หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 211 เสี่ยวเป่าโกรธแค้น
เยี่ยนจิ่วเฉานึกถึงสิ่งที่เห็นในยามที่ดึงหน้ากากนั้นออกจากใบหน้าของอีกฝ่าย สิ่งแรกที่เขาเห็นคือรอยแผลเป็นที่ปรากฏอยู่บนครึ่งใบหน้าข้างซ้าย รอยแผลเป็นนั้นดูเหมือนเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน จึงไม่อาจหายเป็นปกติได้แล้ว ไม่ใช่เพราะไม่มียารักษา อย่างไรเขาก็เป็นราชบุตรเขย ยาที่ดีที่สุดในหนานจ้าวล้วนถวายขึ้นสู่เบื้องหน้าของเขาได้ทั้งหมด มีเพียงเพราะบาดแผลที่เกิดขึ้นในตอนแรกนั้นลึกเกินกว่าจะหาทางรักษาให้หายได้
ในวินาทีนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาลืมคิดเรื่องที่เขาเป็นใคร
ครั้นเมื่ออยู่ที่ต้าโจว เยี่ยนจิ่วเฉาได้ยินจากไป๋เสี่ยวเซิงมาก่อนว่าราชบุตรเขยสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าไว้ตลอด มีข่าวลือว่าใบหน้าของเขาบาดเจ็บเสียหาย เขาเองก็ยังไม่เชื่อ ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
แน่นอนว่าในที่สุดเขาก็ได้มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
ถึงแม้จะมีแผลเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวนั้น แต่เขาก็ยังดู…
เยี่ยนจิ่วเฉาหยุดความคิด ยกมือขึ้นปิดใบหน้าข้างหนึ่ง และถามอวี๋หวั่น “หากเห็นข้าเช่นนี้ เจ้ายังจำข้าได้อยู่หรือไม่?”
อวี๋หวั่นพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ “แม้จะปิดทั้งหมด ข้าก็ยังจำท่านได้อยู่ดี! ไยถึงถามเช่นนี้?”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ย
“หือ?” อวี๋หวั่นยิ่งสับสนงงงวย
อวี๋หวั่นพบว่าหลังจากเธอถามว่าราชบุตรเขยใช่เยี่ยนอ๋องหรือไม่ คำพูดของสามีเธอก็ดูแปลกไป ไม่อาจคาดเดาได้ แต่คิดแล้วก็ไม่แปลกอะไร หากราชบุตรเขยเป็นเยี่ยนอ๋องจริงๆ เขายังมีชีวิตอยู่ นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่เขาทอดทิ้งบุตรและภรรยา นับว่าเป็นเรื่องที่รับได้ยากยิ่ง แต่หากราชบุตรเขยไม่ใช่เยี่ยนอ๋อง เช่นนั้นเยี่ยนอ๋องก็ไม่ได้ทรยศหักหลังภรรยาและบุตรของเขา แม้ว่าทั้งหมดนี้จะเป็นความเชื่อมั่นศรัทธาในหัวใจของเยี่ยนจิ่วเฉา แต่กลับเป็นการตัดความหวังสุดท้ายของเขาจนหมดสิ้น
ภายในใจของเขา…คงจะขัดแย้งกันไม่น้อยกระมัง แต่อย่างไร นั่นก็เป็นบิดาที่เขาเคารพนับถือมาตลอด
แท้จริงแล้วเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้คิดมากเหมือนอวี๋หวั่น เขาโตพอแล้ว ไม่ใช่เด็กที่วิ่งไล่ตามหลังท่านพ่ออีกต่อไป ที่เขาทำอยู่ตอนนี้ก็เพียงเพื่อตามหาความจริงเท่านั้น
เขาเอ่ยต่อ “แม้ว่าใบหน้านั้นจะเปลี่ยนไปมาก มีรอยแผลเป็น มีร่องรอยที่เกิดขึ้นเมื่อผ่านวันเวลา แต่ไม่มีทางที่ข้าจะจำผิด”
อวี๋หวั่นมองดูเขา คำพูดนี้หมายความว่า…
เยี่ยนจิ่วเฉาถอนหายใจเบาๆ “เป็นใบหน้าท่านพ่อของข้า”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ อวี๋หวั่นไม่ได้ตกใจอย่างที่คิด อาจเพราะในใจของเธอรู้สึกถึงความเป็นไปได้ที่ราชบุตรเขยคือเยี่ยนอ๋อง น้ำเสียงของเธอดูปกติ “เช่นนั้นเหตุใดพวกท่านถึงไม่คุยกัน? ไม่ใช่ว่าเขาเห็นท่านแล้วหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปที่เมฆดำที่ลอยอยู่บนฟ้าพลางเอ่ยว่า “เขาเห็นข้าแล้ว แต่ดูเหมือนเขาไม่รู้จักข้า หรือก็เพราะเขาจำข้าไม่ได้”
เยี่ยนอ๋องจากไปตั้งแต่เยี่ยนจิ่วเฉาอายุได้แปดขวบ นี่ก็ผ่านมาสิบห้า สิบหกปีแล้ว รูปลักษณ์ของเยี่ยนจิ่วเฉาก็แตกต่างจากตอนที่เขายังเป็นเด็ก หากจะเห็นเพียงครู่หนึ่งแล้วจำไม่ได้ก็ไม่แปลก ทว่า…คนที่เคยเห็นเยี่ยนอ๋องต่างก็บอกว่าเยี่ยนจิ่วเฉาเติบโตมาเหมือนกับเยี่ยนอ๋องตอนที่อายุน้อยไม่มีผิด เยี่ยนอ๋องเห็นคนที่เหมือนตนเองขนาดนี้ เป็นไปได้หรือที่จะไม่คิดสิ่งใดเลย?
