หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 192 ลุงใหญ่จอมตามใจ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงบอกว่า “ข้าไม่กิน”
จิ้งจอกหิมะน้อย “ฮึ่มมม”
แต่ข้ากินนะ!
จิ้งจอกหิมะน้อยตะกุยทั้งสี่ขา น้ำลายสอ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองไปยังเจ้าตัวน้อยซึ่งอยู่ไม่สุข จึงจำใจรับถังหูลู่ไม้นั้นมา
“ฮึ่ม!” ลูกจิ้งจอกหิมะไม่รีรอพุ่งเข้าไป กอดถังหูลู่ซึ่งยาวกว่าลำตัวของมันเสียอีก แล้วกินเสียงดัง ‘กร้วมๆ’ อย่างเอร็ดอร่อย
อีกด้านหนึ่ง เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ม้วนภาพเขียนและเก็บใส่ไว้ในตระกร้าบนโต๊ะแล้ว เมื่อมองโดยรวมแล้ว ม้วนภาพเหล่านี้ดูเหมือนกันไปหมด แต่ไม่รู้ว่าทำไม อวี๋หวั่นถึงรู้สึกว่าภาพวาดของเด็กหนุ่มคนนั้นจึงดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
“มีอะไรอีกไหม?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงถาม
“ไม่มีเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นหลุบตา “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
“อืม” เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้าน้อยๆ
อวี๋หวั่นรู้สึกงุนงง แค่นี้หรือ? จะไม่ถามเรื่องที่จวนฝั่งตะวันออกสักหน่อยหรือ? อย่างไรเสียพวกเขาสองสามีภรรยาก็รังแกนางหลี่และลูกๆ จนเป็นเช่นนั้น หากเป็นลูกหลานในไส้ก็ว่าไปอย่าง แต่พวกเขาเป็นตัวปลอม เขาจะไม่โมโห จะไม่ดุด่าว่ากล่าวพวกเขา หรือตักเตือนว่าอย่าได้ไปมีเรื่องกับจวนตะวันออกสักหน่อยหรือ?
แน่นอนว่าอวี๋หวั่นก็ยังงงไม่หาย แต่ก็ไม่ถึงกับหาเรื่องใส่ตัว ไปเตือนความจำเขา
อวี๋หวั่นสัมผัสได้ว่าตนกำลังยืนอยู่บนกฎข้อหนึ่ง นั่นก็คือตราบใดที่ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุข ฟ้าจะถล่มดินจะทลายอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ นอกจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างจวนตะวันตกและตะวันออกก็ไม่ได้ดีอย่างที่เห็นภายนอก
ใครสนละ เธอไม่ใช่สะใภ้ของสกุลเห้อเหลียนจริงๆ สักหน่อย รอให้ได้ตัวยามาก่อน พวกเขาก็จะไปจากหนานจ้าวแล้ว
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่เมื่อกลับไปชีสยาย่วน เธอก็นึกถึงเรื่องของครอบครัวของเห้อเหลียนเป่ยหมิงขึ้นมา
“อาม่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับลูกชายของแม่ทัพใหญ่หรือ?”
อาม่ากำลังอ่านคัมภีร์ตรีอักษรอยู่ในห้อง ในตอนที่อวี๋หวั่นเข้าไป เขาก็กำลังเก็บบทเรียนซึ่งเตรียมไปได้ครึ่งเดียวกลับเข้าลิ้นชัก
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่ง
อวี๋หวั่นไม่เห็นบทเรียนเรื่องคัมภีร์ตรีอักษรที่เขาเตรียมไว้ เธอเข้าไปนั่งข้างเขาแล้วพูดว่า “ลูกชายของแม่ทัพใหญ่เห้อเหลียนถูกไล่ออกจากบ้านไม่ใช่หรือ? เขาทำอะไรผิด?”
