หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 203.2 ความลับสุดยอด (2)
ได้หนึ่งในตัวยาได้มาแล้ว ต่อไปก็คือคางคกหิมะ
ฟ้าสว่าง อวี๋หวั่นก็ออกจากชีสยาย่วน ตรงไปหาชายชราซึ่งนั่งอยู่ที่ระเบียง “อาม่า คางคกหิมะอยู่ที่ไหนหรือ?”
อาม่าค่อยๆ ลืมตาขึ้น
อาม่าไม่คิดว่าเห็ดหลินจือเพลิงจะได้มาง่ายถึงเพียงนี้ เร็วกว่าที่จินตนาการไว้ถึงสองเท่า เมื่อพิจารณาถึงเหตุผลแล้ว ครึ่งหนึ่งล้วนมาจากโชค เด็กคนนี้อยู่ๆ ก็ได้ครอบครองแม้แต่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของหนานจ้าว หากจะเพิ่มเห็ดหลินจือมาอีกสักต้นก็คงมิใช่เรื่องแปลก
โชคเช่นนี้ คงทำให้ผู้คนอิจฉาน่าดู
“อยู่ในเมืองหลวงเช่นกัน” อาม่าตอบอวี๋หวั่น “ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้ยินข่าวคราวของคางคกหิมะก็คือเมื่อไม่กี่ปีก่อน ในตอนนั้นมันอยู่ในวัดพิษแห่งหนึ่ง แต่รายละเอียดข้าจำไม่ได้แล้ว พวกเจ้าไปสืบมา”
“วัดพิษ” อวี๋หวั่นลูบคาง ใช้ชีวิตอยู่ในหนานจ้าวมาสักพัก เธอได้รู้จักหลายอย่างในเมืองหลวง เธอย่อมรู้ว่าวัดพิษคือสิ่งใด วัดพิษก็เหมือนกับวัดในจงหยวน แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็คือวัดในจงหยวนจะบูชาพระโพธิสัตว์ วัดพิษจะบูชาเทพ
อ้อ อยู่มาสองชีวิต ยังไม่เคยไปวัดพิษเลย
“เช่นนั้นพวกเราไปสืบความที่หอจวี้เสียนกัน?” อวี๋หวั่นถามอาม่า
อาม่าพยักหน้า
เหตุที่ไม่ได้ไปสืบความให้รู้ในครั้งเดียว ก็เพราะหากสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของตัวยาทั้งสองตัวได้ ก็จะรู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการถอนพิษไป๋หลี่เซียง พิษชนิดนี้ไม่ใช่ว่าใครจะมีก็ได้ พวกเขาอาจสืบมาถึงเยี่ยนจิ่วเฉาก็เป็นได้
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นข้าจะไปเรียกชิงเหยียนกับเจียงไห่”
เยว่โกวมีสีหน้าน้อยใจ นั่นหมายความว่าเขาเองก็อยากไปด้วย เขามักจะถูกทิ้งไว้ที่จวนเสมอ เบื่อจะแย่อยู่แล้ว
อวี๋หวั่นสามารถเลือกที่จะพาเยี่ยนจิ่วเฉาไปด้วยได้ ถ้าหากทำเช่นนี้ก็จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ในจวน แต่เมื่อคืนเยี่ยนจิ่วเฉานอนดึก อวี๋หวั่นไม่อยากปลุกเขา หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจให้ชิงเหยียนอยู่ที่จวน
เจียงไห่ยักคิ้วให้ชิงเหยียน: เหอะๆ
อวี๋หวั่นบอกเจียงไห่ว่า “เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย”