เดาไม่ออกเลยหรือว่าเป็นบุตรชายของตนเอง?
หรือว่าเยี่ยนอ๋องได้ลืมภรรยาและบุตรชายไปนานแล้ว ตัดทิ้งอดีตเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่กับตี้จีองค์เล็ก?
แล้วเหตุใดใบหน้าของเขาถึงถูกทำลาย?
ทั้งหมดนี้อวี๋หวั่นยังคิดไม่ตก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงแล้ว อย่างไรเสียความจริงก็ต้องผุดขึ้นมาให้เห็นแจ่มแจ้งสักวัน
เธอจับมือเยี่ยนจิ่วเฉา “เริ่มเย็นแล้ว เรากลับบ้านกันเถิด”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่โต้ตอบ
แต่เมื่ออวี๋หวั่นดึงเขาให้เดินกลับไปก็ไม่ได้ต่อต้าน
ทั้งสองไปที่ชีสยาย่วนก่อน
ชุยเฒ่ายืนเท้าเอวอยู่หน้าประตูเรือน เมื่อเหลือบไปเห็นเงาร่างสองคนที่กำลังเดินมาอยู่ไม่ไกลนัก ก็รีบแทะขาหมูแล้วเอ่ยว่า “ข้าบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร! นี่ก็กลับมาแล้วไม่ใช่รึ!”
ชุยเฒ่าพลันรู้สึกโล่งใจ กลอกตามองบนครั้งใหญ่ก่อนจะแทะขาหมูแล้วเดินกลับห้องไป
ชายชราและเจียงไห่เห็นว่าทั้งสองกลับมาได้อย่างปลอดภัย ก็ไม่พูดอะไรแล้วหันหลังเดินกลับห้องเช่นกัน
“ท่านลุงใหญ่” อวี๋หวั่นยิ้มทักทายให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงผู้มาไม่ทันการสลายตัวของผู้คนในรอบแรก
“ข้ามาดูเด็กๆ น่ะ พวกเขาไม่อยู่ ข้าขอตัวก่อน” เห้อเหลียนเป่ยหมิงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ผลักรถเข็นกลับเรือนไป
อวี๋หวั่นมองอย่างเข้าใจ ยิ้มพร้อมกับจับมือเยี่ยนจิ่วเฉา “ทุกคนเป็นห่วงท่านยิ่งนัก”
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยอย่างเย็นชา “ผู้ใดต้องการให้พวกเขาห่วง?”
อวี๋หวั่นมองใบหูที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อของเขา พลันยกยิ้มมุมปาก
ในมื้อค่ำ อาเว่ยกับชิงเหยียนกลับมาถึงจวนแล้ว ป้ายหยกที่ต้องการก็มาถึงมือแล้ว เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ ชิงเหยียนจึงพาอาเว่ยไปสำนักปรมาจารย์พิษในพื้นที่ที่ต่างกัน โชคดีที่ไม่มีหนังสือวีซ่าในสมัยโบราณ มีเพียงการปั๊มลายนิ้วมือเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้ชิงเหยียนแต่อย่างใด ก่อนออกเดินทาง เขาได้ปั๊มลายนิ้วมือคนสองสามคนลงในแป้งเปียกไว้แล้ว เวลาปั๊มลายนิ้วมือ ขอเพียงแค่อาเว่ยจัดการอย่างว่องไวก็จะสามารถปิดฟ้าข้ามทะเลได้แล้ว
แน่นอนอาเว่ยไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง
หลังจากทานอาหาร เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไปอาบน้ำแช่ยา ส่วนอวี๋หวั่นไปที่ห้องของอาม่า หารือเรื่องการเดินทางไปยังเขาพิษ
อวี๋หวั่นกล่าว “คางคกหิมะอยู่ที่ใดบนเขาพิษ?”
