หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 210 พ่อลูกพบหน้า
ทุกคนในอาณาจักรหนานจ้าวรู้ดีว่าราชบุตรเขยของจวนประมุขหญิงเป็นบุคคลต่ำต้อย แตกต่างจากองค์หญิงน้อยที่ออกมาครั้งหนึ่ง ต้องนำธงเกียรติยศมาเรียงเป็นขบวนใหญ่โต ราชบุตรเขยแม้กระทั่งองครักษ์ติดตามก็ยังไม่มี เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็ดูเรียบง่ายอย่างยิ่ง ไม่เหมือนกับนายท่านตระกูลใหญ่ทั่วไปที่แต่งตัวหรูหราสง่างาม และสวมเพียงชุดยาวสีน้ำเงินเท่านั้น
เขาถือหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวบุนวม เหยียดยืดตัวตรง ร่างกายผอมสูง
เขามีมือเรียวหยก นั่นคือมือของผู้ร่ำเรียนหนังสือ ปลายนิ้วของเขาราวกับจะมีกลิ่นของหนังสือติดอยู่
แสงแดดสาดส่องเข้ามากระทบกับหน้ากากสีเงิน
เยี่ยนจิ่วเฉารู้รูปลักษณ์ของราชบุตรเขยจากปากของไป๋เสี่ยวเซิงมาก่อนแล้ว จึงไม่ได้ตกใจเมื่อมองเห็นหน้ากากนั้น ทว่ากลับยิ่งแน่ใจในตัวตนของเขามากขึ้น
เยี่ยนจิ่วเฉามองเขาชั่วครู่หนึ่ง เขาก็มองเยี่ยนจิ่วเฉาครู่หนึ่งเช่นกัน
บรรยากาศภายในรถม้าดูแปลกไปเล็กน้อย
เยี่ยนจิ่วเฉาเข้ามาเพราะมีจุดประสงค์ของตนเอง ทว่าราชบุตรเขยกลับยอมรับฉากตรงหน้านี้อย่างเฉยเมย ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกใดๆ แม้แต่น้อย เขายังคงนั่งนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น อารมณ์สงบราบเรียบราวกับหยกราวกับน้ำ ทว่าภายในดวงตากลับเผยความตกใจที่กระทั่งเขาเองก็ไม่ทันรู้สึกตัว
แน่นอนเยี่ยนจิ่วเฉาสามารถรับรู้ความแปลกประหลาดของเขาได้ ไม่ใช่ความแปลกประหลาดที่เผยออกมาเพราะมีคนแปลกหน้าอาจหาญบุกรุกเข้ามาในรถม้า แต่เป็น…สายตาที่เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้ เยี่ยนจิ่วเฉารู้สึกราวกับเลือดในร่างกายไหลทวนกระแส
“นี่ เจ้าเป็นใคร? ไอ้บ้าจากที่ใดกัน? ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าล่วงเกินขึ้นมาบนรถม้าของนายท่าน?” สารถีที่ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาทำให้ตกตะลึงได้สติกลับมา รีบร้อนยกม่านรถม้าขึ้น หมายจะลากเยี่ยนจิ่วเฉาออกไป ทว่ากลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉาผลักจนตกลงไป
“โอ๊ย”
สารถีรถม้าล้มพับลงกับพื้น
ขณะที่เยี่ยนจิ่วเฉาผลักสารถี สายตากลับจ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของราชบุตรเขยเนือยนิ่ง
ชายร่างสูงใหญ่ทั้งสอง ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยสิ่งใด
ภาวะหยุดชะงักที่ถูกสารถีเข้ามาโวยวายกลับยิ่งทำให้บรรยากาศแปลกประหลาดมากขึ้นไปอีก ขนาดราวกับทุกอย่างถูกแช่แข็ง
ชั่วเวลานี้เอง ทันใดนั้นเยี่ยนจิ่วเฉาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และดึงหน้ากากของเขาออก
