หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 190 ตำแหน่งของยา
หลังจากกลับมายังเรือน ฮูหยินผู้เฒ่ารีบเชิญหมอมาทันที เพื่อให้ตรวจร่างกายของหลานชายสุดที่รัก และดูว่ามีส่วนใดที่ถูกพวกเด็กนั่นทำร้ายจนบาดเจ็บภายในหรือไม่
แม้แต่บาดเจ็บภายในนางก็ยังรู้ อวี๋หวั่นรู้สึกว่าอาการป่วยของนางยังไม่นับว่าแย่สักทีเดียว แต่เมื่อคิดเช่นนี้ น่าจะแย่จริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช้เพียงใบหน้างามล่มเมืองของเยี่ยนจิ่วเฉามาตัดสินว่าเขาเป็นหลานสุดที่รักของตน
การแสดงออกของคนบ้าและคนปกตินั้นไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น อวี๋หวั่นสังเกตเห็นอาการบาดเจ็บของเห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิง แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับสามารถเลือกที่จะไม่มองและไม่ฟัง จิตใจของนางจดจำเพียงสิ่งที่นางจดจำ
หมอมาถึงแล้ว
นั่นก็คือชุยเฒ่า
คุณชายผู้นี้ไปที่ใด ไหนเลยจะไม่ลงไม้ลงมือกับคนอื่นจนยับเยิน ตัวเองเคยโดนอะไรที่ไหนกันเล่า?
ชุยเฒ่าทำท่าทำทางเป็นจับชีพจร เมื่อตรวจเรียบร้อยแล้ว ก็บอกกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “คุณชายไม่เป็นอะไรมากขอรับ”
ฮูหยินหน้าเปลี่ยนสี “แล้วที่เป็นน้อยเล่า?”
ชุยเฒ่า “…ที่เป็นน้อยก็ไม่มีขอรับ ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดวางใจ”
เขาเพียงแต่โดนพิษไป๋หลี่เซียง จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้
ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่อาจวางไว้ จึงให้คนไปหยิบจินซวงที่ดีที่สุดมา แล้วทาไปทามาบนมือของเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่สองรอบ สำหรับนางแล้ว เจ้าเด็กสองคนนั้นถูกหลานชายของนางเล่นงานจนยับเยิน เช่นนั้นก็ต้องจัดการให้หนัก ก็อยากมาทำร้ายหลานชายสุดที่รักของนางเองนี่นา
อวี๋หวั่น “…”
ตอนนี้ท่านจำได้แล้วใช่ไหมว่าเห้อเหลียนเฉิงและเห้อเหลียนอวี่ก็บาดเจ็บ?
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เพียงทายาให้หลานชาย ยังพันผ้าพันแผลให้อีกด้วย นางบอกกับอวี๋หวั่นด้วยความภาคภูมิใจว่า “ตอนที่ท่านปู่กับลุงใหญ่ของพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บมาจากสนามรบ ข้าก็เป็นคนพันแผลให้”
อวี๋หวั่นมองไปยังมือของเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งบัดนี้ได้ถูกพันจนดูเหมือนบะจ่างลูกโต เอ…แน่ใจหรือว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บแล้วท่านทำแผลให้ หรือว่าเป็นเพราะท่านพันแผล พวกเขาถึงบาดเจ็บกันแน่?
หลังจากที่ฮูหยินจัดการ ‘บาดแผล’ ของเยี่ยนจิ่วเฉาเรียบร้อย ก็สั่งสอนสาวใช้ซึ่งเฝ้าอยู่ และหนีไม่พ้นเรื่องที่หลานชายของนางตื่นแล้วไม่ยอมเรียกนาง เขาเพิ่งมาถึง คนในจวนยังไม่ค่อยรู้จักเขา จึงทำให้เขาต้องเจ็บช้ำน้ำใจ
สาวใช้คิดในใจว่า ท่านไม่รู้หรืออย่างไรว่าท่านอารมณ์ร้ายขนาดไหนหลังจากตื่นนอน?
ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นเสียงขึ้นจมูก “ต่อไปถ้าหลานข้าตื่นแล้ว พวกเจ้าต้องเรียกข้า!”
“…เจ้าค่ะ” สาวใช้ฝืนใจตอบ
คิ้วของฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งขมวดเป็นปมจึงค่อยๆ คลายลง นางคว้าแขนของเยี่ยนจิ้วเฉา “นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าพักผ่อนเถิด เจ้าชอบอะไร พรุ่งนี้ย่าจะทำมาให้เจ้า!”
อวี๋หวั่นยังคิดเสียอีกว่าประโยคสุดท้ายคือประโยคคำถาม เช้าวันต่อมา เธอเดินออกมาจากชีสยาย่วน ก็เห็นเรือนเพาะชำดอกไม้ที่ฮูหยินผู้เฒ่าสร้างขึ้นในชั่วข้ามคืน จึงได้รู้ว่าสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวคือประโยคบอกเล่า
สถานที่แรกในจวนที่เยี่ยนจิ่วเฉาไปก็คือเรือนเพาะชำ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคิดว่าเขาชอบดอกไม้ จึงให้คนสร้างเรือนเพาะชำภายในคืนเดียว ทั้งยังสวยงามและโอ่โถงกว่าเรือนเพาะชำที่จวนตะวันตกและตะวันออกใช้ร่วมกันเสียอีก
“เมื่อคืนข้าหมดสติไปหรืออย่างไร?” อวี๋หวั่นถามด้วยความงุนงง ชีสยาย่วนอยู่ไม่ไกล เสียงดังขนาดนั้น ทำไมเธอไม่ได้ยินแม้แต่นิดเดียว?
ชิงเหยียนเดินมา ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตอบว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงสร้าง ห้ามมีเสียงดังแม้แต่น้อย หากมีเสียงดังจนหลานรักของนางตื่น นางจะโกรธ”
เพราะฉะนั้น เห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงเรียกหน่วยกล้าตายหน้ากากทองในสังกัดมาสร้างเรือนเพาะชำแห่งนี้ อย่างไรเสียก็มีเพียงยอดฝีมือระดับนี้ที่สามารถทำได้
อวี๋หวั่นจินตนาการภาพหน่วยกล้าตายที่เก่งกาจต้องมาใช้แรงงาน ทำงานไม้ ปูกระเบื้อง มุมปากเธอก็กระตุกและรู้สึกอยากจะเป็นลม…
ในอดีตมีโยวโจวอ๋องจุดคบไฟหยอกล้อเจ้าครองแคว้น ตอนนี้มีฮูหยินผู้เฒ่าเอาใจหลานจนเกินเหตุ
อวี๋หวั่นต้มยาเสร็จก็จะนำไปให้สามีของตนดื่ม เขาตื่นพอดี มือซึ่งถูกพันเป็นบะจ่างนั้นทำอะไรก็ไม่สะดวก อวี๋
หวั่นจึงวางชามลง หยิบเสื้อผ้ามาให้เขาใส่ คาดเข็มขัดให้เขาแล้วพูดว่า “ให้แกะออกไหม? อย่างนี้ไม่สะดวกเอาเสียเลย”
“ไม่แกะ” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
มือของอวี๋หวั่นซึ่งกำลังคาดเข็มขัดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วมองเขาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ชอบฮูหยินผู้เฒ่าสินะ?”
