หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 177.2 เจ้าตัวน้อยน่าเกรงขาม (2)
อวี๋หวั่นรอชมการแสดงของเขาอย่างใจเย็น
เขาหยิบกระดิ่งทองแดงออกมาค่อยๆ โบก
นั่นคือกระดิ่งควบคุมหนอนพิษ ทุกครั้งที่หนอนพิษได้ยินเสียงกระดิ่ง มันจะอยู่ไม่สุขและเคลื่อนไหวตลอดเวลา ผู้ที่มีหนอนพิษอยู่ในร่างจะรู้สึกประหนึ่งถูกมดนับหมื่นกัดกินหัวใจ เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่
แน่นอนว่าเขาเพียงแต่ต้องการจะสั่งสอนอีกฝ่ายก็เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาสังหารผู้ใด เพราะฉะนั้นเขาจึงสั่นกระดิ่งเบาๆ
แต่ถึงแม้จะสั่นกระดิ่งเบาๆ ก็นับว่าเพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดจนแดดิ้น
ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงก็คือ อย่าว่าแต่แดดิ้นเลย หนังตาของอวี๋หวั่นไม่กระตุกด้วยซ้ำไป
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
เขาจ้องไปยังอวี๋หวั่นด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็มองกระดิ่งในมือของตน แล้วเขย่ามันด้วยแรงที่มากขึ้น
กระนั้นไม่ว่าจะสั่นแรงถึงเพียงใด อวี๋หวั่นก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองแม้แต่น้อย
อวี๋หวั่นหาว “เขย่าพอแล้วหรือยัง? ถ้ายังไม่พอเจ้าก็เขย่าต่อไปแล้วกัน ข้าจะไปนอนรอบนรถม้า”
“เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…” ปรมาจารย์พิษทำตาโตอย่างไม่อยากเชื่อ กระดิ่งของเขาถูกเขย่าจนอีกนิดเดียวคงหักแล้ว เหตุใดหนอนพิษไม่ทำอะไรเลยเล่า?
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ปรมาจารย์พิษสาวเท้าเข้าไปคว้าไหล่อวี๋หวั่นอย่างเกรงใจ
อวี๋หวั่นหันมาโดยสัญชาตญาณ คว้าคอแล้วตวัดเขาลงบนพื้น
เรื่องนี้จะโทษอวี๋หวั่นก็ไม่ได้ ใครให้เขาพุ่งมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงกันเล่า?
ปรมาจารย์พิษร้องโอดโอยอย่างน่าสงสารมาจากทางเดิน
เจียงไห่ ชิงเหยียนและเยว่โกวตกใจเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปรมาจารย์พิษใบหน้าเบี้ยวบูด แล้วร้องเสียงดังลั่น “จับเขาเอาไว้!”
จับใคร? อวี๋หวั่นหรือ? เจ้าสมองกลับไปแล้วกระมัง?
ทั้งสามคนไม่มีใครขยับ
ในตอนนั้นปรมาจารย์พิษจึงนึกขึ้นได้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกัน เจ้าเด็กคนนี้เป็นคนในครอบครัวของผู้คุ้มกันสินค้าของเขา คิดจะรวมหัวกันรังแกเขาใช่ไหมเล่า? ได้ เขาจะแสดงความเก่งกาจให้พวกเขาดูสักครา!
ปรมาจารย์พิษท่องมนต์ หยิบกระดิ่งออกมา แล้วกระโดดอยู่กับที่
หนอนพิษทั้งหมดเอ๋ย จงตื่นขึ้นบัดเดี๋ยวนี้!
ทั้งสามคนมองเขาด้วยความตะลึงงัน
เจียงไห่กระซิบว่า “เขาเป็นอะไร? ถูกคุณชายอวี๋ฟาดจนเสียสติไปแล้วรึ?”
ปรมาจารย์พิษ: เจ้าน่ะสิเสียสติ! พวกเจ้าทั้งหมดล้วนเสียสติ!
เขากระโดดไปเรื่อยๆ กระโดดจนหน้าแดงตาเหลือก ชุยเฒ่าได้ยินเขาทำเสียงดัง เขาเดินมาพร้อมกับกัดเนื้อแพะ แล้วกล่าวอย่างหมดความอดทนว่า “ยังเช้าอยู่พวกเจ้าเอะอะโวยวายอะไรกัน! อยู่เงียบๆ ไม่ได้รึไง!”
