หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 200.1 พี่จิ่วออกโรง (1)
“พวกท่านรู้จักกัน?” องค์หญิงน้อยขมวดคิ้ว
อวี๋หวั่นมองไปยังผู้อาวุโสเยวี่ย เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสเยวี่ยยืนขึ้น แล้วเดินไปหาปรมาจารย์พิษขั้นสูงของจวนประมุขหญิง เขาเอ่ยขึ้นอย่างเป็นปกติว่า “ไม่พบกันมาสิบปี ไม่คิดว่าเราสองคนจะได้มาพบกันในสถานการณ์เช่นนี้”
ความรู้สึกซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของปรมาจารย์พิษขั้นสูง “ศิษย์พี่ใหญ่”
ถ้าหากผู้อาวุโสเยวี่ยกล่าวออกมาเพียงฝ่ายเดียว องค์หญิงน้อยก็คงไม่เชื่อ ทว่าในเมื่อปรมาจารย์พิษเมิ่งก็กล่าวออกมาเช่นกัน องค์หญิงน้อยจะไม่เชื่อก็คงยาก
นี่มันโชคชะตาแบบใดกัน? ผู้ที่อีกฝ่ายเชิญมากลับเป็นศิษย์พี่ของปรมาจารย์พิษบ้านนาง?
ความสงสัยลักษณะเดียวกันแล่นผ่านสมองของอวี๋หวั่น เธอไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าปรมาจารย์พิษที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงเชิญมาจะมีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์พิษจวนประมุขหญิง
ทุกวันนี้อวี๋หวั่นมักชอบมองเยี่ยนจิ่วเฉา บางครั้งก็อยากมองเฉยๆ บางครั้งก็มองเพื่อถามความคิดเห็นของเขา ดังเช่นในตอนนี้ บนใบหน้าของเธอมีประโยคคำถามว่า ‘ท่านคิดว่าใครจะชนะ?’
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูกด้วยความรังเกียจ
อวี๋หวั่น “…”
หมายความว่าอะไร…
ผู้อาวุโสเยวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยอย่างสุภาพว่า “หลายปีมานี้ศิษย์น้องเมิ่งคงมีชีวิตที่ดี”
ปรมาจารย์พิษเมิ่งกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “แม้ว่าท่านจะได้รับการสืบทอดจากอาจารย์ แต่ก็อย่างที่ข้าเคยบอกไป ไม่ช้าก็เร็วข้าจะต้องได้เป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูง”
ผู้อาวุโสเยวี่ยยิ้ม “ดูแล้วศิษย์น้องเมิ่งจะทำสำเร็จแล้ว ศิษย์พี่ยินดีกับเจ้าด้วย”
เมื่อเทียบกับศิษย์พี่แล้ว ศิษย์น้องผู้นี้ดูจริงจังและขึงขังกว่าสักหน่อย “ข้ายังไม่ลืมที่ศิษย์พี่คอยดูแล ก่อนหน้านี้ ข้าได้ให้คนส่งจดหมายเชิญไปหาศิษย์พี่ เพื่อเชิญให้ศิษย์พี่มาประจำในจวนประมุขหญิงด้วยกัน ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ได้รับจดหมายหรือไม่”
ผู้อาวุโสเยวี่ยยิ้ม แล้วตอบว่า “ข้าได้รับจดหมายแล้ว ข้าซาบซึ้งในความปรารถนาดีของเจ้า ทว่าต่างคนต่างมีเส้น ทางของตนเอง ศิษย์พี่อยู่กลางป่าเขาเป็นอิสระจนชินแล้ว ไม่อาจทนกฎระเบียบของสกุลใหญ่ได้”
ปรมาจารย์พิษเมิ่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ด้วยคุณสมบัติของศิษย์พี่ หากได้รับความช่วยเหลือจากจวนประมุขหญิง วิชาพิษของท่านต้องเหนือกว่าขีดจำกัดเป็นแน่”
องค์หญิงน้อยก้าวขึ้นไปด้านหน้า บนใบหน้ามีความเกรงใจอยู่บ้าง “ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ของใต้เท้าเมิ่ง ยินดีที่ได้พบ! ข้าคือ…”
นางเกือบจะพูดออกไปแล้วว่าองค์หญิงน้อยจากจวนประมุขหญิง ทันใดนั้นนางก็นึกได้ว่าตนกำลังปลอมตัวอยู่ จึงรีบเปลี่ยนคำพูดว่า “ข้าเป็นคนของจวนประมุขหญิง ท่านสนใจจะเป็นแขกของจวนประมุขหญิงหรือไม่? จวนประมุขหญิงสามารถจัดหาวัตถุดิบและสมุนไพรชั้นดี ชีวิตที่ดี รวมไปถึงชื่อเสียงและลาภยศ ข้ารู้ว่าท่านเป็นปรมาจารย์พิษขั้นสูง ฐานะสูงส่ง แต่เมื่อเสาะแสวงหาทั้งใต้หล้า นอกจากวังหลวง ก็ไม่มีที่ใดเหมาะสมเท่าจวนประมุขหญิงอีกแล้ว”
ผู้อาวุโสเยวี่ยรู้จากเห้อเหลียนเป่ยหมิงมาแล้วว่าคนที่พวกเขาจะเผชิญหน้าในครั้งนี้คือองค์หญิงน้อย จึงเดาออกว่านางเป็นใคร กระนั้นแม้จะมองออก แต่ก็มิได้พูดออกไป เขายกมือขึ้นประสานกัน “ขอบคุณสำหรับความปรารถนาดีของคุณชาย เยวี่ยโหม่วยังขอย้ำคำเดิม ต่างคนต่างมีเส้นทางของตนเอง”
องค์หญิงน้อยเบะปาก
ปรมาจารย์พิษเมิ่งเอ่ยปากเชิญเขา แต่เขากลับไม่สนใจ?