เยี่ยนจิ่วเฉา “…เช่นนั้นก็แกะออกเถอะ”
อวี๋หวั่นหลุดหัวเราะ
เดิมทีอวี๋หวั่นก็นึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดเห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงต้องหาคนมาปลอมเป็นหลานเพื่อปลอบฮูหยินผู้เฒ่า ในตอนนี้เธอเริ่มจะเข้าใจแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าดูมีความสุขเหลือเกิน ราวกับมีแสงสว่างในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาแม้จะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากเท่าฮูหยินผู้เฒ่า แต่การได้รับความรักความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ ก็ไม่นับว่าแย่เสียทีเดียว
เขาและฮูหยินผู้เฒ่าล้วนแต่อับโชค แต่พวกเขาโชคดีที่ได้พบกัน
อาหารเช้าถูกจัดไว้ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า
เยี่ยนจิ่วเฉาแกะผ้าพันแผลออกเพราะความรำคาญ แต่สุดท้ายฮูหยินผู้เฒ่าก็หยิบผ้าพันแผลมาพันให้เขาใหม่
เยี่ยนจิ่วเฉามักจะระเบิดโทสะเมื่อไรก็ได้ราวกับลูกสิงโตงอแง แต่เขาไม่ได้ระเบิดโทสะเลยแม้แต่น้อย
อวี๋หวั่นยิ้มพลางมองไปยังสองย่าหลาน “ท่านย่า ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย ฝากท่านย่าดูสามีข้าหน่อยนะเจ้าคะ”
ปล่อยให้เยี่ยนจิ่วเฉาอยู่กับนาง เธอก็วางใจ
“เจ้าไปเถอะ หลานข้าข้าก็ต้องดูแลอยู่แล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้รั้งอวี๋หวั่นให้อยู่ที่จวน และไม่ได้ละลาบละล้วงเรื่องของเธอ เรื่องนี้นับว่านางค่อนข้างเปิดกว้างเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าผู้แก่ทั่วไป
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นข้ากลับมาเมื่อไหร่จะซื้อถังหูลู่มาฝากท่านด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่านัยน์ตาเป็นประกายวูบหนึ่ง นางตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ขะ…ขะ…ข้าไม่กินหรอก!”
ซู้ด~
กลืนน้ำลาย
อวี๋หวั่นเดินยิ้มร่าออกไป
เยว่โกวอยู่ในจวน ส่วนชิงเหยียนลากรถม้าออกมา และเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมวั่งเจียงซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหอตี้อี
ค่าครองชีพในเมืองหลวงแห่งหนานจ้าวสูงกว่าในต้าโจวเสียอีก ห้องธรรมดาในโรงเตี๊ยมห้องหนึ่งมีถึงสามตำลึง แต่เพื่อที่จะสังเกตจับตาดูการเคลื่อนไหวของหอตี้อี เจียงไห่จำต้องเช่าห้องซึ่งมีทัศนียภาพดีที่สุด ราคาสิบตำลึงต่อคืน
สิบตำลึง ก็เท่ากับหนึ่งหมื่นหยวน หากเป็นในยุคปัจจุบันก็คงพักในโรงแรมหลายดาวได้เลย
แต่เธอไม่กลัวหรอก ที่บ้านมีเหมือง
เมื่อคิดเช่นนี้ อวี๋หวั่นก็ไม่รู้สึกปวดใจอีกต่อไป
เจียงไห่เชิญอวี๋หวั่นเข้าไปในห้อง เขาเหลือบตามองชิงเหยียน แล้วเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ทำไมเจ้าก็
มาด้วย?”
ชิงเหยียนหัวเราะ ‘เหอะๆ ’ แล้วก็บอกไปว่า “ถ้าข้าไม่มา แล้วใครจะขับรถม้า?”
เจียงไห่ชะงักไป
เจ้านี่ อยากจะยึดอาหวั่นไว้คนเดียวรึ ฝันไปเถอะ!
“เจ้าไม่ชอบชิงเหยียนหรือ?” หลังจากที่เข้ามาในห้อง อวี๋หวั่นก็กระซิบถามเจียงไห่
อวี๋หวั่นไม่รอให้เจียงไห่ตอบ เธอพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นครั้งหน้าข้าจะพาเยว่โกวมา?”
เจียงไห่ถอนหายใจ “…ไม่ต้องหรอกขอรับ เหมือนกันนั่นแหละ”
“อ้อ” อวี๋หวั่นไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรต่อ เธอจึงเดินไปหาที่นั่งข้างหน้าต่าง หน้าต่างออกแบบได้วิจิตรบรรจง คล้ายคลึงกับหน้าต่างบานเกล็ดในยุคปัจจุบัน ปรับมุมของหน้าต่างเพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถมองเห็นด้านนอกได้ และหากมองจากด้านนอกก็จะไม่เห็นในห้อง
อวี๋หวั่นคิดว่าห้องนี้ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับแอบมองสาวงามจากหอตี้อี มิน่าเล่าจึงมีราคาถึงสิบตำลึง
เจียงไห่รินชาให้อวี๋หวั่น
ชิงเหยียนมองเจียงไห่
เจียงไห่กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เทเอง!”