ปรมาจารย์พิษกำลังเป็นบ้าจริงๆ แล้ว!
คนอายุน้อยเหล่านี้ทนต่อหนอนพิษของเขายังพอเข้าใจได้ ทว่าแม้แต่คนแก่ใกล้ลงโลงอย่างนี้ก็ไม่เป็นไรรึ?
“ชิ” ชุยเฒ่ากลอกตาแล้วเดินกลับห้องไป
พวกเจียงไห่ส่งสายตาเวทนาให้ปรมาจารย์พิษ จากนั้นก็แยกย้ายไปเก็บของ
ปรมาจารย์พิษมีสารถีคนหนึ่ง เป็นผู้ที่ติดตามเขามาตลอด เขาเข้ามาแล้วบอกว่า “ปรมาจารย์ขอรับ ต้องออกเดินทางแล้ว”
ปรมาจารย์พิษกัดฟัน บอกว่า “เจ้าบอกให้พวกเขารอ ข้าจะไปที่หนึ่งก่อน”
“ขอรับ”
ปรมาจารย์พิษเป็นผู้ว่าจ้าง เขาบอกให้รอ พวกเขาก็ต้องรอ เรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพวกเขาจะหนีไป อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่มีหนังสือผ่านทาง จะหนีไปไหนได้?
ปรมาจารย์พิษไปพบคนที่โรงเตี๊ยมอีกแห่งหนึ่ง คนผู้นั้นก็คือบุรุษที่ถูกตาต้องใจจื่อซูบนถนนนั่นเอง
บุรุษผู้นี้มีชื่อว่าเฟ่ยหลัว เป็นปรมาจารย์พิษอันดับหนึ่งเมืองอู เขานับว่ามีชื่อเสียงมาก เฟ่ยหลัวนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ว่าจ้างพวกเจียงไห่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีปรมาจารย์พิษระดับสูงที่แข็งแกร่งกว่าเฟ่ยหลัวอีกไม่รู้เท่าไร
ต่างกันเพียงคำเดียว แต่ความแข็งแกร่งนั้นต่างราวฟ้ากับดิน
มีเพียงปรมาจารย์พิษระดับสูงเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นแขกของราชวงศ์
“ใต้เท้าเฟ่ยหลัว” ปรมาจารย์พิษคำนับ
ดวงตาเรียวราวกับนกเฟิ่งหวงของเฟ่ยหลัวหรี่ลง “คนเล่า?”
ปรมาจารย์พิษรู้สึกละอายใจ “พวกเขาไม่ยินดีจะขายให้”
เฟ่ยหลัวแค่นเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูกแล้วกล่าวว่า “เป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง พวกเขายังไม่ยอมขายให้อีกรึ? เจ้าพูดกับพวกเขาอย่างจริงจังแล้วใช่หรือไม่? จะเรียกราคาเท่าไหร่ก็ได้”
“พวกเขามิได้ขาดแคลนเงิน” ปรมาจารย์พิษบอก
“อ้อ?” เฟ่ยหลัวเลิกคิ้ว “เจ้าได้บอกพวกเขาหรือไม่ว่าข้าเป็นปรมาจารย์พิษของจวนประมุขหญิง?”
ปรมาจารย์พิษตอบด้วยความสับสน “ข้าบอกแล้ว ข้าลงมือจัดการพวกเขาแล้วด้วย แต่…หนอนพิษของข้าคล้ายกับจะทำอะไรไม่ได้ไร ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
เฟ่ยหลัวหัวเราะถากถาง “จะเป็นอะไรไปได้ เจ้าเจอกับปรมาจารย์พิษที่เก่งกว่าเข้าแล้วน่ะสิ”
ปรมาจารย์พิษส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีใครในพวกเขาที่เป็นปรมาจารย์พิษ” ถ้าหากมีละก็คงไม่มาเป็นผู้คุ้มกันให้เขาเพียงเพื่อหนังสือผ่านทางหรอก
เฟ่ยหลัวครุ่นคิด แล้วบอกว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเขามีราชันสัตว์พิษในครอบครอง หนอนพิษของพวกเจ้าจึงถูกกดเอาไว้”
“เรื่องนั้น…”
“เดิมทีข้าต้องการเพียงสาวใช้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะได้มาพบกับราชันสัตว์พิษอีกด้วย” เฟ่ยหลัวโบกขวดมรกตโปร่งแสงในมือ “ลูกรักของข้าไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ข้าควรจะหาของอร่อยให้มันกินบ้างแล้ว”
ทันทีที่ปรมาจารย์พิษเห็นขวดมรกตนั้น เขาก็ตกตะลึง
หากเขาไม่ได้มองผิดไป ในขวดนั้นมีคางคกทองพิษ!