เจียงไห่ “…”
อวี๋หวั่นเปลี่ยนเป็นสวมชุดผู้ชาย แล้วเดินทางออกจากจวนพร้อมกับเยว่โกว เยว่โกวพูดน้อย ระหว่างทางจึงเงียบงันเป็นที่สุด
พวกเขามาถึงหอจวี้เสียน เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาอาหาร คนในร้านจึงมีไม่มาก อวี๋หวั่นหาที่นั่งในห้องโถงกลาง และสั่งซีโต้วเฝิ่นของโปรดของเยว่โกว
อวี๋หวั่นมาหนานจ้าวจึงรู้ว่ามีอาหารประเภทนี้ด้วย ซีโต้วเฝิ่นทำมาจากถั่วลันเตา ขั้นตอนแรกนำถั่วลันเตาไปแช่น้ำประมาณสี่ถึงห้าชั่วยามแล้วจึงนำไปบดคั้นน้ำ น้ำที่ได้จากการบดครั้งแรกเรียกว่าหัว หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามนำส่วนที่คั้นแยกออกจากหัวมาคั้นอีกครั้งหนึ่ง จะได้ส่วนที่เรียกว่าหาง นำหางไปผสมกับน้ำเปล่าและน้ำมันพืช นำไปต้มแล้วใช้ไม้คนไปเรื่อยๆ จนปั้นเป็นเส้นได้ ก็จะได้ซีโต้วเฝิ่นแสนอร่อย
ซีโต้วเฝิ่นมักจะมีรสเค็ม กินกับต้นหอมสับและผักดอง รสชาติดีเยี่ยม
เยว่โกวตัวสูงใหญ่บึกบึน อวี๋หวั่นเห็นครั้งแรกยังคิดว่าเขาต้องชอบดื่มสุรา กินแต่เนื้อสัตว์ ภายหลังจึงรู้ว่าเขาไม่ดื่มสุรา และกินแต่อาหารมังสวิรัติ
เยว่โกวกินซีโต้วเฝิ่นเสียงดัง ‘ซู้ดๆ’
อวี๋หวั่นไม่คุ้นเคยกับซีโต้วเฝิ่น เธอจึงสั่งของว่างมาสามสี่อย่าง
เสี่ยวเอ้อร์ที่มาต้อนรับในวันนี้ไม่ใช่คนที่เคยต้อนรับพวกเขาในครั้งก่อน แต่ก็ช่วยไม่ได้ แขกของหอจวี้เสียนนั้นมีมาก เสี่ยวเอ้อร์ไม่มีทางจดจำพวกเขาได้หรอก
“อาหารของท่านมาครบแล้ว ต้องการสั่งอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารมาจัดวางลงบนโต๊ะ
สายตาของอวี๋หวั่นไปหยุดอยู่ที่จานอาหาร “ข้าไม่ได้สั่งมากขนาดนี้นี่”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้ม ตอบว่า “มีคนเลี้ยงน่ะขอรับ”
น่าแปลก พวกเขาเพิ่งมาในเมืองหลวง เพื่อนฝูงที่ไหนก็ยังไม่มี ได้แต่สร้างเรื่องเอาไว้ ใครจะมาเลี้ยงอาหารพวกเขา?
อวี๋หวั่นมองตามไปยังทิศทางที่เสี่ยวเอ้อร์ชี้ ก็พบว่ามีแม่นางคนหนึ่งยืนอยู่บนบนระเบียงของชั้นสอง นางสวมอาภรณ์สีม่วงและผ้าคลุมหน้าสีม่วง จะเป็นใครไปได้หากไม่ใช่ต่งเซียนเอ๋อร์?
ต่งเซียนเอ๋อร์มองไปยังอวี๋หวั่นอย่างสนอกสนใจ ทั้งยังส่งสายตายั่วยวนให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นไม่กล้าดูเบานางแล้ว คนที่ใช้ไข่มุกพิษนับร้อยเม็ดประดับกล่องนี่นับเป็นคนธรรมดาได้ด้วยหรือ?
ฮวาขุุยแห่งหอคณิกา?