ชิงเหยียนส่ายหน้าน้อยๆ แล้วรินชาให้ตนเอง
“ต่งเซียนเอ๋อร์มีการเคลื่อนไหวไหม?” อวี๋หวั่นถาม
เจียงไห่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอวี๋หวั่น แล้วมองไปยังหอตี้อี กล่าวว่า “ไม่มีขอรับ วันที่ต่งเซียนเอ๋อร์ไม่ได้รับแขกก็จะอยู่แต่ในห้อง มีแขกสองคนบอกว่าอยากพบนาง แต่ก็ถูกปฏิเสธ”
“ข้าจะพบแม่นางต่ง!”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน ก็มีเสียงดังเอะอะมาจากหน้าประตูใหญ่ของหอตี้อี ทั้งสามคนหันไปพร้อมกัน ก็เห็นบุรุษสวมชุดสีดำและหมวกสานคนหนึ่งยืนเท้าเอวอยู่ด้านหน้าหอตี้อี ท่าทางของเขาดูหยิ่งยโสเหลือเกิน
“นั่นคือ…ปรมาจารย์พิษ?” อวี๋หวั่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชุดของพวกเขาเหมือนกับบัณฑิตในต้าโจว เพียงแต่ปรมาจารย์พิษในหนานจ้าวสวมหมวกสาน ทำให้ระบุสถานะของพวกเขาได้ง่าย แน่นอนว่าก็ยังมีกลุ่มที่ติดดิน ชอบสวมเสื้อผ้าเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
แม่นางต่งรับแขกทุกวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือน หากจะมีข้อยกเว้น ย่อมต้องเป็นปรมาจารย์พิษ
สีหน้าของอวี๋หวั่นเปลี่ยนไป ราวกับไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“เอะอะอะไรกัน?” แม่เล้าซึ่งแต่งหน้าเข้มเดินออกมา
นางเจรจากับปรมาจารย์พิษอยู่ครู่หนึ่ง บนถนนนั้นเสียงอึกทึกครึกโครม เสียงของผู้คนก็ดังอื้ออึง อวี๋หวั่นได้ยินไม่ชัดว่าทั้งสองคุยอะไรกัน เพียงแต่ปรมาจารย์พิษคนนั้นถูกแม่เล้าเรียกคนมาลากตัวไป
อวี๋หวั่นถอนหายใจ “ดูแล้วคงไม่ใช่ปรมาจารย์พิษทุกคนที่สามารถเข้าพบแม่นางต่งได้”
เจียงไห่เอ่ยขึ้นว่า “อย่างน้อยต้องเป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูง”
อวี๋หวั่นอึ้งไปชั่วขณะ
ระหว่างทางมาที่นี่ได้พบกับปรมาจารย์พิษถึงสองคน อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจความสามารถของพวกเขาเท่าไรนัก ในตอนนี้เมื่อเจียงไห่พูดถึง เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามต่อสักหน่อย จึงได้รู้ว่าปรมาจารย์พิษต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ใบประกอบวิชาชีพปรมาจารย์พิษ…ไม่สิ ป้ายหยก ล้วนแต่ต้องใช้ความสามารถในการสอบ มีการแบ่งระดับเป็นปรมาจารย์พิษและปรมาจารย์พิษขั้นสูง ปรมาจารย์พิษที่พวกเขาพบระหว่างทางทั้งเจ้างั่งอวี๋และเฟ่ยหลัวล้วนแต่เป็นปรมาจารย์พิษทั่วไป ปรมาจารย์พิษนั้นมักจะทำงานให้ชนชั้นสูงหรือราชวงศ์ พวกเขาไม่มีทางย่างกรายเข้ามาในหอคณิกาเพียงเพื่อตัวยาเพียงชนิดเดียวอย่างแน่นอน
อวี๋หวั่นลูบคาง “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเห็ดหลินจือเพลิงยังอยู่รอดปลอดภัยดี”
จะไม่อยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร? ปรมาจารย์พิษแม่นางต่งก็ไม่ยี่หระ ปรมาจารย์พิษขั้นสูงก็หาไม่ได้
ทุกคนล้วนได้แต่รอศึกในวันที่สิบห้าเหมือนกัน หากต้องแข่งเรื่องความร่ำรวย ครอบครัวของอวี๋หวั่นนั้นมีเหมืองในครอบครอง หากแข่งเรื่องสติปัญญา เธอกับชิงเหยียนก็ไม่ได้ด้อยกว่าใคร หากแข่งเรื่องวรยุทธ์ ก็ยังมีเจียงไห่…
สรุปแล้วเธอต้องนำเห็ดหลินจือเพลิงมาให้ได้ ไม่มีผู้ใดขวางเธอได้ พระขวางก็ฆ่าพระ เทพขวางก็ฆ่าเทพ!