องค์หญิงน้อยไม่อาจโน้มน้าวผู้อาวุโสเยวี่ย จึงเดินไปหาที่นั่ง
บังเอิญว่าที่ที่นางนั่งนั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเยี่ยนจิ่วเฉาพอดี นางหันไปพบกับใบหน้าหล่อเหลาของเยี่ยนจิ่วเฉา นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นชายหนุ่มซึ่งงดงามกว่าท่านพี่เซิง องค์หญิงน้อยถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
ที่ต่งเซียนเอ๋อร์บอกว่าจะไปเติมเครื่องสำอางนั้นไม่ใช่ข้ออ้างแต่อย่างใด นางไปเติมเครื่องสำอางให้เข้มกว่าเดิม ทว่านางยังคงสวมผ้าคลุมหน้า เผยให้เห็นเพียงดวงตาใสดุจกระจกสี สีชมพูลูกท้อที่หางตางามกำลังพอดี ไม่เข้มไม่อ่อนเกินไป ขับให้ดวงตาของนางมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม
นางสวมอาภรณ์สีชมพูผลซิ่ง งามเหนือปุถุชนทั้งหลาย ราวกับเป็นคนละคนกับแม่นางซึ่งเปลือยเท้าในคืนนั้น
แต่เมื่อนางเอ่ยปาก ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นนาง
นางยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “มากันครบแล้วหรือ? ข้าทำให้ทุกท่านต้องรอนานเสียแล้ว ท่านเหล่านี้คือ…”
สายตาระคนความสงสัยของนางไปหยุดอยู่ที่ปรมาจารย์พิษทั้งสอง
“ท่านนี้คือปรมาจารย์พิษขั้นสูงเมิ่งแห่งจวนประมุขหญิง!” องค์หญิงน้อยเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
ต่งเซียนเอ๋อร์คำนับด้วยท่าทางดีใจ “ปรมาจารย์พิษขั้นสูงเมิ่ง ยินดีที่ได้พบๆ”
“ท่านนี้คือปรมาจารย์พิษขั้นสูงเยวี่ย” อวี๋หวั่นแนะนำ ไม่ได้บอกว่าเขาเป็นผู้ที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงเชิญมา
“ปรมาจารย์พิษขั้นสูงเยวี่ย ยินดีที่ได้พบ” ต่งเซียนเอ๋อร์คำนับพลางยิ้มให้ผู้อาวุโสเยวี่ย จากนั้นสายตาของนางก็มองผ่านอวี๋หวั่นไปหยุดที่ใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา “โอ้ คุณชายผู้หล่อเหลาท่านนี้คือท่านที่ไปหอตี้อีพร้อมกับคุณชายครั้งก่อนใช่หรือไม่? ข้าอยู่ไกลนักมองเห็นไม่ชัด ที่แท้คุณชายก็งดงามถึงเพียงนี้”
ระหว่างทางอวี๋หวั่นคิดคำพูดเอาไว้แล้ว จึงรีบบอกว่า “เขาเป็นเพื่อนของข้า อยากตามมาดูเหตุการณ์!”
เยี่ยนจิ่วเฉา “ชิ~”
อวี๋หวั่นหันไปมองเยี่ยนจิ่วเฉา อย่าทำแผนข้าพัง!