ชายชราตอบ “ข้าก็ไม่รู้ ต้องไปตามหา”
อวี๋หวั่นผงะ “มันอยู่ที่เขาพิษจริงหรือ?”
ชายชราเอ่ย “ใช่ เคยมีคนพบเห็นมันที่เขาพิษมาก่อน แต่จนกระทั่งยามนี้ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้ครอบครองมัน หนึ่งเพราะที่อยู่ของมันแปลกประหลาด สองมันจำศีลตลอดทั้งปี สามปีจะตื่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง และจะตื่นอยู่นานเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของมัน”
อวี๋หวั่นกล่าวต่อ “หากมันตื่นอยู่จะตามหาตัวมันง่ายขึ้นหรือไม่?”
ชายชราพยักหน้า “เมื่อตื่นขึ้น มันจะมองหาอาหาร เราสามารถใช้เหยื่อล่อมันออกมาได้ ซึ่งดีกว่าการมองหามันอย่างไร้จุดหมาย”
กล่าวเช่นนี้อวี๋หวั่นเข้าใจแล้ว สัตว์พิษตัวเล็กถึงเพียงนี้ ยามที่มันนอนหลับลมหายใจของมันจะอ่อนลง หากจะตามหามันในเขาพิษอันกว้างใหญ่ก็ไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร มิสู้ปล่อยให้มาติดกับเสียเอง ด้วยความสามารถของพวกเขา อวี๋หวั่นเชื่อมั่นว่าเพียงมันปรากฏตัวออกมาก็จะไม่มีทางหลุดรอดไปจากมือของพวกเขาได้อย่างแน่นอน
ทว่ายามนี้ยังมีอีกหนึ่งคำถาม “อาม่า ครั้งก่อนที่มันตื่นขึ้นคือเมื่อใดหรือ?”
ชายชราตอบ “สามปีที่แล้วพอดี จวนประมุขหญิงคงจะคำนวณเวลามาอย่างดีแล้ว จึงได้วางแผนจับมันในระยะนี้”
“ข้าได้ยินมาเรื่องหนึ่ง” จู่ๆ ชิงเหยียนก็เอ่ยขึ้น
“เรื่องอันใดหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
ชิงเหยียนกล่าว “วันนี้ข้าไปสมาคมปรมาจารย์พิษกับอาเว่ย ได้ยินข่าวคราวมาเรื่องหนึ่ง ปรมาจารย์พิษเมิ่งของจวนประมุขหญิงก็สอบเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งเช่นกัน ข้าคิดว่าพวกเขาก็เตรียมพร้อมที่จะเข้าไปยังเขาพิษแล้วเช่นกัน”
อวี๋หวั่นไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับข่าวนี้ เพราะอย่างไรต่งเซียนเอ๋อร์ก็ได้เตือนเธอตอนที่อยู่หอจวี้เสียนมาก่อนแล้ว เกรงว่าปรมาจารย์พิษผู้นั้นของจวนประมุขหญิงจะมีความสามารถที่แข็งแกร่งถึงระดับปรมาจารย์พิษอาวุโส
อวี๋หวั่นเอ่ยรำพึง “สิ่งที่เราคิดได้ ไม่จำเป็นว่าพวกเขาก็ต้องคิดได้ ถึงตอนนั้นหากทั้งสองฝ่ายต่างใช้เหยื่อล่อ ทว่าคางคกหิมะจะติดกับของผู้ใดก็ยังมิอาจบอกได้”
“อย่างมากก็แค่ไปแย่งมา!” เจียงไห่กล่าวเสียงแข็ง
หนทางล่าถอยดูสิ้นหวัง ตี้จีองค์เล็กต้องการคางคกหิมะเพื่อรักษาตำแหน่งประมุขหญิงของตนเอง แต่พวกเขาต้องการคางคกหิมะเพื่อนำมาถอนพิษของเยี่ยนจิ่วเฉา ใครก็ไม่อาจยอมถอย
ชายชรามองดูสีของท้องฟ้าและกล่าวว่า “วันนี้กับวันพรุ่งจะมีฝนตกสองวัน เข้าเขาพิษไม่ง่ายนัก หากพวกเขาจะไปเร็วที่สุดก็คงต้องเป็นวันมะรืน”
ชิงเหยียนกล่าวสรุปด้วยตนเอง “เช่นนั้นเราก็ลงมือวันมะรืน!”
………………….