ว่ากันว่าองค์หญิงน้อยเข้าไปดูชาดที่ประมุขหญิงได้สั่งไว้ในร้าน ทุกคนภายในร้านต่างทิ้งงานทุกอย่างในมือเพื่อไปปรนนิบัติดูแลนาง แขกภายในร้านก็ถูกกวาดต้อนออกไป ร้านค้าอันกว้างขวางเหลือนางที่เป็นลูกค้าเพียงคนเดียว
องค์หญิงน้อยไม่ได้รับรู้เรื่องราวนี้แม้แต่น้อย
ใกล้ถึงวันเกิดของประมุขหญิงแล้ว เดิมทีองค์หญิงน้อยคิดจะซื้อเห็ดหลินจือให้เป็นของขวัญนาง ทว่าเห็ดหลินจืออูซานชิ้นแรกถูกสองพี่น้องตระกูลเห้อเหลียนกระเป๋าหนักซื้อไปแล้ว เห็ดหลินจือแดงชิ้นที่สองก็ถูกคนอื่นแย่งไปอีก นางโกรธเคืองยิ่งนัก ภายใต้ความสิ้นหวังนั้นท่านพ่อของนางก็บอกนางว่า ชาดของประมุขหญิงใกล้จะหมดแล้ว ให้นางซื้อตลับใหม่ไปให้
เป็นถึงประมุขหญิงมีหรือจะใช้ชาดจนเกือบหมด? นั่นก็แค่คำพูดที่ใช้ปลอบใจบุตรเท่านั้น ขอเพียงเป็นสิ่งของที่บุตรให้ ไม่ว่าเป็นสิ่งใดประมุขหญิงก็ล้วนชื่นชอบทั้งนั้น
ที่นี่คือร้านขายชาดที่อายุนานกว่าร้อยปีของเมืองหลวง ลือกันว่ามีสูตรลับที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น ชาดที่ทำออกมาไม่เพียงแต่มีเนื้อที่เนียนละเอียด สีสันสวยงาม กลิ่นที่หอมหวาน แต่ยังมีผลช่วยในการรักษาความงามอีกด้วย เป็นที่นิยมมากกว่าชาดของพระราชวังเสียอีก
แท้จริงแล้วราชบุตรเขยเคยมอบแป้งแต่งหน้าของร้านนี้ตลับหนึ่งให้นางมาก่อน ประมุขหญิงกับราชบุตรเขยมีความรักใคร่ลึกซึ้ง ตั้งแต่นั้นมาบนโต๊ะจึงไม่เคยขาดสิ่งของจากร้านนี้เลย
องค์หญิงน้อยให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าของชาดตลับนี้มาก เพื่อแสดงความรู้สึกที่มีต่อท่านแม่ นางไม่ยืมมือข้ารับใช้ ทั้งยังเดินทางมาเร่งงานที่ร้านด้วยตนเองทุกวัน จนคนในร้านต่างแตกตื่น แทบจะไม่มีจิตใจไปทำกิจอื่นใดอีก
แต่องค์หญิงน้อยจะสนใจสิ่งเหล่านี้หรือ? นางสนใจแต่ของขวัญวันเกิดของท่านแม่นางเท่านั้นละ!
แท้จริงแล้วชาดตลับเดียว เร่งทำเพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ได้แล้ว ทว่าองค์หญิงน้อยคนนี้เอาใจยาก หากทำออกมาเร็วเกินไป นางก็จะคิดว่าเจ้าทำลวกๆ ไม่ตั้งใจ หากทำออกมาช้าเกินไป นางก็จะสงสัยว่าเจ้าขาดความใส่ใจ เพียงแค่เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองแบบ คนหลังง่ายจะจัดการมากกว่า
เถ้าแก่เอ่ย “องค์หญิงน้อย ท่านอาจารย์เฉินผู้นี้คือท่านอาจารย์ผู้ชำนาญการของร้านเรา ในช่วงนี้เขาปรับปรุงสูตรใหม่ให้ท่านตลอด เพื่อทำให้ออกมาดีที่สุด ตลับชาดเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาทำออกมา ทว่ายังไม่เป็นที่พอใจนัก ท่านดูสิ”
ไหนเลยองค์หญิงน้อยจะเข้าใจเรื่องพวกนี้? แสร้งมองผ่านๆ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “อาจารย์คนเดียวจะเพียงพอได้อย่างไร? ร้านเจ้าไม่มีคนแล้วรึ? ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่อยากทำการค้ากับข้า!”