คุณชายเยี่ยนเบือนหน้าหนี
ไม่รู้ว่าอวี๋หวั่นคิดไปเองหรือไม่ เธอรู้สึกราวกับเห็นความรู้สึกผิดในดวงตาของเขา
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้ม แล้วถามถึงสถานะของเจียงไห่ อวี๋หวั่นบอกไปเพียงว่าเป็นองครักษ์ ไม่ได้บอกเรื่องอื่น
ต่งเซียนเอ๋อร์กล่าวว่า “ปรมาจารย์พิษขั้นสูงทั้งสองท่านมาแล้ว ไม่สู้เริ่มกันเลยดีกว่า ผู้ใดชนะ ข้าจะมอบเห็ดหลินจือแดงให้ผู้นั้น”
บอกว่าให้ก็คือให้ ไม่ได้ขาย ความหมายโดยนัยก็คือจะไม่คิดเงินสักอีแปะเดียว
“มีเงื่อนไขอื่นหรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้มพลางส่ายหน้า “คุณชายคิดว่าที่ข้าตามหาปรมาจารย์พิษเพราะข้ามีเป้าหมายอื่นหรือ? ข้าเชิญมาเพียงเพราะศรัทธาไม่ได้หรือ? ท่านรู้ว่าเมืองหลวงนี้ใหญ่นัก แม้ว่าข้าจะมีเงินทองมาก แต่ก็ไม่อาจพบกับปรมาจารย์พิษได้ง่าย”
นางไม่ได้โกหก คนหนานจ้าวนับถือวิชาพิษ ก็เหมือนกับที่คนจงหยวนอยากพบจ้วงหยวน ต่งเซียนเอ๋อร์ใช้เห็ดหลินจือเพลิงแลกกับการพบปรมาจารย์พิษ จะมองจากมุมไหนก็นับว่าสมเหตุสมผล
แต่เรื่องมันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
ต่งเซียนเอ๋อร์คล้ายกับจะมองออกว่าอวี๋หวั่นยังคงสงสัย นางยักไหล่แล้วกล่าวว่า “ท่านไม่เชื่อ ข้าก็จนปัญญา”
เชื่อไม่เชื่อเป็นเรื่องรอง เรื่องสำคัญในตอนนี้คือนำเห็ดหลินจือมาให้ได้
“เช่นนั้นก็เริ่มเลย” อวี๋หวั่นบอก
ในหนานจ้าว วิชาพิษมีการแบ่งสาย กล่าวโดยสรุปก็คือแบ่งเป็นสองสาย หนึ่งก็คือสายที่ใช้สัตว์พิษ อีกสายหนึ่งคือใช้วิชาพิษ สายสัตว์พิษนั้นคล้ายกับการชนไก่หรือสัตว์ประเภทอื่นๆ ต่างคนต่างนำสัตว์พิษของตนลงสังเวียน ให้พวกมันเข่นฆ่ากันเอง และผู้ชนะก็คือผู้ที่ยืนหยัดอยู่ได้เป็นคนสุดท้าย หากเป็นสายวิชาพิษ ขอบเขตทักษะของพวกเขาจะกว้างมาก ว่ากันว่าเมื่อฝึกไปจนถึงจุดสูงสุด ก็จะสามารถเรียกสัตว์ต่างๆ มาใช้ได้
แน่นอนว่านั่นเป็นเรื่องเล่า ไม่มีใครเคยเห็นกับตา
อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ ไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก เรื่องการแข่งขันล้วนขึ้นอยู่กับปรมาจารย์พิษขั้นสูงทั้งสอง
หลังจากปรึกษากันแล้ว ทั้งสองตัดสินใจว่าจะใช้สัตว์พิษต่อสู้ ชนะสองในสามนับว่าชนะ
อวี๋หวั่นไม่กล้าเข้าไปใกล้ ด้วยเกรงว่าเจ้าสัตว์พิษตัวน้อยของเธอจะมีผลต่อวิชาพิษของพวกเขา ผลกระทบเช่นนี้ไม่อาจบอกทิศทางที่แน่นอนได้ เมื่อฝ่ายหนึ่งได้รับผลกระทบ อีกฝ่ายหนึ่งย่อมได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
อวี๋หวั่นขยิบตาให้ชิงเหยียน ชิงเหยียนเข้าใจทันที เขาเดินไปหาผู้อาวุโสเยวี่ย แล้วถามว่า “ผู้อาวุโสเยวี่ย ท่านมีโอกาสชนะมากเท่าใด?”