ชายชราตอบว่า “ว่ากันว่าเขาทำคนตาย”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด “ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้เชื่อไม่ได้กันนะ? คนอย่างเห้อเหลียนเป่ยหมิงจะเลี้ยงลูกมาให้ไปฆ่าคนบริสุทธิ์ง่ายๆ หรือ? ถ้าหากไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ เช่นนั้นฆ่าเขาตายก็คงไม่ถึงกับต้องถูกไล่ออกจากบ้านนี่ ฮูหยินผู้เฒ่านี่สิไล่เขาออกจากบ้านไป ต้องมีความแค้นฝังใจเท่าไรกัน”
“ฮ่า เรื่องนี้พวกเจ้าคงไม่รู้กระมัง” ชุยเฒ่าเดินเข้ามาพลางกัดหัวผัดกาด
ชิงเหยียนและเยว่โกวกำลังเก็บของ เมื่อได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะรีบมาฟังด้วย
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ ดูแล้วคนที่สงสัยในตัวเห้อเหลียนเป่ยหมิงคงไม่ได้มีแค่เธอสินะ
ชุยเฒ่าตามเยี่ยนจิ่วเฉาไปพักที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า เห็นว่าเขาเป็นบุรุษมีอายุเช่นนี้ แต่เขาชื่นชอบฟังเรื่องซุบซิบนินทาเป็นที่สุด ไปๆ มาๆ ก็ฟังได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง
สิ่งที่อวี๋หวั่นคาดเดานั้นถูกต้อง เห้อเหลียนเซิงลูกชายของเห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่ได้ถูกไล่ออกจากบ้านเพราะไปฆ่าคนตาย แต่เขาถูกสืบได้ว่าไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ชุยเฒ่ากล่าวว่า “เรื่องนี้นางถานยอมรับด้วยตนเอง นางบอกว่าไม่ใช่ลูกของเห้อเหลียนเป่ยหมิง ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเสียจนเกือบฆ่าสองแม่ลูกเชียวละ”
อวี๋หวั่นเข้าใจทันที “ข้าว่า ฮูหยินผู้เฒ่ารักลูกรักหลานมาก จะไปทำเรื่องโหดร้ายอย่างนั้นกับหลานในไส้ได้อย่างไร?” ดูตัวอย่างเยี่ยนจิ่วเฉาก็รู้แล้ว ขอเพียงนางยอมรับว่าเป็นหลาน ต่อให้โผล่มาจากหลุมไหนก็ไม่รู้ นางก็ยังดูแลอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
อวี๋หวั่นพูดต่อ “หลังจากนั้นละ? ประกาศออกไปว่าเห้อเหลียนเซิงฆ่าคนตายเพราะกลัวคนจะรู้ความจริงหรือ?”
ชุยเฒ่ากัดหัวผักกาดต่อ “ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไร? บอกไปว่าเห้อเหลียนเป่ยหมิงถูกสวมเขาหรือ? สกุลเห้อเหลียนได้ถูกคนทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะน่ะสิไม่ว่า”
อวี๋หวั่นพึมพำว่า “นางถานปลงผมออกบวชไม่ใช่เพราะโมโหที่สกุลเห้อเหลียนไล่เห้อเหลียนเซิงออกไป แต่เป็นเพราะฮูหยินผู้เฒ่าส่งนางไปสำนักแม่ชี?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” ชุยเฒ่าเดาะลิ้น
“จวนตะวันตกรู้ไหม?” อวี๋หวั่นถาม
ชุยเฒ่ายักไหล่ “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
อวี๋หวั่นลูบคาง “ข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของจวนตะวันตกกับตะวันออกไม่ได้ดีอย่างที่คนอื่นคิด นายท่านจวนตะวันตกนั่น สายตาดูน่ากลัวอย่างกับงูพิษ”
ชุยเฒ่าเคาะโต๊ะ “เอาเถอะ อย่าเพิ่งใส่ใจเรื่องยุ่งยากของสกุลเห้อเหลียนเลย ไปหาตัวยาสำคัญกว่า สามีของเจ้าไม่ได้สบายดีอย่างที่เห็นภายนอกหรอกนะ”
อวี๋หวั่นนัยน์ตากระตุกวูบหนึ่ง “เขา…”
ชุยเฒ่าถอนหายใจ “เขากำลังทรมาน เพียงแต่เขาไม่ได้พูดออกมา”
โดนพิษไป๋หลี่เซียงเข้าไป จะไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาถูกคำสาปกดเอาไว้ ไม่ได้แสดงอาการมากนัก ทุกวันนี้ร่างกายของเขาเปรียบประหนึ่งสนามรบของพิษไป๋หลี่เซียง เยี่ยนจิ่วเฉากำลังทุกข์ทนกับพิษของมัน ที่เขาคันไม้คันมือไปดึงดอกไม้ ก็เป็นเพราะเขาทรมานจนนั่งไม่ติด ไม่พลั้งมือฆ่าคนก็นับว่าเป็นความอดทนขั้นสูงของเขาแล้ว
“เจ้าคงไม่รู้ แต่ไหนแต่ไรมาผู้ที่โดนไป๋หลี่เซียงเข้าไปจะเป็นอย่างไร?” ชุยเฒ่าถาม
“เป็นอย่างไรหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“เป็นบ้า” ชุยเฒ่าตอบ
พวกเขาถูกพิษทำให้ไร้สติยั้งคิด ยังไม่ทันได้รับยาถอนพิษ ก็เสียสติไปโดยสมบูรณ์ คนที่เป็นอย่างเยี่ยนจิ่วเฉานั้น ไม่เคยปรากฏมาก่อน
แม้ว่าชุยเฒ่าจะไม่ชอบหน้าเยี่ยนจิ่วเฉา ก็ยังต้องรู้สึกยกย่องจิตใจของเขา
เขาดูเหมือนเด็กที่ถูกตามใจ แต่ความเจ็บปวดที่เขากำลังแบกรับอยู่นั้น ไม่มีผู้ใดทนได้
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก?”