เกรงว่าคงเป็นเพียงการอำพรางตัวตนก็เท่านั้น
แต่ในเมื่อพบนางแล้ว จะไม่ทักทายสักหน่อยก็ออกจะผิดวิสัยไปสักหน่อย
อวี๋หวั่นพูดว่า “เยว่โกว พวกเราขึ้นไปข้างบนกัน”
เยว่โกวไม่ปล่อยให้อาหารเสียของ เขากินซีโต้วเฝิ่นเข้าไปรวดเดียวหมด จากนั้นเช็ดปาก แล้วตามอวี๋หวั่นขึ้นไปชั้นบน
อวี๋หวั่นยังไม่ได้หลงตัวเองถึงขนาดคิดว่าต่งเซียนเอ๋อร์สะกดรอยตามเธอมา ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ต่งเซียนเอ๋อร์มายังหอจวี้เสียนเพื่อพบเพื่อนคนหนึ่ง ไหนเลยจะรู้ว่านางไม่ได้รอเพื่อนแล้ว แต่กลับมาพบอวี๋หวั่นแทน
“คุณชาย พวกเราได้พบกันอีกแล้ว” ต่งเซียนเอ๋อร์ทักทายด้วยอย่างยิ้มแย้ม
อวี๋หวั่นหยิบพัดขึ้นมา ยกมือขึ้นประสานเพื่อคำนับกลับ “ข้าน้อยคำนับแม่นางต่ง”
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้ม “ไฉนคุณชายพูดจาห่างเหินเพียงนั้นเล่า? เรียกข้าว่าเซียนเอ๋อร์ก็ได้”
อวี๋หวั่น: เอ๊ะ…
“เชิญนั่ง” ต่งเซียนเอ๋อร์ชี้ไปยังเก้าอี้ที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม
อวี๋หวั่นและเยว่โกวนั่งลง
ต่งเซียนเอ๋อร์เหลือบมองเยว่โกว นางยิ้มน้อยๆ พร้อมกับกล่าวว่า “องครักษ์ของคุณชายกำยำล่ำสันทุกคนเลยนะเจ้าคะ”
อวี๋หวั่นตอบอย่างรู้มารยาทว่า “ชมเกินไปแล้ว”
ต่งเซียนเอ๋อร์ยกมือเรียวงามขึ้นมารินสุราให้พวกเขาคนละจอก อวี๋หวั่นหยิบจอกสุราของเยว่โกวมา “เขาไม่ดื่มสุรา ข้าดื่มแทนเขาเอง”
ต่งเซียนเอ๋อร์เอ่ยปากบ่นว่า “แม้แต่องครักษ์ คุณชายก็ยังเอาใจ เหตุใดไม่รักเซียนเอ๋อร์บ้างเล่า?”
เอาแล้วสิ นางงอแงขึ้นมาแล้วน่ากลัวเหลือเกิน เยว่โกวไม่ใช่แค่องครักษ์ของเธอ แต่ยังเป็นจอมขุดเหมืองมือฉมัง จะไม่ให้เธอเอาใจเขาได้อย่างไรละ
โชคดีที่ต่งเซียนเอ๋อร์ไม่ได้ตอแยเรื่องนี้นานนัก นางถามแล้วก็ลืมไป จากนั้นก็โน้มกายหาอวี๋หวั่น เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ยังไม่เคยถามเลยว่าคุณชายแซ่อะไร”
“ข้าแซ่เยี่ยน” อวี๋หวั่นถอยออกมาห่างจากนางเล็กน้อย
“คุณชายเยี่ยน” ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้มหวาน ราวกับนางมิได้ถือโทษโกรธเคืองที่อวี๋หวั่นผละออกห่าง จากนั้นก็โน้มกายไปหาเธอต่อ “ไม่ใช่เวลาทานอาหาร คุณชายมาทำอะไรที่หอจวี้เสียน? นัดคนไว้ หรือว่ามาสืบข้อมูล?”
“หมายความว่าเซียนเอ๋อร์ก็มาพบคนเช่นกันหรือ?” อวี๋หวั่นไม่ยอมถูกนางจูงจมูกง่ายๆ หรอก
ต่งเซียนเอ๋อร์ไม่ได้คาดคิดว่าบทสนทนาธรรมดาจะเปิดเผยความคิดของตนได้ และที่ไม่ได้คิดยิ่งกว่าก็คือจุดผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะถูกอีกฝ่ายมองออกอย่างรวดเร็ว ต่งเซียนเอ๋อร์ชะงักไป แล้วบ่นว่า “ถ้าใช่แล้วอย่างไร? แต่ว่าคนที่ข้ารอไม่ยักมา บุรุษอย่างพวกท่านก็เหมือนกันหมด!”