ณ จวนประมุขหญิง
ประมุขหญิงได้ทราบข่าวของปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งตัวน้อยทั้งสามแล้ว นางรับรู้ถึงวิกฤต นางควรจะเป็นคนที่ได้รับพรจากเทพกู่ ทว่ายามนี้กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกสามคน นางรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่คนพิเศษอีกต่อไป แต่นางก็ไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้นานนัก นางต้องเป็นคนขององค์ประมุข จิตใจควรจะกว้างขวางดั่งมหาสมุทร มีพสกนิกรของนางได้รับการปกป้องจากเทพกู่ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี
นางคือวิถีแห่งสวรรค์ พวกเขาเป็นเด็กที่เกิดมาตามวิถีแห่งสวรรค์ วันหน้าที่นางได้ครองราชย์ พวกเขาต้องมีประโยชน์ต่อนางเป็นแน่
ในยามนี้ มีเรื่องที่สำคัญกว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อยให้สนใจ
“ใต้เท้าเมิ่ง การเตรียมตัวไปเขาพิษเป็นอย่างไรบ้าง? ยังขาดเหลือสิ่งใด เชิญบอกข้ามาได้เลย” นางเอ่ยพลางมองไปยังชายผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่กลางโถงบุปผา
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งกล่าว “ทุกอย่างได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว เหยื่อทำเสร็จแล้ว ปรมาจารย์พิษและองครักษ์ติดตามก็ได้จัดไว้แล้ว กระหม่อมจะออกเดินทางในวันมะรืน ฝ่าบาทโปรดรอฟังข่าวดีจากกระหม่อมก็พอ”
ประมุขหญิงคลี่ยิ้มด้วยความพึงพอใจ “รอข้าได้เป็นองค์ประมุขเมื่อใด จะแต่งตั้งให้ใต้เท้าเป็นราชครูแน่นอน”
ราชครูในแต่ละราชวงศ์ล้วนเป็นนักบวช ปรมาจารย์พิษไม่เคยมีเกียรติเช่นนี้มาก่อน
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งประหลาดใจยินดีในความโปรดปรานที่ได้รับโดยไม่คาดคิด รีบยกมือขึ้นค้อมคำนับ “ทรงพระเจริญ!”
ประมุขหญิงจับมือของเขาขึ้นมา “ขอเพียงท่านช่วยข้าครอบครองสัตว์พิษได้ ท่านก็จะเป็นขุนนางคนสำคัญของข้า ตำแหน่งราชครู ท่านคงต้องแบกรับไว้แล้ว”
ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง เปิดชายเสื้อแล้วคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง “ข้า เมิ่งชีขอสาบาน ณ ที่แห่งนี้ว่าจะตามหาคางคกหิมะมามอบแก่ฝ่าบาทให้จงได้!”
ประมุขหญิงยิ้มด้วยความโล่งใจ ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสระดับสูงที่สุดในหนานจ้าว แม้จะมีปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งตัวน้อยอีกสามคน แต่ด้านหนึ่งเพราะพวกเขาไม่มีทางวิ่งขึ้นเขาพิษไปแย่งชิงราชินีสัตว์พิษกับพวกเขาได้ สองพวกเขายังเด็กนัก แม้จะได้เป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งเหมือนกัน แต่แน่นอนว่าเมิ่งชีอาวุโสกว่า ดังนั้นราชินีสัตว์พิษย่อมต้องตกอยู่ในมือของเมิ่งชีอย่างแน่นอน
ประมุขหญิงเชื่อมั่นเช่นนี้อย่างสนิทใจ
เมื่อตกกลางคืนก็เป็นไปดังที่อาม่ากล่าวไว้ ฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมา ไข่ดำทั้งสามคุกเข่าอยู่บนเตียงอย่างมากมารยา ในหน้าเล็กๆ มุดลงกับหมอน ก้นเล็กๆ ก็โด่งขึ้นฟ้า ทำท่าทางราวกับข้ากลัวฝนตกยิ่งนัก อวี๋หวั่นเกือบจะหัวเราะจนหายใจไม่ทัน
คืนนั้น เสี่ยวเป่าเบียดพี่ชายทั้งสองคนออกไปอย่างมีแผน และมาอยู่ตำแหน่งที่ติดกับด้านในของเตียงได้สำเร็จ นี่เป็นตำแหน่งที่อวี๋หวั่นนอน
ในที่สุดก็กำจัดท่านพ่อตัวเหม็นออกไปได้เสียที หึ!
เสี่ยวเป่าบิดก้นไปมาอย่างภาคภูมิใจ
หลังจากดับไฟ ภายในห้องก็พลันมืดลง อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาก็มาขึ้นเตียง
เสี่ยวเป่าเฝ้าดูเงาร่างที่มานอนลงด้านบนพวกเขาทั้งสาม เขาไม่พูดพร่ำรีบพุ่งเข้าไป!
หลังจากพุ่งเข้าไป กลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เขาเบิกตากลมโตด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง
มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากด้านบนหัว
ท่านแม่ละ!
มาผิดเสียแล้ว!
เสี่ยวเป่าขนพองไปทั้งตัวด้วยความแค้นเคือง!
…………………………………………