ชุยเฒ่ากระแอมเบาๆ “เจ้าคิดว่าข้ากล้าพูดรึ? ถะ…ถะ…ถ้าเมื่อครู่ข้าไม่ได้หลุดปากออกไป ขะ…ข้าจะบอกเจ้าได้รึ?”
คิดว่าข้าไม่กลัวถูกเจ้านั่นฆ่าตายหรือ?
ทันทีที่พูดจบ อวี๋หวั่นก็สาวเท้าเดินออกไป
ชุยเฒ่ามองอาม่าอย่างรู้สึกผิด แล้วจึงมองไปยังชิงเหยียนและเยว่โกวซึ่งมีสีหน้าไร้อารมณ์ เขาพูดพลางกระแอมว่า “ทำไมมองข้าอย่างนั้นเล่า? แม้แต่นางข้าก็ยังบอกไม่ได้ ข้าจะไปบอกพวกเจ้าก่อนได้อย่างไรเล่า…”
อวี๋หวั่นเดินไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า และรู้จากบ่าวว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไปเดินเล่น เขาไม่ให้ใครตามไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ได้ตามไป
เขาต้องทรมานมากแน่ๆ ทั้งยังไม่อยากให้ใครรู้ เพราะฉะนั้นจึงไปหาที่หลบสักพัก
ที่เขาเข้าไปในเรือนเพาะชำก็คงเพราะเหตุผลนี้ ที่เด็ดดอกไม้มากมายเพียงนั้นก็เพราะว่าเขากำลังทรมานอย่างแสนสาหัส
ทำไมเธอคิดไม่ถึงจุดนี้กันนะ?
เขาทำตัวว่าง่าย คล้ายกับไม่เป็นตัวเองมาตลอดทาง เธอยังคิดเสียอีกว่าเขาแกล้ง ทำไมเธอไม่ได้เอะใจเลยว่าเขากำลังทนทรมานกับพิษของไป๋หลี่เซียงอยู่ตลอดเวลา
เขาไม่ได้ไร้เรี่ยวแรง แต่เขาใช้แรงทั้งหมดไปกับการอดทนต่อพิษในร่าง
อวี๋หวั่นกระวีกระวาดออกไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา เธอกังวลว่าเขาจะทนไม่ไหวจนทำร้ายตัวเอง
อวี๋หวั่นเดินไปยังบริเวณที่ร้างผู้คน เดินไปได้เพียงครึ่งทาง ก็บังเอิญไปพบกับเห้อเหลียนอวี่และเห้อเหลียนเฉิงซึ่งกำลังย่องกลับจวน
สองพี่น้องตกใจจนกระโดดโหยง!
อวี๋หวั่นคิดถึงแต่เยี่ยนจิ่วเฉา ขี้คร้านจะสนใจพวกเขา จึงไม่ทันนึกว่าทั้งสองคนไม่ควรมาปรากฏตัวนอกหอบรรพชน เธอเพียงแต่เดินผ่านพวกเขาไป
สองพี่น้องมองว่าการที่เธอไม่ได้กล่าวทักทายนั้นหมายความว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา น่าโมโหนัก สตรีอาชีพค้าใบชาจากตำบลเล็กๆ อย่างชิงเหอมาชักสีหน้าใส่คุณชาย บุตรของภรรยาเอกของสกุลเห้อเหลียนอย่างนั้นรึ?
คิดจริงๆ หรือว่านกกระจอกเมื่อบินสูงถึงยอดไม้แล้วจะกลายเป็นเฟิ่งหวงได้?
“หยุดเดี๋ยวนี้!” เห้อเหลียนเฉิงเรียกอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นไม่ได้สนใจเขา และเดินจากไป
“นี่! ข้าบอกให้เจ้าหยุด หูหนวกรึไง?” เห้อเหลียนเฉิงวิ่งตามไป แล้วอ้อมไปยืนขวางหน้าอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นมองเขา “คุณชายสี่มีธุระอะไรหรือ?”