เถ้าแก่รีบร้อนตอบ “องค์หญิงน้อยกล่าวหนักไปแล้ว พวกเราจะไม่อยากทำการค้ากับท่านได้อย่างไร? คือเช่นนี้ อาจารย์ผู้ชำนาญการของร้านเราไม่อยู่ในเมืองหลวง มีเพียงท่านอาจารย์เฉินอยู่ผู้เดียว ส่วนเด็กฝึกมือใหม่มิใช่เพราะเกรงจะทำออกมาได้ไม่ดีพอหรือ? เราได้ส่งคนไปเชิญอาจารย์ท่านอื่นๆ มาโดยเร็วแล้ว”
องค์หญิงน้อยทำท่าทางฮึดฮัด “ค่อยใช้ได้หน่อย อย่างไรชาดที่ข้าต้องการก็ไม่อาจมีสิ่งใดผิดพลาด! สีสัน รูปแบบ และกลิ่นล้วนต้องถึงกับความต้องการของข้า เข้าใจหรือไม่?”
เถ้าแก่พยักหน้าโก้งโค้ง “ได้ ได้ ได้ขอรับ องค์หญิงน้อยโปรดวางใจ ชาดตลับที่ทำให้ท่าน จะต้องใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุด และไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอน”
องค์หญิงน้อยกล่าวข่มขู่ “หากกล้าสร้างภาพหลอกลวงข้า ข้าจะจัดการเจ้าทั้งตระกูล!”
เถ้าแก่ทั้งกลัวทั้งเกรง “มิกล้า มิกล้า! แม้จะยืมความกล้ามาสักร้อยหนึ่งก็ยังไม่กล้า”
องค์หญิงน้อยตักเตือนเสร็จแล้ว ก็ก้าวเข้ารถม้าไปอย่างสบายใจ
ใบหน้าของสารถีปูดบวม เนื้อตัวสกปรกมอมแมม
องค์หญิงน้อยมองเขาด้วยความรังเกียจปราดหนึ่ง “เกิดอันใดขึ้น? เจ้ามีสภาพเช่นนี้จะรับใช้ดูแลท่านพ่อของข้าได้เยี่ยงไร?”
สารถีรถม้ากล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “เมื่อครู่มีคนบ้าอาละวาดขึ้นรถม้า และยังผลักข้าน้อยลงไปด้วย”
“เช่นนั้นท่านพ่อของข้าคงปลอดภัยดีใช่หรือไม่?” องค์หญิงน้อยรีบเปิดม่านรถม้าขึ้น
หน้ากากกลับสู่ตำแหน่งเดิมบนใบหน้าของราชบุตรเขยใหม่อีกครั้ง ราชบุตรเขยนั่งอยู่ด้านใน มองนางด้วยสายตาซ่อนยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร”
………………………
ในเดือนเก้าของหนานจ้าวไม่ร้อนและไม่หนาว อากาศถือว่าน่าอยู่ทีเดียว ทว่าบ่ายวันนี้ไม่รู้ว่าอย่างไร กลับร้อนขึ้นมากะทันหันเสียอย่างนั้น
อวี๋หวั่นกำลังเดินไปมาอยู่ในตรอก กังวลว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะอาการกำเริบอีกครั้งและหลบอยู่ในมุมที่ไม่มีผู้คน เพราะสถานที่หลบในจวนเธอตามพบครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงไปให้ไกลขึ้นเสีย
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าตนเองคิดมากเพียงใด แม้ว่าเธอจะฝังเข็มผิดตำแหน่ง แต่ผลการรักษาไม่ครอบคลุม ตอนนี้อาการของเยี่ยนจิ่วเฉาจึงยังไม่สาหัส อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทางร่างกาย
“สามี”
ในที่สุดอวี๋หวั่นก็มองเห็นเขา เขายืนอยู่ใต้หลังคาที่รกร้าง จ้องมองไปบนฟ้า ไม่รู้ว่าเขากำลังมองสิ่งใด
เมื่อได้ยินเสียงของอวี๋หวั่น เขาก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ
จิตใจของอวี๋หวั่นตื่นตระหนก คงไม่ใช่ว่าเมื่อครู่เธอได้ฝังเข็มจนทำให้เขาโง่ไปแล้วกระมัง?
ไม่ใช่สิ เธอไม่ได้ฝังเข็มที่สมองของเขาเสียหน่อย
“สามี?” อวี๋หวั่นก้าวเท้าเดินเข้าไปหา ใช้เสียงเบาหยั่งเชิงเรียกเขาครั้งหนึ่ง เสียงเบาไม่ได้การ เช่นนั้นก็เพิ่มเสียงขึ้นอีกหน่อย “สามี!”