ที่แท้ก็มารอผู้ชาย
ต่งเซียนเอ๋อร์กลับมายิ้มอีกครั้ง “คุณชายเยี่ยนยังไม่ได้บอกเซียนเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะว่ามาทำอะไรที่นี่ หากมาสืบข้อมูลละก็ ไม่สู้ท่านถามข้าดีกว่า ข้าก็ไม่ได้รู้น้อยไปกว่าหอจวี้เสียนหรอกนะเจ้าคะ”
“อย่างนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นยกเหล้าขึ้นมาจิบอย่างมิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด แม่นางคนนี้เจ้าเล่ห์เหลือเกิน หากไม่ทันระวังก็จะตกหลุมพรางของนางได้ แน่นอนว่าอวี๋หวั่นไม่ใช่คนที่มีเรื่องด้วยได้ง่าย แต่พลาดพลั้งครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว หากจะมีครั้งที่สองอีก ก็คงไม่ง่ายเฉกเช่นครั้งแรกแล้ว
อวี๋หวั่นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้าเข้ามาในเมืองหลวงเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าเมืองหลวงมีสถานที่ใดน่าสนใจบ้าง ปี้ลั่วซานจวงข้าไปมาแล้ว แต่มีที่ใดมีชื่อเสียงเหมือนที่นั่นบ้าง?”
ต่งเซียนเอ๋อร์ทนไม่ไหว ระเบิดหัวเราะออกมาจนไหล่สั่น
อวี๋หวั่น: ท่านเส้นตื้นเกินไปแล้ว…
ต่งเซียนเอ๋อร์หัวเราะจนพอ นางกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ปี้ลั่วซานจวงมีอะไรน่าสนใจ? คุณชายเยี่ยนคงยังไม่เคยไปสถานที่ที่น่าสนใจกว่านี้กระมัง สถานที่นั้นก็คือวัดพิษที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง”
มาแล้วสินะ
นิ่งไว้
“เมืองหลวงมีวัดพิษหลายแห่งหรือ?” อวี๋หวั่นถามด้วยความสงสัย
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้ม “แน่นอน แต่มีเพียงสามแห่งที่มีชื่อเสียง คุณชายอยากไปที่ใด ข้าจะไปกับท่าน”
อวี๋หวั่นมีสีหน้าหนักใจ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรไปวัดไหน วัดพิษเหล่านี้ประดิษฐานเทพเจ้าเหมือนกันใช่ไหม?”
“ไม่เหมือนกัน” ต่งเซียนเอ๋อร์ตอบ “บ้างก็บูชาราชันสัตว์พิษ บ้างก็บูชาราชินีสัตว์พิษ คุณชายคงได้ยินเรื่องคางคกหิมะกระมัง?”
ท่านเป็นคนพูดขึ้นมาเอง อวี๋หวั่นตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่เคย”
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้ม “คางคกหิมะเป็นราชินีสัตว์พิษ ถูกประดิษฐานเอาไว้ที่วัดพิษบนเขาซีหลิง”
เขา ซี หลิง!
ต่งเซียนเอ๋อร์สังเกตสีหน้าของอวี๋หวั่น แล้วอมยิ้มเล็กน้อย “ดูแล้วคุณชายคงจะสนใจวัดพิษแห่งนี้ เช่นนั้นอย่าได้เสียเวลา พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!”
ผู้หญิงคนนี้พูดปุ๊บก็จะทำปั๊บเลยหรือ?
เรื่องตัวยานั้นจัดการเร็วสักหน่อยย่อมดีกว่าสายเกินไป อวี๋หวั่นพาเยว่โกวขึ้นรถม้าไปยังเขาซีหลิงพร้อมกับต่งเซียนเอ๋อร์
รถม้าเคลื่อนมาจอดที่เชิงเขา พวกเขาใช้เวลาเดินขึ้นเขากว่าหนึ่งชั่วยาม แต่เมื่ออวี๋หวั่นเห็น ‘คางคกหิมะ’ สีทองอร่ามเรืองซึ่งประดิษฐานอยู่บนโต๊ะในวิหารใหญ่นั้น เธอถึงกับตะลึงงัน “นะ…นี่หรือที่ท่านบอกว่าเป็นราชินีสัตว์พิษ”
ต่งเซียนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “ใช่ งดงามมากใช่หรือไม่? อันที่จริง เมื่อก่อนมันเคยเป็นราชันสัตว์พิษมาก่อน แต่เพราะความงดงามของมัน จึงได้รับการขนานนามว่าราชินีสัตว์พิษ”
อวี๋หวั่นรู้สึกราวกับมีฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ “ของปลอมหรือ?”