ผู้อาวุโสเยวี่ยครุ่นคิด “แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์น้องของข้า แต่ครั้นอาจารย์ยังอยู่ ก็ยังชมเขาว่าเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปียังหาไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะนิสัยหุนหันพลันแล่น ยังต้องการประสบการณ์อีกมาก ผู้ที่ได้รับสืบทอดจากอาจารย์คงจะเป็นเขา ไม่ใช่ข้า”
ชิงเหยียนรีบบอกว่า “ผู้อาวุโสเยวี่ยถ่อมตัวเหลือเกินนะขอรับ”
ผู้อาวุโสเยวี่ยส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ถ่อมตัว ครั้นอยู่ในสำนัก วิชาพิษของเขามิได้ด้อยไปกว่าข้า หลายปีมานี้เขายังเข้าไปอยู่ในจวนประมุขหญิง ชีวิตในจวนประมุขหญิงย่อมต้องดีกว่าในสำนัก ข้าจึงคิดว่าวิชาของเขาต้องเก่งกาจกว่าเดิมเป็นแน่”
“ผู้อาวุโสเยวี่ยหมายความว่า…ท่านมีโอกาสแพ้หรือ?” แพ้ไม่ได้นะ ถ้าแพ้ก็ไม่ได้ตัวยามาน่ะสิ!
ผู้อาวุโสเยวี่ยหัวเราะ “เจ้าวางใจเถิด แม้ว่าข้าจะไม่ได้เก่งกาจ แต่ก่อนหน้าข้ามีบุญคุณต่อเขา วันนี้เขาจะทดแทนให้ข้า”
ปรมาจารย์พิษเมิ่งเข้ากับใครไม่ได้มาตั้งแต่เด็ก กระนั้นพรสวรรค์ของเขาก็เหนือผู้อื่น ผู้คนล้วนแต่เกลียดชังและริษยาเขา คอยลอบกลั่นแกล้งเขาอยู่เสมอ ในฐานะที่ผู้อาวุโสเยวี่ยเป็นศิษย์พี่ใหญ่ จึงช่วยเหลือเขาอยู่บ่อยครั้ง ครอบครัวของปรมาจารย์พิษเมิ่งยากจนข้นแค้น ยามที่มารดาของเขาป่วยหนัก ก็เป็นผู้อาวุโสเยวี่ยที่ใช้เงินของตนซื้อยาให้มารดาของเขา นี่ก็นับว่าเป็นเหตุผลที่ปรมาจารย์พิษเมิ่งเขียนจดหมายไปเชิญศิษย์พี่ใหญ่ให้มาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในจวนประมุขหญิงหลังจากที่ตนได้ดิบได้ดีแล้ว
แม้ว่าชิงเหยียนจะไม่รู้ว่าปรมาจารย์พิษเมิ่งมีนิสัยเป็นอย่างไร แต่ดูจากท่าทางเย่อหยิ่งไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ไม่น่าคบหาเช่นนี้ ถึงกับเขียนจดหมายเชิญให้ไปอยู่ด้วยกัน ก็บอกได้ว่าเขาต้องติดค้างผู้อาวุโสเยวี่ยอยู่ไม่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ชิงเหยียนก็ค่อยวางใจหน่อย
ชิงเหยียนยกมือขึ้นบ่งบอกว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะไปทางอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นพยักหน้าน้อยๆ แล้วดูการแข่งขันของทั้งสอง
เป็นดังคาด ผู้อาวุโสเยวี่ยชนะในยกแรก
องค์หญิงน้อยลุกขึ้นยืน แล้วพูดอย่างไม่เชื่อสายตา “เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร? ท่านไม่ได้เก่งมากหรอกหรือ? จะแพ้ปรมาจารย์พิษขั้นสูงธรรมดาๆ ได้อย่างไร?”
ปรมาจารย์พิษเมิ่งตอบอย่างมิได้ยี่หระ “เขาเป็นศิษย์พี่ของข้า หากวิชาของเขาด้อยกว่าข้า ก็คงไม่ได้รับการสืบทอดจากอาจารย์หรอก”
“ข้าไม่สน! ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องชนะ! หากท่านแพ้ละก็…” องค์หญิงน้อยกล่าวข่มขู่ไปได้เพียงครึ่งเดียว ก็หันไปมองสายตาที่จับจ้องมาที่ตนจากทุกสารทิศ จากนั้นก็แค่นเสียงขึ้นจมูก “สรุปแล้วท่านจะต้องชนะ!”
จะอ่อนข้อให้ก็ไม่ควรทำอย่างโจ่งแจ้งจนเกินงาม ในยกที่สอง ปรมาจารย์พิษเมิ่งชนะไป
องค์หญิงน้อยยิ้มพลางเลิกคิ้ว มองไปทางอวี๋หวั่นอย่างได้ใจ “ข้าบอกแล้ว เห็ดหลินจือเป็นของข้า!”
อวี๋หวั่นยิ้มน้อยๆ “ยังมีอีกยกหนึ่ง อย่าเพิ่งดีใจไปก่อน”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ชอบหนอนพิษ เขาจึงออกมาเดินเล่น
เดินเล่นไปมา กลับมาพบกับคนผู้หนึ่ง
คนคุ้นเคย
…………………………………………