อวี๋หวั่นนั่งอยู่ในห้องของเจียงไห่อีกครู่หนึ่งก็กลับไป เธอไม่ลืมเรื่องที่สัญญากับฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ จึงไปยังร้านขายถังหูลู่ เพื่อซื้อถังหูลู่ไม้ใหญ่เคลือบน้ำตาลจนดูมันวาวมาสามสี่ไม้ จากนั้นก็เดินทางกลับจวนอย่างสบายอารมณ์
อีกด้านหนึ่ง ในหอบรรพบุรุษซึ่งใช้สำหรับบูชาป้ายวิญญาณของคนสกุลเห้อเหลียน เห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงกำลังแอบย่องออกมา
“คุณชายขอรับ!”
บ่าวซึ่งคอยเฝ้าอยู่ด้านหน้ามาขวางพวกเขาเอาไว้ด้วยท่าทางร้อนรน
“มีอะไร?” เห้อเหลียนเฉิงถามด้วยความรำคาญ
บ่าวเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจว่า “ท่านอย่าออกมาได้ไหมขอรับ? หากฮูหยินรองรู้เข้า ข้าตายแน่!”
เห้อเหลียนเฉิงตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าไม่พูด แล้วใครจะรู้? ประเดี๋ยวข้ากับพี่รองก็กลับมา”
หลานชายของฮูหยินผู้เฒ่าจะกลับมาแล้ว ตามหลักเขาก็ควรจะเปลี่ยนไปเรียกว่าพี่สาม กระนั้นเขาก็รู้สึกไม่ชิน แล้วก็ไม่อยากเปลี่ยนด้วย
เห้อเหลียนอวี่ดึงแขนเสื้อน้องชาย “อย่าพูดมาก ไปกันเถอะ!”
เห้อเหลียนเฉิงหันหน้าไปถลึงตาใส่บ่าว “ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด! ห้ามไปฟ้องท่านแม่ข้า! ไม่เช่นนั้นข้าไล่เจ้าออกจากจวนแน่!”
บ่าวรับคำอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“พี่รอง ข้าดูน่าเกลียดหรือไม่?” เห้อเหลียนเฉิงหันไปหาเห้อเหลียนอวี่พลางชี้ไปยังใบหน้าของตนเอง เมื่อวานถูกอาวุธลับของเยี่ยนจิ่วเฉาอัดจนน่วม ทั้งสองหน้าบวมราวกับหัวหมูแม้ว่าจะใช้ตำรับยาลับที่ดีที่สุดของหนานจ้าว จมูกและตาก็ของพวกเขาก็ยังบวมอยู่บ้าง
เห้อเหลียนอวี่ก็ไม่ได้ดีไปกว่าน้องชายเท่าไรนัก เขาขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ยังไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก เป็นห่วงว่าองค์หญิงน้อยรอนานหรือไม่จะดีกว่า”