถูกลมพัดจนเปิดออก
ไม่รู้ว่าชิงเหยียนรู้สึกไปเองหรืออย่างไร เขารู้สึกว่าใบหน้าด้านข้างนั้นดูคุ้นตาเหลือเกิน
“อาม่า”
เขาอยากให้อาม่าได้เห็น แต่รถม้าก็ได้เคลื่อนผ่านไปเสียแล้ว
…………………………………