ราชันสัตว์พิษที่เก่งกาจในสุดที่เขาเคยเห็นในชีวิตก็คือหนอนไหมทองพิษ แต่ต่อให้เก่งกาจเท่าใดก็เป็นเพียงราชันร้อยสัตว์พิษ ทว่าคางคกทองพิษนั้นไม่เหมือนกัน มันแทบเทียบชั้นกับราชันหมื่นสัตว์พิษได้เลยทีเดียว!
เฟ่ยหลัวมีสัตว์พิษที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ในครอบครอง เขาคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ประจบประแจงคนผู้นี้
ปรมาจารย์พิษคุกเข่าลงทันที “ใต้เท้าเฟ่ยหลัวต้องการให้ข้าทำอะไร ได้โปรดบอกมาเถิดขอรับ ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็จะไปทำให้! ”
ทางด้านอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ต่างก็เก็บของขึ้นรถม้ารอออกเดินทาง แต่รออยู่นานปรมาจารย์พิษก็ยังไม่มา แต่ละคนก็เริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี
ขณะที่เจียงไห่กำลังจะออกตามหาเขานั้นเอง ปรมาจารย์พิษก็ปรากฏตัวพร้อมกับสีหน้าเปี่ยมความมั่นใจ
ปรมาจารย์พิษเหลือบมองรถม้าของอวี๋หวั่น แล้วกล่าวด้วยความเย่อหยิ่งว่า “เตรียมตัวกันแล้วก็ออกเดินทางได้ เราต้องเดินทางให้ถึงเมืองหลิ่วก่อนตะวันตกดิน ไม่เช่นนั้นก็คงต้องค้างแรมข้างนอก”
พรึ่บ!
อวี๋หวั่นดึงม่านลง
คิดซะว่าเขากำลังผายลม
ปรมาจารย์พิษมุมปากกระตุก
อีกไม่นานใต้เท้าเฟ่ยหลัวก็จะลงมือแล้ว ข้าจะรอดูว่าเจ้ายังจะโอหังเช่นนี้ได้อีกหรือไม่!
“พระชายา…” จื่อซูมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยความกังวล นางรู้ดีว่าตนสร้างเรื่องเสียแล้ว นางไม่ควรจับหัวขโมย สุดท้ายก็มาเจอกับคนบ้ากาม ยิ่งไปกว่านั้นคนบ้ากามคนนั้นกลับเก่งกาจ เก่งกาจกว่าผู้ว่าจ้างพวกเขาเสียอีก และตอนนี้ก็เป็นเพราะว่าฮูหยินไม่ยอมขายนาง ผู้ว่าจ้างจึงโมโห…
อวี๋หวั่นเหลือบมองจื่อซู กล่าวว่า “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่ต้องคิดมาก อีกอย่างข้าก็ไม่มีทางยกเจ้าให้ใครหรอก นอกเสียจากว่าเจ้าอยากไป”
จื่อซูคุกเข่าลง “บ่าวไม่อยากไปเจ้าค่ะ! บ่าวจะรับใช้พระชายาไปตลอดชีวิต!”
“ย่อมได้” อวี๋หวั่นมองออกไปนอกผ้าม่าน “เจ้าไปเถอะ”
จื่อซูได้สติ หลังจากที่จัดอาหารใส่จานแล้ว นางก็ลงจากรถม้า แล้วไปนั่งบนรถม้าของตนกับฝูหลิง
รถม้าเคลื่อนไปทางทิศใต้
ครึ่งวันเช้า ปรมาจารย์พิษง่วนอยู่กับการบอกให้สารถีเร่งความเร็วของรถม้า เพื่อจะได้เข้าเมืองทัน แต่ครึ่งวันบ่ายเขากลับปวดท้องกะทันหัน รถม้าจึงต้องหยุดลง และสุดท้ายก็ไปไม่ทันเวลาปิดประตูเมือง