ดวงตาเรียวสวยของต่งเซียนเอ๋อร์ถลึงใส่อวี๋หวั่น “ของจริงสิ ทำมาจากทองคำแท้!”
อวี๋หวั่นแทบก่ายหน้าผาก เธอพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “ไม่ใช่ ข้าหมายความว่า ข้าปีนขึ้นมาบนเขาแทบตาย เพื่อดู…รูปปั้น?!”
ต่งเซียนเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะลั่นจนตัวโยกตัวโยน นางใช้มือกุมหน้าท้อง หัวเราะจนลุกแทบไม่ขึ้น ถ้าหากนางไม่ได้จับเสาเอาไว้ ก็คงจะล้มกลิ้งหลุนๆ ไปแล้ว
อวี๋หวั่นไม่เข้าใจ มีอะไรให้ขำกัน?
ต่งเซียนเอ๋อร์หัวเราะจนปวดท้อง “…ท่านเคยเห็นวัดเจ้าแม่กวนอิมมีเจ้าแม่กวนอิมตัวจริง วัดเทพเจ้ากวนอูมีเทพเจ้ากวนอูตัวจริงหรือไม่เล่า?”
อวี๋หวั่น “…”
ข้าขอปฏิเสธที่จะตอบคำถามข้อนี้
ในตอนนี้ต่งเซียนเอ๋อร์ก็รู้แล้วว่าอวี๋หวั่นต้องการพบราชินีสัตว์พิษตัวเป็นๆ แต่ในตอนนั้นนางกำลังรู้สึกขบขันจนไม่ทันได้เชื่อมโยงตัวยาสองชนิดเข้าด้วยกัน นางกุมท้องซึ่งเจ็บปวดจากการหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “รา…ราชินีสัตว์พิษตัวเป็นๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก”
“แล้วอยู่ที่ใด?” อวี๋หวั่นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ท่าทางเช่นนี้เหมือนกับเยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีผิด!
ต่งเซียนเอ๋อร์เช็ดน้ำตา “อยู่ที่เขาพิษ แต่ว่าเขาพิษไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะขึ้นไปก็ได้ แม้แต่ประมุขหญิงยังขึ้นไปไม่ได้ มีเพียงองค์ประมุขและปรมาจารย์พิษอาวุโสที่ขึ้นไปได้”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสก็คือผู้อาวุโสในบรรดาปรมาจารย์พิษทั้งปวง พลังของพวกเขาเหนือกว่าปรมาจารย์พิษขั้นสูง ปรมาจารย์พิษอาวุโสในเมืองหลวงรวมกันยังมีไม่ถึงหนึ่งหยิบมือด้วยซ้ำไป
ต่งเซียนเอ๋อร์ยิ้ม “ปรมาจารย์พิษเมิ่งที่องค์หญิงน้อยพามานั้นเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโส แต่เพื่อทำตามสิ่งที่องค์หญิงน้อยต้องการ เขาจึงปกปิดพลังที่แท้จริงของตนเอง หากท่านต้องการหาราชินีสัตว์พิษของจริง ไม่สู้ไปหาเขาดีกว่าหรือ พวกท่านไม่ได้รู้จักศิษย์พี่ของเขาหรอกหรือ? ให้เขาช่วยท่านอีกสักรอบ แต่ข้าแนะนำว่าท่านควรลงมือให้รวดเร็วสักหน่อย หนานจ้าวไม่มีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ราชินีสัตว์พิษจึงถูกใช้เป็นตัวแทน ท่านคิดว่าประมุขหญิงจะไม่ลงมือหรือ?”
……………………………………..