“ข้าไม่ได้หูหนวก” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวขณะที่ยังเหม่อมองท้องฟ้า
อวี๋หวั่นเม้มริมฝีปากด้วยความแปลกใจ ถ้าไม่ได้หูหนวกแล้วทำไมไม่สนใจข้า?
อวี๋หวั่นมองตามสายตาของเขาขึ้นไปบนฟ้า ถามด้วยความสงสัย “ท่านออกมาทำไมหรือ? ท่านกำลังมองดูสิ่งใด?”
“ออกมาเดินเล่น มองดูอะไรไปเรื่อย” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ
“ท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือไม่? วิธีการฝังเข็มนั้นข้าก็เพิ่งฝึกฝนมาไม่นาน ฝังเข็มได้ไม่ดีนัก กลับไปให้ชุยเฒ่าดูท่านอีกครั้งเถิด” ไอ้ชุยเฒ่าสมควรตายนั่น อย่างไรก็ไม่ยอมรักษาเยี่ยนจิ่วเฉาโดยตรง เพราะคำสาบานในตอนแรก เยี่ยมไปเลย เธอเป็นเพียงหมอจีนที่มีความรู้งูๆ ปลาๆ ที่อีกไม่นานก็คงถูกไล่เป็ดขึ้นคอนเสียแล้ว[1]
เยี่ยนจิ่วเฉามิได้ตอบรับเธอ
นี่หมายถึงเขาไม่ต้องการกลับไปให้ชุยเฒ่าตรวจดูอาการ
อวี๋หวั่นคิดว่าดีร้ายอย่างไรเธอก็แต่งงานอยู่กินกับเขามานานแล้ว และไม่เคยแยกกันมาก่อน ทั้งสองสนิทสนมกลมเกลียว ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามลำบาก ตามหลักแล้วเธอควรเข้าใจเขาเป็นอย่างดีถึงจะถูก แต่ยังมีหลายครั้งที่เธอมองเขาไม่ออก
เช่นเดียวกับตอนนี้ เขาเหมือนกับคนโง่ที่เหม่อมองท้องฟ้าอยู่ตรงนี้ อวี๋หวั่นไม่อาจเข้าใจได้ว่าเขากำลังทำอะไร
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “เมื่อครู่ข้าพบกับราชบุตรเขยมา”
น้ำเสียงราบเรียบราวกับน้ำใส เหมือนกับกำลังพูดว่าวันนี้ฉันเห็นผักกาดขาวกำหนึ่งมา
“อ้อ…หือ?” อวี๋หวั่นผงะ “ท่านว่าอย่างไรนะ? ท่านพบใครมา?”
อวี๋หวั่นคิดว่าตนเองหูฝาด ไม่มีใครที่สามารถรักษาท่าทีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ เมื่อพบเจอคนที่สงสัยว่าเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดของตนเอง
“ราชบุตรเขย” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว น้ำเสียงของเขามิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
อวี๋หวั่นยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม ไม่เช่นนั้นเธอคิดว่าเขามายืนอยู่ที่นี่ทำไม? จะมีดอกไม้ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้ารึ?
อวี๋หวั่นเคยพบเห็นราชบุตรเขยมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนั้นเธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นราชบุตรเขย แล้วก็ไม่รู้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉามั่นใจได้อย่างไร อวี๋หวั่นไม่ได้ถามเรื่องนี้ แต่กล่าวว่า “เช่นนั้นเขาเห็นท่านหรือไม่?”
“อื้ม เห็นแล้ว”
“เขากล่าวอันใดหรือไม่?”
“ไม่มี”
ไม่มีพูดอะไรกันเลยหรือ?
ประกายความตื่นตกใจวาบผ่านในดวงตาอวี๋หวั่น เธอครุ่นคิด และในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยเรื่องที่เธอสงสัยที่สุดในใจ “เช่นนั้น เขาใช่เยี่ยนอ๋องหรือไม่?”
…………………………………………
[1] ไล่เป็ดขึ้นคอนเสียแล้ว อุปมาถึง การบีบให้ทำเรื่องที่ความสามารถของตนเองไปไม่ถึง