เห้อเหลียนเฉิงโทสะพลุ่งพล่านในทันใด “คุณชายสี่อะไรกัน? ข้าคือคุณชายสาม!”
อวี๋หวั่นหัวเราะแดกดัน “อย่างนั้นหรือ? แต่นี่เป็นคำพูดของท่านแม่ทัพใหญ่นะ”
“ข้า…” เห้อเหลียนเฉิงไหนเลยจะกล้าพูดอะไร และหากจะพูดอะไรก็คงยังไม่ใช่ตอนนี้
อวี๋หวั่นพูดว่า “ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม? ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน”
เห้อเหลียนเฉิงโมโห “ข้าบอกให้เจ้าไปแล้วหรือ? ใครอนุญาตให้เจ้าเดินเล่นในจวน?”
อวี๋หวั่นมองไปรอบๆ “นี่จวนตะวันออก ข้าก็เป็นเจ้านายของจวนตะวันออก ข้าอยากจะเดินเล่นตรงไหนมันก็เรื่องของข้า ถ้าคุณชายอยากจะแสดงอำนาจละก็ ไม่สู้กลับจวนตะวันตกไปจะดีกว่า”
“เจ้า!”
อวี๋หวั่นยิ้ม “อ่า เกือบลืมไปเสียสนิท คุณชายทั้งสองไม่ได้ถูกลงโทษให้คุกเข่าสำนึกผิดในหอบรรพชนหรอกหรือ? ไฉนออกมาเร็วถึงเพียงนี้เล่า? ครบเวลาแล้วหรือ? หรือว่าแอบออกมากันนะ?”
เห้อเหลียนเฉิงโทสะพลุ่งพล่าน “ถ้าเอาไปพูด ข้าจะดึงลิ้นเจ้าเสีย!”
บังเอิญว่าด้านข้างเห้อเหลียนเฉิงมีอ่างน้ำอยู่พอดี อวี๋หวั่นได้ยินคำพูดกระดากหูแต่ละคำของเขา ก็กำลังคิดว่าจะสั่งสอนเขาอย่างไรดี ทันใดนั้นเองก็เห็นเงาสีขาวเดินเข้ามาคว้าศีรษะของเห้อเหลียนเฉิงกดลงในอ่างน้ำ
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้…”
เห้อเหลียนอวี่นึกอยากจะช่วยน้องชาย แต่คำว่า ‘น้องชาย’ เพียงสองพยางค์ก็ยังเปล่งออกมาไม่ไหว เพราะเขาก็ถูกจับศีรษะกดลงในอ่างน้ำเช่นกัน
มือเรียวสวยคู่นั้น เห็นข้อต่อได้อย่างชัดเจน หลังมือสามารถมองเห็นเส้นเลือด แขนเสื้อกว้างสีขาวเลื่อนลงมาจุ่มลงไปในน้ำ และลอยขึ้นมาราวกับดอกบัว
ดวงตาคู่นั้นของเขาคล้ายกับจะมีสีเลือด ประหนึ่งมีรอยเลือดที่ยังละลายไปไม่หมด ในร่างเขาดูราวกับเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดที่พร้อมจะปะทุตลอดเวลา
นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาในสภาพเช่นนี้
“อุก…”
“อุก…”
สองพี่น้องมีวรยุทธ์ แต่กลับถูกพลังและความน่าสะพรึงกลัวของเยี่ยนจิ่วเฉากดเอาไว้จนไม่กล้าลงมือ
“เยี่ยนจิ่วเฉา” อวี๋หวั่นกระซิบ
ราวกับเยี่ยนจิ่วเฉาได้สติกลับมาชั่วขณะ มือของเขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
ทั้งสองถือโอกาสเงยหน้าขึ้นมา ล้มก้นจ้ำเบ้าไปด้านหลัง มองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งดูน่าสะพรึงกลัวราวกับอสูรร้าย เนื้อตัวสั่นเทิ้ม
เยี่ยนจิ่วเฉาก้มตัวลง
อวี๋หวั่นก้าวเข้าไปหาเขา
“อย่าเข้ามา!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
นี่ไม่ใช่น้ำเสียงเย่อหยิ่งเย็นชาที่เขามักจะพูด คำพูดของเขาแฝงไปด้วยจิตสังหาร
“ข้าเอง” อวี๋หวั่นบอก
เยี่ยนจิ่วเฉากำหมัดแน่น “ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้!”
อวี๋หวั่นไม่ไป
เธอเดินเข้าไปกอดเขา
“ข้าไม่ไป”
“แน่จริงท่านก็ไล่ข้าไปสิ”
………………………………….